“ผลเยือกมณีไม่ได้อยู่ในมือของลั่วเฉินหรอกหรือ ?”
เมื่อทุกคนดึงสติกลับคืนมาได้ เยว่ชิงเฉิงก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
บัดนี้บนใบหน้าของทุกคนมีแต่ความประหลาดใจกึ่งงุนงง ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดผลเยือกมณีถึงมาอยู่ในมือเพ่ยหลงได้เช่นนี้
“ข้าเองก็ไม่รู้ ตอนที่กำลังยืดเส้นยืดสาย จู่ ๆ ก็เห็นแหวนมิติตกอยู่ตรงมุมห้องใกล้ ๆ กับประตู ข้าว่ามันดูน่าสงสัยก็เลยลองเอาของข้างในออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น” เพ่ยหลงตอบ
ฉินอวี้โม่และปิงเสวียนมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจไม่น้อยแต่ก็เริ่มจะคาดเดาถึงบางอย่างได้ ไม่ผิดแน่ มุมห้องตรงจุดนี้เป็นจุดที่ลั่วเฉินและเหล่าพันธมิตรจีหย่งใช้ข่ายอาคมซ่อนตัว
“ข้าคิดว่าลั่วเฉินคงจะจงใจทิ้งมันไว้ ส่วนเหตุผลว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้พวกเรายังไม่รู้แน่ชัด”
หากเป็นลั่วเฉินที่ทำเช่นนั้นจริง การกระทำของเขาก็ยิ่งทำให้คนทั้งหมดเกิดความสับสนมากขึ้น ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดเข้าใจในเจตนาของบุรุษลึกลับผู้นี้เลย ทุกการกระทำของลั่วเฉินมีแต่ทำให้ยิ่งสงสัยในตัวตนของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ คนผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่ ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ยื้อแย่งทั้งแผ่นป้ายและผลไม้วิเศษที่เป็นใบเบิกทางสู่ชัยชนะมาได้ แล้วเหตุใดถึงต้องทิ้งมันไว้ที่นี่ ?
“ถ้าคิดไม่ออกก็อย่าไปคิดถึงมันเลยดีกว่า ในเมื่อผลเยือกมณีถูกทิ้งไว้ที่นี่ งั้นพวกเราก็รับมันไว้ อย่างไรมันก็ไม่น่าจะทำให้พวกเราต้องเสียหาย”
หลินซิวหยากล่าวโดยไม่คิดให้ปวดหัว
เขาไม่ถนัดคิดเรื่องซับซ้อนให้วุ่นวาย บุรุษร่างใหญ่ผู้ชอบใช้กำลังมากกว่าจึงเสนอให้เก็บมันไว้ ลั่วเฉินอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้เขาทำไป หลินซิวหยาไม่เคยคิดเกรงกลัวบุรุษอันดับสองผู้นี้ อีกทั้งในความคิดของเขา หากทุกคนร่วมมือกันกลุ่มพันธมิตรก็จะแข็งแกร่งไร้ผู้ต้าน ต่อให้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นเขาก็เชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถรับมือได้
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พยักหน้า ถึงอย่างไรในตอนนี้ทั้งป้ายและผลเยือกมณีก็อยู่ในมือของพวกเขาแล้ว การจะทิ้งมันไปก็ไม่ต่างจากทิ้งโอกาส สู้รับไว้ก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันจะดีกว่า
“ว่าแต่พวกเรามีกันทั้งหมดหกกลุ่ม แล้วจะแบ่งผลเยือกมณีกันอย่างไร ?”
เพ่ยหลงเอ่ยถาม ก่อนอื่นพวกเขาจะต้องหารือกันเรื่องการแบ่งผลเยือกมณีก่อน
ตอนนี้คณะพันธมิตรทั้งหกกลุ่มได้ผลเยือกมณีมาแล้ว เรื่องยากเย็นลำดับถัดมาที่พวกเขาต้องตัดสินใจก็คือการแบ่งของล้ำค่าชิ้นนี้
หากจะให้ต่อสู้กันเพื่อตัดสินหาผู้ครอบครองก็ดูจะไม่เหมาะสมนักเพราะทั้งหกกลุ่มล้วนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน อีกทั้งฝีมือของแต่ละกลุ่มก็ไม่เท่าเทียม เกรงว่าวิธีนี้จะมีกลุ่มที่เสียเปรียบ
อย่างไรก็ตามถึงจะยากแต่ก็ต้องหาหนทางให้ได้ว่าผู้ใดจะได้ครอบครอง และถึงแม้เพ่ยหลงจะเป็นผู้พบเจอ แต่จะให้กลุ่มของนางได้ไปเลยก็คงยากที่ทุกกลุ่มจะยอมรับ
ทุกคนย่อมทราบดีว่าการได้ครอบครองผลเยือกมณีก็หมายถึงการได้ครอบครองโอสถผสานสวรรค์ ซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะเลิศการแข่งขันในรอบนี้ โอสถล้ำค่าที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน
“ฮ่า ๆ ๆ ลืมกลุ่มของพวกข้าไปเถอะ แค่ไม่ถูกคัดออกก็เป็นวาสนาสำหรับพวกเราแล้ว เรื่องผลเยือกมณีพวกเราไม่มีสิทธิ์ตั้งแต่แรก”
หลิวฉานหัวเราะออกมา ก่อนจะขอถอนตัวจากศึกชิงผลเยือกมณี
ที่กลุ่มของพวกเขาเข้าร่วมกับกลุ่มห้าพันธมิตรเป็นการชั่วคราวก็เพื่อความปลอดภัย แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยหวังรางวัลตอบแทน
กลุ่มของหลิวฉานประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของตนเอง แม้ว่าโอสถผสานสวรรค์จะน่าดึงดูดใจไม่น้อยแต่พวกเขาก็จะไม่ยอมสูญเสียอุดมการณ์และไม่ยินดีให้ความโลภมาทำลายศักดิ์ศรีอันน่าภาคภูมิใจ
เมื่อเห็นใบหน้าอันแสนสงบและแน่วแน่ของหลิวฉานและสหาย ทุกคนก็พยักหน้ายอมรับและไม่คิดเอ่ยคัดค้านอีก
“ข้าคิดว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ผลเยือกมณีสำหรับพวกเราแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก ตอนนี้เราก็มอบให้กลุ่มใดสักกลุ่มไปก่อน เมื่อได้โอสถผสานสวรรค์ห้าเม็ดที่เป็นรางวัลชนะเลิศมาแล้ว พวกเราค่อยเอามาแบ่งกันกลุ่มละหนึ่งเม็ด จากนั้นให้แต่ละกลุ่มตัดสินกันเอาเอง เช่นนี้จะได้ไม่ทำลายความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพวกเรา”
เนี่ยหรูเฟิงกล่าวแสดงความเห็น เขาเสนอให้ใช้วิธีนี้เพื่อรักษาความปรองดองของทุกคน
“เป็นความคิดที่ดี ข้าเห็นด้วยกับวิธีนั้น”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางเอ่ยปากสนับสนุนเนี่ยหรูเฟิง
ปิงเสวียนและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน เมื่อทบทวนดูแล้วพวกเขาก็รู้สึกว่าวิธีนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะทำกล่องจับสลากขึ้นมา คนจับสลากได้ก็จะมีชื่อเป็นผู้ครอบครองผลเยือกมณี แต่หลังจากได้รางวัลชนะเลิศมาแล้วจะต้องนำมาแบ่งทุกกลุ่ม”
เพ่ยหลงครุ่นคิดวิธีหากลุ่มที่จะมีชื่อเป็นกลุ่มชนะเลิศการแข่งขันได้ จึงเสนอขึ้น
แม้จะฟังดูไม่สมกับเป็นวิถีแห่งจอมยุทธ์ แต่ก็ดูจะยุติธรรมและง่ายดายที่สุดในขณะนี้แล้ว คนอื่น ๆ จึงพยักหน้า ก่อนจะส่งตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกไปจับสลาก
เมื่อการจับสลากเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาที่ต้องแกะดูสิ่งที่อยู่ภายใน และเป็นเยว่ชิงเฉิงที่อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าข้าจะโชคดีขนาดนี้ สวรรค์มีตาจริง ๆ”
ผู้โชคดีในการจับสลากก็คือเยว่ชิงเฉิง นั่นหมายความว่ากลุ่มของนางคือกลุ่มที่จะได้ถือครองผลเยือกมณีและมีชื่อเป็นกลุ่มชนะเลิศ ทว่า แม้ปากจะพร่ำขอบคุณแต่สตรีขี้บ่นก็ยังมิวายตัดพ้อสวรรค์
“โธ่ หากสวรรค์จะมีตากับคนสวยอย่างข้าถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ช่วยให้ข้ามีโอกาสหลอมสิ่งหลอมสำเร็จเพิ่มขึ้นอีกสักเจ็ดแปดส่วนเล่า ?”
“คุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่ การหลอมสิ่งหลอมผู้ใดเขาพึ่งพาโชคชะตากัน ข้าว่าเรื่องมันขึ้นอยู่กับความสามารถเจ้าเองมากกว่า ?” และก็เป็นโอวหยางชิงเฟิงที่เอ่ยตอบโต้ทำตนเป็นทนายแก้ต่างให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน
ซึ่งก็แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้รับก็คือค้อนวงงามและสายตาอาฆาตจากสหายตระกูลช่างหลอม
ความดีใจของเยว่ชิงเฉิงบวกกับภาพการทะเลาะกันที่เหมือนกำลังหยอกล้อของหนุ่มสาวอดีตคู่หมายช่วยผ่อนคลายบรรยากาศอันตึงเครียดลงไปได้บ้าง ทุกคนอมยิ้มกับสิ่งที่เห็นและยังมีบางคนที่เอ่ยปากแสดงความยินดีกับเยว่ชิงเฉิง
ขณะที่สมาชิกทั้งห้าของกลุ่มหลิวฉานกลับยืนนิ่งค้างกับเหตุการณ์ตรงหน้าไปแล้ว พวกเขากำลังอึ้งงันอยู่กับวิธีการตัดสินหาผู้ครอบครองผลเยือกมณีของกลุ่มพันธมิตรทั้งห้า ไม่คิดเลยว่าสิ่งของล้ำค่าที่ผู้เข้าแข่งขันค่อนโรงเรียนสู้อุตส่าห์บากบั่นแย่งชิงกันเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง สุดท้ายแล้วจะถูกตัดสินกันด้วยวิธีการ…จับสลาก
“เช่นนั้น ข้าว่าตอนนี้เราก็อยู่ที่นี่และรอให้การแข่งขันจบลงเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ในตอนนี้นางไม่มีความคิดจะออกไปยังพื้นที่ภายนอกอันหนาวเหน็บอีก เพราะอีกไม่นานเวลาในการแข่งขันก็จะสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดทุกคนก็จะได้กลับไปยังโรงเรียนราชสำนัก การปักหลักอยู่ในปราสาทเหมันต์แสนอุ่นสบายแห่งนี้ก็น่าจะดีกว่า
อีกทั้งหากพวกนางออกไปก็คงไปได้ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก ดังนั้นเรื่องมังกรเหมันต์ไม่ว่าจะอยู่ภายในนี้ หรือออกไปนอกปราสาทก็ล้วนแต่มีความเสี่ยงมากพอกัน ในเรื่องนี้อดีตนักฆ่าสาวจึงสั่งการให้มารยาคอยสอดส่องหากพบร่องรอยเจ้ามังกรกระหายเลือดก็ให้รีบเตือนในทันที
หลังจากหาจุดเหมาะ ๆ ให้กับตัวเองได้แล้ว ทุกคนต่างก็นั่งลงพลันหลับตาแล้วตั้งสมาธิฝึกฝน ในตอนนั้นเองที่มีเสียงกระซิบดังขึ้นที่ข้างหูของฉินอวี้โม่
“อวี้โม่”
เยว่ชิงเฉิงค่อย ๆ ขยับมาหาฉินอวี้โม่แล้วกล่าวด้วยเสียงที่เบา ก่อนจะแอบยื่นผลเยือกมณีให้คุณหนูสี่ตระกูลฉิน
“เจ้าคงต้องการผลเยือกมณีมากกว่าพวกเรา เพราะฉะนั้นเจ้ารับมันไปเถอะ”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวด้วยเสียงเบาพลางยื่นผลเยือกมณีให้ฉินอวี้โม่ เพราะเมื่อลองใคร่ครวญดูแล้วเหตุการณ์วุ่นวายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้กลุ่มของนางแทบไม่ได้ทำประโยชน์สิ่งใดเลย คุณหนูใหญ่ตระกูลช่างหลอมจึงรู้สึกว่าไม่คู่ควรจะได้มันมา
“ชิงเฉิง อย่าทำเช่นนี้เลย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้ายอมรับไม่ได้ แม้ว่าพวกเจ้าจะชนะเลิศเพราะได้ผลเยือกมณี แต่รางวัลอื่น ๆ ก็จะนับจากผลงานโดยรวมของแต่ละกลุ่ม อีกอย่างยังมีรางวัลจากการแข่งขันประเภทเดี่ยวให้ได้ชิงกันอีก พวกเจ้าเอามันไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางส่ายศีรษะปฏิเสธ
การที่กลุ่มของเยว่ชิงเฉิงจะได้รางวัลชนะเลิศในการแข่งขันประเภทหมู่คณะ แม้ผู้ใดจะคิดว่านี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่สำหรับนางแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ในความคิดของฉินอวี้โม่ สมาชิกทั้งหมดของกลุ่มเยว่ชิงเฉิงเองก็พยายามกันอย่างหนัก ความแข็งแกร่งของคนทั้งห้าก็ไม่ได้ย่ำแย่เลย น่าเสียดายที่ในตอนอยู่ภายในโรงเรียน สหายเหล่านี้มีเวลาและโอกาสในการฝึกฝนค่อนข้างน้อยจึงก้าวหน้าได้น้อยกว่านาง ถึงอย่างไรในการแข่งขันประเภทเดี่ยว ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าตนเองมีโอกาสชนะมากกว่า ดังนั้นแล้วรางวัลของประเภทหมู่คณะก็ควรจะให้กลุ่มของเยว่ชิงเฉิงได้ไปถือเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธแสนหนักแน่นของสหาย เยว่ชิงเฉิงก็ได้แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเอาผลเยือกมณีกลับไป
ในบรรดากลุ่มสหายสนิททั้งหมด ฉินอวี้โม่น่าจะเป็นคนที่เข้ารอบได้ลึกที่สุดในการแข่งขันแบบเดี่ยว
ต่อให้คู่ต่อสู้จะมีระดับสูงส่งมากเพียงใด หรือต่อให้เป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนเก้าดาราบางคนก็ยังไม่น่าจะขัดขวางเส้นทางนางได้ ตัวอย่างเด่นชัดผู้หนึ่งคือลั่วอวิ๋น
ในเรื่องนี้หากจะกล่าวว่าเยว่ชิงเฉิงลำเอียงเข้าข้างสหายสาวก็อาจจะไม่ผิดนักแต่นางก็คิดเห็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะถึงแม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของลั่วอวิ๋นจะสูงส่งกว่ามาก แต่คุณหนูตระกูลช่างหลอมก็มั่นใจว่าโอกาสที่เขาจะเข้ารอบได้ลึกกว่าฉินอวี้โม่ก็มีอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสิบ เนื่องจากนางรู้ดีว่าสหายตระกูลฉินผู้นี้ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่อีกมาก
“งั้นแผ่นป้ายพวกนี้เจ้าก็เอาไป”
เยว่ชิงเฉิงเอาแผ่นป้ายส่วนของตนเองส่งให้ฉินอวี้โม่
แผ่นป้ายเหล่านี้นางเพิ่งจะได้รับมาเมื่อสักครู่ มันเป็นแผ่นป้ายที่มาพร้อมผลเยือกมณีที่ซึ่งคณะพันธมิตรตกลงแบ่งให้แก่แต่ละกลุ่มย่อยอย่างเท่าเทียม
อย่างไรตอนนี้นางก็มีผลเยือกมณีอยู่ในมืออยู่แล้ว ฉะนั้นอันดับที่หนึ่งของกลุ่มนางก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้วถึงจะเอาแผ่นป้ายมากมายมาได้ก็ไร้ความหมาย
ฉินอวี้โม่มองแผ่นป้ายที่เยว่ชิงเฉิงส่งมาให้ ครั้งนี้อดีตนักฆ่าสาวไม่ปฏิเสธอีก หลังจากเอ่ยขอบคุณสหายอย่างแผ่วเบามือบางก็รับมันมาอย่างไม่ลังเล
“แล้วกลุ่มเจ้าจะแบ่งโอสถผสานสวรรค์กันอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่มองเยว่ชิงเฉิงพลางเอ่ยปากถามในสิ่งที่นางสงสัย
ในกลุ่มของเยว่ชิงเฉิง สมาชิกทั้งห้าคนล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินอวี้โม่ ไม่ว่าผู้ใดจะได้ผลผสานสวรรค์ไป นางก็รู้สึกยินดีทั้งนั้น แต่ในระหว่างคนในกลุ่มเดียวกันเองหากมีผู้ที่ได้ไปครองสหายที่ไม่ได้ไปก็น่าสงสารไม่น้อย
“หากในกลุ่มมีแค่ข้ากับชิงเฟิง ข้าก็คงยกให้เขาอย่างไม่ลังเล แต่ในกลุ่มก็มีทั้งซวงเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์กับหลิงเฟิงอยู่ด้วย ถ้าจะให้เป็นกลางมากที่สุดข้าก็คงต้องใช้วิธีจับสลาก”
เยว่ชิงเฉิงตอบก่อนจะส่งยิ้มให้สหายสาว ไม่ว่าอย่างไรตามหลักแล้วในฐานะผู้นำกลุ่ม นางก็ควรยึดถือความยุติธรรมให้มากที่สุด หลังจากจับฉลากแล้วผู้ใดจะได้ไปก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะยินดี
ทว่าฉินอวี้โม่กลับกำลังนึกคิดในเรื่องที่ต่างออกไป อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูจับสังเกตได้ว่า แม้จะกำลังพร่ำพูดถึงความยุติธรรมและเลือกสิ่งที่เป็นกลาง แต่สหายตระกูลเยว่ผู้นี้ก็มิวายหลุดถ้อยคำที่เอนเอียงไปทางโอวหยางชิงเฟิงออกมา
นี่แสดงว่า ถึงแม้ที่ผ่าน ๆ มา คุณหนูใหญ่ตระกูลเยว่จะแสดงท่าทีเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคุณชายรองตระกูลโอวหยาง แต่แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็น่าจะดีกว่าสิ่งที่ใครต่อใครเห็นและคิดเอาไว้มาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับรู้ นางไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซงทั้งเรื่องวิธีการเลือกผู้ที่จะได้รับโอสถผสานสวรรค์ และเรื่องวิธีเลือกคู่ครองในอนาคตของสหายสาว
“จริงสิ ฉีอวี้ตัดสินใจว่าจะมอบโอสถผสานสวรรค์ให้ลั่วอวิ๋น เพราะลั่วอวิ๋นอยู่ในขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราแล้ว เขาคือคนที่ใกล้เข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์มากที่สุด ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือคิดว่าพวกเขายังมีโอกาสในอนาคตอีกมาก ตอนนี้ก็เลยไม่ได้รีบร้อนอะไร”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มก่อนจะผละจากไป แม้ว่าองค์ชายฉีอวี้และสามพี่น้องแซ่สือจะเป็นบุรุษใจกว้างแต่ก็ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะยอมเสียสละถึงเพียงนี้
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างยินดี นับว่าบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวางได้มิตรสหายที่ดีโดยแท้ แม้ว่าครานี้จะต้องตกอยู่ในอันตรายเกือบถึงชีวิตแต่ก็ได้โชคลาภอันยิ่งใหญ่มาทดแทน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาหลินซิวหยาและรุ่นพี่อีกสามคนในกลุ่มของนางที่ตอนนี้กำลังนั่งจับกลุ่มหารือกันอยู่
“รุ่นพี่หลินซิวหยา รุ่นพี่เนี่ยหรูเฟิง รุ่นพี่หลี่จิ้ง แล้วก็หลิวเยว่ ข้าขอสละสิทธิ์ในโอสถผสานสวรรค์ รุ่นพี่ทั้งสี่จะแบ่งกันอย่างไรก็แล้วแต่พวกท่าน”
ฉินอวี้โม่ได้กินโอสถผสานสวรรค์เข้าไปก่อนหน้านี้แล้ว และมันยังคงอยู่ใกล้จุดตันเถียนในร่างกายนี้ ฉะนั้นโอสถวิเศษที่เป็นของรางวัลใหญ่จึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ สำหรับนาง
สมาชิกของกลุ่มฉินอวี้โม่ทั้งห้าผงะไป พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดรุ่นน้องคนสุดท้องของกลุ่มจึงตัดสินใจเช่นนั้น การก้าวเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เป็นเรื่องใหญ่มากและโอสถวิเศษที่ช่วยเรื่องดังกล่าวได้ก็มีความหมายอย่างมากมายมหาศาล
“ข้าเคยใช้โอสถผสานสวรรค์มาก่อนแล้ว เพราะฉะนั้นโอสถที่จะได้รับจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวข้าอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางเอ่ยเหตุผลอย่างไม่ปกปิด
คนทั้งสี่เบิกตากว้าง เหตุผลที่ได้ฟังน่าตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่นางมาบอกว่าไม่ต้องการโอสถผสานสวรรค์เสียอีก ‘รุ่นน้องผู้นี้เคยใช้โอสถผสานสวรรค์ในตำนานไปแล้วอย่างนั้นรึ ?’ นี่เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถือได้ จนพวกเขาถึงกับคิดว่าสตรีตรงหน้ากำลังโกหกเพราะต้องการเสียสละให้พวกเขา ทว่าเมื่อได้เห็นความจริงใจจากดวงตาเนื้อทรายคู่หวานนั้นก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำโต้แย้ง
“ฮ่า ๆ ๆ งั้นข้าเองก็ไม่ต้องการเหมือนกัน”
หลินซิวหยาหัวเราะก่อนจะกล่าวถอนตัว ไม่ขอเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงโอสถล้ำค่า
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลินซิวหยา คนที่เหลือก็อึ้งไปทันทีอีกครั้ง
“ไม่ต้องตกใจหรอก ที่ข้าไม่ต้องการก็เพราะว่าข้ารู้สึกว่าอีกไม่นานข้าคงจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทูตสวรรค์ได้แล้ว ในเมื่อจะทะลวงได้เองแล้วจะใช้โอสถให้เสียคุณค่าไปทำไมกัน”
หลินซิวหยาอธิบายด้วยรอยยิ้ม เขามั่นใจในพลังของตนเองมาก ไม่เพียงแต่มั่นใจแต่บุรุษผู้ชื่นชอบการต่อสู้ ‘รู้ดี’ ว่าตนเองกำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตต่อไปในไม่ช้านี้ เช่นนี้เขาจึงคิดว่าควรมอบให้ผู้อื่นที่จำเป็นต้องใช้มันมากกว่าเขาจะดีกว่า
“รุ่นพี่หลินซิวหยาใกล้จะทะลวงพลังแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ฟังวาจาของหลินซิวหยา ฉินอวี้โม่ก็ทึ่งในความแข็งแกร่งของรุ่นพี่ร่างใหญ่ผู้นี้จากใจจริง
“อืม ข้ารู้สึกว่าเหมือนจะจับทางบางอย่างได้แล้ว”
หลินซิวหยาพยักหน้าพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “และข้าก็เดาว่าปิงเสวียนกับลั่วเฉินเองก็เกือบจะทะลวงพลังได้แล้วเช่นกัน ข้าว่าสองคนนั่นน่าจะทำได้เร็วกว่าข้านิดหน่อย ส่วนหลินหยวนน่ะ ข้าประเมินแล้วเขาก็น่าจะพอ ๆ กับข้า แต่อย่าเอ็ดไปล่ะ เดี๋ยวจะมีคนหมั่นไส้หาว่าข้าโอ้อวด ฮ่า ๆ ๆ”
หลินซิวหยาเป็นคนเข้าถึงง่าย บุรุษผู้คลั่งไคล้การต่อสู้ผู้นี้คุ้นเคยกับทุกคนในโรงเรียน ซึ่งนั่นก็ช่วยให้เขาสามารถจับตาดูพลังและการพัฒนาฝีมือของทุกคนที่มีสิทธิ์เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างใกล้ชิด
เขาต้องยอมรับจากใจจริงว่าความแข็งแกร่งของปิงเสวียนและลั่วเฉินเหนือชั้นกว่ามาก แม้ว่าเขาจะไม่เคยเกรงกลัวแต่ก็พอจะมีความรู้สึกยำเกรงในพลังการต่อสู้ของคนทั้งสองอยู่บ้าง
ส่วนความแข็งแกร่งของหลินหยวน ถึงแม้หลินซิวหยาจะกล่าวได้เต็มปากว่าใกล้เคียงกับเขา ทว่าถ้าหากต้องประมือกันจริง ๆ ตัวเขาเองก็อาจจะไม่ใช่ฝ่ายที่เหนือกว่า
ตรงกันข้ามกับจีหย่งที่อยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา สำหรับคนแซ่จีผู้นี้หลินซิวหยาไม่ได้จับตามองมากนักเพราะความแข็งแกร่งและสติปัญญาที่จีหย่งมีไม่พอจะทำให้เขายำเกรงได้
เมื่อได้ยินว่าทั้งปิงเสวียนและลั่วเฉินใกล้จะก้าวข้ามขอบเขตพลังเต็มทีแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงแรงกดดันน้อย ๆ ที่ก่อตัวขึ้นในใจ เพราะในตอนนี้ถึงแม้นางจะแข็งแกร่งอย่างไรก็ยังไม่อาจเทียบกับยอดฝีมือในขอบเขตทูตสวรรค์ได้
ฉินอวี้โม่ยอมรับว่าสิ่งที่ได้ฟังทำให้ความมั่นใจของนางลดฮวบลงไปจนน่าหวาดหวั่น จากก่อนหน้านี้ที่มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะชนะเลิศการแข่งขันประเภทเดี่ยว ในตอนนี้เหลือเพียงสามส่วนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้จะรู้สึกกดดันจนความมั่นใจหดหาย แต่นางก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย ในตอนนี้ยังไม่ลงสนาม การแข่งขันก็ยังไม่เริ่มต้น ความกลัวไม่ใช่วิสัยของฉินอวี้โม่ ไม่ว่าอย่างไรสำหรับนางความหวังก็ยังเปิดกว้างเสมอ
นางตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโรงเรียนราชสำนักให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหรือจะแข็งแกร่งมากเพียงใด นางก็จะก้าวข้ามไปให้ได้
“ข้าไม่ต้องการโอสถผสานสวรรค์ ”
จู่ ๆ หลี่จิ้งก็กล่าวขึ้นมาเสียงสงบนิ่ง ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ใด ๆ แสดงออกมาให้เห็น
แท้จริงแล้ว หลี่จิ้งก็แข็งแกร่งไร้เทียมทานไม่ต่างจากฉินอวี้โม่เท่าใดนัก แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในอันดับสองของทำเนียบพสุธาแต่ความแข็งแกร่งอันจริงแท้กลับไม่ได้ด้อยกว่าเพ่ยหลงที่บัดนี้ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบนภาเรียบร้อยแล้ว
เป็นเพราะในช่วงหลังมานี้เขาแทบจะไม่เคยกลับไปในโรงเรียนและมักจะผจญภัยพร้อมกับฝึกฝนพลังอยู่ข้างนอกจึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา
“น้องหลี่จิ้งก็ใกล้จะก้าวข้ามแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
เนี่ยหรูเฟิงอดถามขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเห็นหลี่จิ้งพยักหน้า บุรุษผู้อยู่ในอันดับที่เจ็ดแห่งทำเนียบนภาก็หมดสิ้นวาจาจะกล่าวไปในทันที ‘กลุ่มของเขาเป็นศูนย์รวมของสัตว์ประหลาดงั้นหรือนี่ ?’
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พยักหน้าเพื่อยืนยันเช่นนั้น แต่เนี่ยหรูเฟิงก็พอจะสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของหลี่จิ้งเกือบจะใกล้เคียงกับหลินซิวหยาแล้ว
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจมากที่เห็นหลี่จิ้งพยักหน้า นางเพิ่งได้เปิดหูเปิดตาในวันนี้ว่าในโรงเรียนราชสำนักมียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่มากมายขนาดนี้
“น้องหลี่จิ้ง เราลองหาวันว่าง ๆ ประลองฝีมือกันหน่อยเป็นอย่างไร ?”
ทันทีที่ได้รับรู้เรื่องนี้ บุรุษร่างใหญ่ผู้คลั่งไคล้การต่อสู้อย่างหลินซิวหยาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวชักชวน
หลี่จิ้งพยักหน้า “ไว้ข้าจะเป็นคู่ซ้อมให้”
“เนี่ยหรูเฟิง โอสถผสานสวรรค์เจ้าเอาไปเถอะนะ”
จู่ ๆ เจียงหลิวเยว่ก็กล่าว บนใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มร่า
“หรือว่าเจ้าเองก็ใกล้จะก้าวข้ามแล้ว ?”
ประโยคดังกล่าวของเจียงหลิวเยว่ทำให้เนี่ยหรูเฟิงเบิกตากว้าง ภายในวันนี้เขาอึ้งงันไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ยากที่จะนับ ‘นี่แม้แต่เจียงหลิวเยว่ก็ด้วยอย่างนั้นหรือ ?’
“ฮ่า ๆ ๆ เนี่ยหรูเฟิง ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้ากำลังคิดนะ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนคนพวกนั้น”
เจียงหลิวเยว่หัวเราะพลางส่ายศีรษะ นางไม่ได้มีพรสวรรค์ผิดมนุษย์เหมือนสมาชิกคนอื่นในกลุ่มนี้
“เจ้าอย่าลืมสิว่าข้าเป็นใคร แค่โอสถผสานสวรรค์ข้าใช้มันไปตั้งนานแล้ว”
ในฐานะที่เป็นคุณหนูแห่งโรงประมูลทั่วทั้งแผ่นดิน การจะหาโอสถผสานสวรรค์มาสักเม็ดย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับโฉมงามผู้นี้
.