คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 169 ล่องูออกจากถ้ำ

“หึ ๆ ๆ เป็นเนื้อเรื่องที่น่าสนใจดีนะ”

ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ที่เงียบนิ่งมาตลอดก็หัวเราะแล้วเอ่ยวาจา

นางค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหากลุ่มคนผู้ปั้นเรื่องกล่าวหานางอย่างช้า ๆ ใบหน้างดงามเรียบเฉยไม่มีร่องรอยที่บ่งบอกถึงความเดือดร้อน ริมฝีปากอวบอิ่มขยับเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ทว่ากลับดูลึกลับจนยากที่จะคาดเดาความหมายได้

“พวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นคนสังหารหัวหน้าของพวกเจ้าใช่หรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่จ้องมองผู้ที่เพิ่งพ่นถ้อยคำด่าทอนางเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ยถาม สองเท้ายังก้าวเข้าใกล้พวกเขาไม่หยุด

“ใช่ เจ้าทำลายพลังยุทธ์ของเขาก่อน จนเขาไม่สามารถฝึกฝนได้อีก จากนั้นเจ้าก็ลงมือสังหารเขาทันที เพราะหัวหน้าของเรายินดีตายดีกว่าจะยอมมอบแหวนมิติและอสูรมายาให้คนอย่างเจ้า เมื่อเจ้าขู่เขาไม่ได้ก็เลยฆ่าทิ้งแล้วขโมยมันไป”

แม้ว่าจะรู้สึกกดดันและหวาดหวั่น แต่เขาก็ยังกัดฟันไว้แล้วกล่าวเรื่องที่คิดปั้นแต่งเอาไว้แล้วอย่างหนักแน่น

“ฉินอวี้โม่ หัวหน้าของเรามีนามว่าหนี้ป่าชี่ เจ้าต้องรู้จักเขาแน่ ไม่ต้องมาทำไขสือ !”

บุรุษผู้รับบทบาทผู้ทวงความยุติธรรมให้แก่สหายผู้ล่วงลับ กล่าวเพิ่มเติมเพราะหวั่นเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะจำพวกตนไม่ได้ ท่าทีของสตรีตรงหน้าในตอนนี้เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“หนี้ป่าชี่ อ่อ รู้สึกคุ้นอยู่เหมือนกันนะ”

ฉินอวี้โม่ยกมุมปากขึ้นอีกเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้

“แต่ว่านะสหาย ไหนล่ะหลักฐานที่เจ้าบอกว่าข้าคือคนลงมือฆ่าหัวหน้ากลุ่มของเจ้า ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวถาม ครานี้รอยยิ้มของนางหวานหยดแต่กลับชวนให้หนาวเหน็บเข้ากระดูก

เมื่อถูกกล่าวหาต่อหน้าสาธารณชนก็เป็นธรรมดาที่ต้องชี้แจงและหาวิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ที่ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดก็เป็นเพราะนางกำลังรอคอยเวลา อดีตสาวนักฆ่ากำลังสงสัยว่าหนี้ป่าชี่ตายไปแล้วจริงหรือไม่ แล้วเหตุใดเขาถึงได้ตายอย่างกะทันหัน ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำซ่อนเร้น ที่สำคัญใครกันที่เขียนบทโกรธแค้นให้คนกลุ่มนี้ลุกขึ้นมากล่าวหานางเหมือนเช่นที่ทำอยู่

“เหอะ พวกเราเห็นด้วยสองตาของเราเอง ที่สำคัญแหวนมิติกับอสูรมายาของเราทั้งกลุ่มก็อยู่ที่เจ้า นั่นยังไม่ใช่หลักฐานอีกเรอะ ?”

แม้ว่าคนผู้นี้จะกลัวจนเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ก็ยังคงทุ่มเถียงเสียงแข็งไม่ยอมแพ้

“ฮึ ๆ ๆ เรื่องนี้รุ่นพี่หลินซิวหยาและคนอื่น ๆ ก็เป็นพยานให้ข้าได้ว่าข้าไม่ได้ลงมือฆ่าหนี้ป่าชี่ ข้าเพียงทำลายพลังยุทธ์ของเขาเพราะเขามาทำร้ายสหายของข้าก่อน ฉะนั้นการที่ข้าจะเอาคืนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเจ้ายืนกรานว่าข้าเป็นคนฆ่าเขาก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นางเอ่ยนามรุ่นพี่ในกลุ่มเป็นพยาน และเช่นเคยใบหน้าหวานซึ้งยังคงมีรอยยิ้ม

“ถูกต้อง ถ้าพวกเจ้าจะกล่าวหาว่าฉินอวี้โม่เป็นคนสังหารหนี้ป่าชี่ก็ต้องมีหลักฐานสนับสนุน คำกล่าวอ้างของคนในกลุ่มเดียวกันใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ สิ่งของก็ไม่ได้บ่งชี้ว่านางเป็นผู้ลงมือ เพราะฉะนั้นจะตัดสินว่าฉินอวี้โม่เป็นคนฆ่าไม่ได้”

อาจารย์ลิ้วหยวยเอ่ยปาก ส่วนตัวแล้วใจของเขานั้น เขายังเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่

แม้ว่าจะไม่ได้รู้จักมักคุ้นหรือสนิทสนมกับนักเรียนน้อยผู้นี้มากนัก ทว่าจากคำเล่าลือของอาจารย์คนอื่น ๆ ลิ้วหยวยรู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นคนที่มีคุณธรรมและยึดมั่นในมิตรภาพเป็นอย่างยิ่ง การที่คนอย่างนางจะลงมือฆ่าสหายร่วมโรงเรียนนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

ไม่ใช่แค่ลิ้วหยวยคนเดียวที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่มู่อวิ๋นและอาจารย์คนอื่นที่เคยสอนฉินอวี้โม่ก็ไม่เชื่อถือในคำกล่าวหาของตัวแทนกลุ่มหนี้ป่าชี่เช่นกัน พวกเขารู้จักนิสัยของนักเรียนแซ่ฉินผู้นี้ดี เหล่าอาจารย์ทั้งหลายจึงเริ่มจะคาดเดาว่าเรื่องนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่ไม่ธรรมดา

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเป็นสตรีที่รักพวกพ้องมากมาย และไม่ว่ากลุ่มที่กำลังกล่าวหานางอยู่จะทำให้ดรุณีน้อยโกรธแค้นเพียงใดก็ตาม แต่อย่างนางคงไม่ถึงกับลงมือสังหารหนี้ป่าชี่ที่เป็นนักเรียนร่วมสถาบันเหมือนเช่นที่เคยทำกับพวกอารามได้เป็นแน่

“ท่านอาจารย์ ท่านอธิการ พวกท่านต้องเชื่อพวกเรานะขอรับ !”

สมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่จ้องมองผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งทั้งหลายในโรงเรียนราชสำนักด้วยสายตาไม่ยินยอม สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าบุรุษผู้เอ่ยคำ ในระหว่างนั้นเองเขาก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งจากทางหางตา

เมื่อมั่นใจว่าเป็นผู้ใดเขาก็รีบจ้องมองคนกลุ่มนั้นด้วยแววตาเว้าวอน

ฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบุรุษที่ใส่ร้ายนางจับสังเกตสายตานั้นได้ สตรีโฉมงามมองตามไปยังจุดที่คนโกหกมองอยู่ ณ จุดนั้นกลุ่มของจีหย่งและลั่วเฉินกำลังเดินเข้ามาในจัตุรัสกลาง

อดีตภาคีพันธมิตรทั้งสองเพิ่งเสร็จสิ้นการปะทะคารมครั้งใหญ่จึงเข้ามาในพิธีประกาศรางวัลล่าช้า ฝ่ายของจีหย่งนั้นยังมีใบหน้ายับยุ่งขุ่นเคือง ส่วนทางด้านลั่วเฉินกลับยังคงสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

เวลานี้ไม่ใช่เพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่เห็นว่าตัวแทนของหนี้ป่าชี่จ้องมองผู้ใด แต่อย่างไรก็ตามในความคิดของทุกคนในจัตุรัสกลาง ปัญหานี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับจีหย่งและลั่วเฉิน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่ถึงใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปในทิศทางที่พวกเขาอยู่

“หากไม่มีหลักฐาน ฉินอวี้โม่ก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาข้ากล้ารับรองว่านางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นได้ แม้ว่านางจะเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะเข้าโรงเรียนมาได้ไม่นานแต่ข้าก็รู้จักนางดี !”

อาจารย์ซ่างกวนซวี่กล่าวสนับสนุนนักเรียนในชั้นเรียนของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับดรุณีผู้นี้มากที่สุด และเขาก็ไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด ในความคิดของเขา ถ้าหากฉินอวี้โม่สังหารหนี้ป่าชี่จริง นางก็จะต้องยอมรับออกมาเองแล้ว และก็คงชี้แจงเหตุผลอันสมควรที่ตัดสินใจลงมือเช่นนั้น การกระทำชั่วลับหลังไม่ใช่วิสัยของสาวน้อยผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้

“ใช่ เรื่องนี้จะเป็นฝีมือของอวี้โม่ได้ยังไง ? พวกเจ้าพูดโกหก !”

“ก็เหมือนกับที่รุ่นพี่หลินซิวหยาพูดนั่นแหละ พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ไม่รู้หรอกนะว่าหัวหน้าของพวกเจ้าตายได้อย่างไร แต่อย่ามาโยนความผิดให้รุ่นน้องอวี้โม่จะดีกว่า”

เริ่มมีเสียงของใครหลายคนตะโกนขึ้นมา พวกเขาต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ในเมื่อไม่มีหลักฐานก็ยากจะเชื่อข้อกล่าวหานี้ได้

“ใช่ หน้าไม่อายจริง ๆ กล้าใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ทางโรงเรียนไม่ควรปล่อยให้คนพวกนี้อยู่ในโรงเรียนต่อไป”

“ใช่ ๆ”

..

.

ในเวลานี้มีคนมากมายส่งเสียงสนับสนุนฉินอวี้โม่ นับตั้งแต่ที่คุณหนูสี่ตระกูลฉินผู้นี้เข้ามาในโรงเรียน แม้จะมีผู้กังขานางมากเพียงใด แต่สตรีผู้นี้ก็ยังไม่เคยกระทำเรื่องเสื่อมเสีย อีกทั้งนางยังมีพรสวรรค์ที่สูงส่งน่านับถือ เมื่อเวลาผ่านไปฉินอวี้โม่จึงกลายเป็นที่รักของนักเรียนส่วนมากในโรงเรียนได้

เมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นนี้ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จึงเลือกสนับสนุนฉินอวี้โม่เป็นธรรมดา

สีหน้าของสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่เริ่มปั้นยากถึงขีดสุด พวกเขาหันไปมองทิศทางที่จีหย่งและลั่วเฉินยืนอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยสีหน้าวิตกกังวล

ฉินอวี้โม่ที่อยู่ใกล้ที่สุดมองเห็นสีหน้าแววตาของพวกเขาโดยตลอด ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก เมื่อดูจากแววตาของกลุ่มคนตรงหน้านี้ อดีตนักฆ่าก็พอจะคาดเดาได้ว่าผู้ที่สังหารหนี้ป่าชี่จะต้องเป็นจีหย่งหรือไม่ก็ลั่วเฉินคนใดคนหนึ่งเป็นแน่ !

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเองก็เป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

ทันใดนั้น จู่ ๆ ลั่วเฉินก็ก้าวออกมาด้านหน้า ก่อนจะกล่าวเสียงดัง ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนคนเดิมที่ทุกคนเคยพบเห็นในโรงเรียน

เมื่อเห็นว่าลั่วเฉินก้าวออกมา สีหน้าของสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มหกพันธมิตรก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาได้รับรู้ถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของคนลึกลับผู้นี้แล้ว เวลานี้แม้จะไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงและไม่รู้ว่าบุรุษน่ากลัวคิดจะทำสิ่งใดต่อไป แต่มันก็ดูไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย

“โอ้ เช่นนั้น เจ้าช่วยบอกพวกเราทีว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร”

เมื่อเห็นลั่วเฉินก้าวออกมา ลิ้วหยวยก็ยิ้มแล้วเอ่ยถาม

เป็นตอนนั้นเองที่มู่อวิ๋นขมวดคิ้ว ความสงสัยบางอย่างแล่นเข้ามาในใจผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียน

“หนี้ป่าชี่ถูกฉินอวี้โม่ฆ่าตายจริง ๆ ข้าไม่ทราบหรอกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน ในตอนที่กลุ่มของข้าผ่านไปตรงจุดนั้นก็เป็นตอนที่รุ่นน้องฉินอวี้โม่ลงมือสังหารหนี้ป่าชี่ จากนั้นรุ่นน้องฉินอวี้โม่ก็ชิงแหวนมิติและข่มขู่เอาอสูรมายามาจากกลุ่มของหนี้ป่าชี่”

ลั่วเฉินบอกเล่าด้วยน้ำเสียงมั่นคง คนผู้นี้กล่าวคำโกหกออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ ยิ่งกว่านั้นท่าทีของเขากลับดูน่าเชื่อถืออย่างเหลือล้น

ทันทีที่ลั่วเฉินกล่าวจบ เหล่าอาจารย์ที่อยู่บนเวทีก็หันมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเริ่มมีแววแปลกเปลี่ยน

แม้ว่าสีหน้าของมู่อวิ๋นกับซ่างกวนซวี่จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่คิ้วของอาจารย์ทั้งสองก็ขมวดเป็นปมแน่นขึ้น อย่างไรก็ตามสองผู้อาวุโสก็ยังพยักหน้าน้อย ๆ ให้ฉินอวี้โม่เพื่อเป็นการบอกว่าพวกเขาเชื่อนาง

“สวรรค์ ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นคนที่ชั่วร้ายเช่นนี้”

นักเรียนหญิงผู้หนึ่งอุทานออกมาด้วยแววตาแตกตื่น นางคือผู้ที่ชื่นชมในตัวลั่วเฉินมานานและอิจฉาในความสำเร็จของฉินอวี้โม่ และถึงแม้เสียงอุทานนั้นจะไม่ได้ดังมากมาย แต่ก็เพียงพอให้หลายคนได้ยิน

ลั่วเฉินอยู่โรงเรียนราชสำนักมานานและพิสูจน์ความแข็งแกร่งต่อหน้าผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นที่เทิดทูนและชื่นชมของศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลาย อีกทั้งที่ผ่านมาด้วยภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษแสนหล่อเหลา เขาจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงอย่างมาก

และการครอบครองอันดับสองของทำเนียบนภามาอย่างยาวนานก็ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเพราะโชคช่วย ในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนออกปากเอง นักเรียนมากกว่าครึ่งของโรงเรียนจึงเชื่อถือและเอนเอียงไปทางฝั่งตัวแทนของหนี้ป่าชี่ในทันที

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมองมาที่ฉินอวี้โม่ก่อนจะหันไปกระซิบกับสหายที่อยู่ข้างกาย “ข้าหลงคิดมาตลอดเลยว่ารุ่นน้องฉินอวี้โม่เป็นคนที่น่าชื่นชม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนชั่วร้ายแบบนี้ น่าผิดหวังจริง ๆ”

“ใช่ ๆ ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่านางจะรังแกและฆ่าสหายร่วมสถาบันได้ ช่างเป็นการกระทำที่เลวร้ายจนเกินจะรับได้จริง ๆ”

“น่าเสียดายความงามของนาง อีกทั้งพรสวรรค์ที่สูงส่งที่ต้องมาพังทลายลงเพราะพฤติกรรมที่น่ารังเกียจแบบนี้”

……

เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าจีหย่งก็อึ้งงันไป เมื่อครู่ก่อนจะเข้ามาในจัตุรัสกลางซึ่งเป็นสถานที่ประกาศผลการแข่งขัน กลุ่มของพวกเขาออกตามหาลั่วเฉิน เพราะหมายใจเอาเรื่องกับคนบัดซบ ทว่าเมื่อได้เห็นหน้าพวกเขา อีกฝ่ายกลับไม่วิ่งหนี ยิ่งไปกว่านั้นยังตีหน้าตายทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สำนึกความผิด ไม่คิดรับผิดชอบสิ่งที่กระทำลงไป ซ้ำยังเอ่ยปากชวนพวกเขาไปชมการประกาศรางวัลด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในตอนนั้นจีหย่งแทบอยากสังหารคนต่ำช้าให้ตายคามือ ทว่าฝ่ายของเขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ในโรงเรียนซึ่งไม่อนุญาตให้มีการทะเลาะวิวาท หรือหากจะประลองก็จะต้องยินยอมทั้งสองฝ่าย

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรลั่วเฉินได้ กลุ่มพันธมิตรจีหย่งจึงได้แต่เดินตามกลุ่มลั่วเฉินมายังจุดรวมตัวก่อน เขาหมายใจว่าจะรอให้การประการผลการแข่งจบลงแล้วจะสะสางความแค้นกับคนทรยศผู้นี้

ทว่า จู่ ๆ กับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เวลานี้สมาชิกในกลุ่มพันธมิตรจีหย่งต่างก็งุนงงเป็นอย่างมาก ทว่าเห็นว่าฉินอวี้โม่ศัตรูอันดับหนึ่งกำลังตกที่นั่งลำบากคนแซ่จีก็ไม่พลาดที่จะกล่าวตามน้ำไป

“ฉินอวี้โม่เป็นคนยโสโอหังอยู่แล้ว การที่นางทำเรื่องเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องที่นางฆ่าคนพวกเราไม่ได้ประหลาดใจเลย พวกเราหวังว่าทางโรงเรียนจะมีบทลงโทษที่สาสมกับความผิดนี้ !”

ผู้ที่กล่าวออกมาก็คือจีชางบุรุษแซ่จีผู้น้อง

เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนจำนวนมาก สีหน้าของหลินซิวหยาก็บูดบึ้งจนน่าเกลียด ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ในกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่กำลังกรุ่นโกรธเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าผู้ที่มีสีหน้าปั้นยากที่สุดก็คือสามพี่น้องแซ่สือ ลั่วอวิ๋นและฉีอวี้ พวกเขาทั้งห้าคือคนที่ฉินอวี้โม่ช่วยเอาไว้ในยามนั้น ทั้งห้าคนรู้สึกเสมือนเป็นต้นเหตุที่ทำให้สหายสาวตกที่นั่งลำบากอยู่ในเวลานี้

กลุ่มของฉีอวี้รู้อยู่แก่ใจว่าฉินอวี้โม่ทำเพื่อช่วยเหลือพวกเขา ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะกลายเป็นเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจโดยแท้ ! พวกเขาอยากจะเข้าไปลงมือกับคนระยำที่กล้าปั้นน้ำเป็นตัว แต่น่าเจ็บใจยิ่งนัก ที่ทั้งห้าคนไม่สามารถทำอะไรในตอนนี้ได้เลย

“หุบปาก !”

ทันใดนั้น ปิงเสวียนก็ตะโกนเสียงดังลั่น ตัวเขาเชื่อในตัวรุ่นน้องตระกูลฉิน เพราะเขาคือหนึ่งในผู้ที่ตกอยู่ในหลุมพรางของลั่วเฉินและได้รู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสงสัยบุรุษผู้ครองอันดับสองของทำเนียบนภามานานแล้ว เมื่อรวมเหตุการณ์ในปราสาทเหมันต์เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าบุรุษลึกลับนามลั่วเฉินไม่ได้มีเจตนาดีอย่างแน่นอน

“หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็จงอย่ากล่าววาจาเหลวไหล ก่อนที่ความจริงจะเปิดเผยออกมา ขอให้สงบปากกันเอาไว้ด้วย มิฉะนั้นจะหน้าแหกได้ในภายหลัง !”

ปกติแล้ว ปิงเสวียนมีนิสัยเคร่งขรึมจนติดจะเย็นชาและไม่ค่อยเอ่ยวาจากับผู้ใดมากนัก ยิ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน เขาก็ยิ่งไม่ชอบสอดมือเข้าไปยุ่ง ทว่าในครั้งนี้นักเรียนผู้ครองอันดับหนึ่งแห่งโรงเรียนราชสำนักกลับกล่าวเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ อีกทั้งแรงกดดันที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายแข็งแกร่งก็ทำให้หลายคนรู้สึกตัวสั่นในทันที ผู้ที่มีพลังยุทธ์อ่อนแอถูกสภาวะพลังอันทรงพลังกดดันจนถึงกับเอ่ยสิ่งใดไม่ออก

อย่างไรก็ตาม แววตาที่นักเรียนทั้งหลายในจัตุรัสกลางใช้มองฉินอวี้โม่ก็ยังเต็มไปด้วยความรังเกียจดังเดิม

“ท่านอธิการ ข้าคิดว่าการจะพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ได้ยากเย็นเลย”

ทันใดนั้น เพ่ยหลงก็กล่าวกับมู่อวิ๋นด้วยเสียงอันดัง บนใบหน้าของนางมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน

“แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตาตัวเอง แต่โดยส่วนตัวข้าก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่และไม่เชื่อว่านางจะทำเรื่องเลวร้ายได้ ข้าขอเสนอให้ทั้งสองฝ่ายให้คำสัตย์สาบานต่อหน้าฟ้าดิน แล้วผลลัพธ์ก็จะเผยออกมาเอง !”

การสาบานต่อหน้าฟ้าดินของจอมยุทธ์ในโลกมายาแห่งนี้มีความพิเศษอยู่ หากผู้กล่าวคำสาบานทำผิดต่อคำสาบานหรือทำตามสิ่งที่สาบานไว้ไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ซึ่งนั่นรวมไปถึงการโกหกในคำสาบาน คนผู้นั้นก็จะได้รับผลแห่งคำสาบานอันรุนแรง และจะไม่สามารถหลีกหนีจากผลกรรมนี้ได้ไปชั่วชีวิต

ดังนั้นโดยปกติแล้ว จอมยุทธ์ทั่วหล้าในดินแดนมายาแห่งนี้จึงไม่นิยมเอ่ยคำสัตย์สาบานต่อหน้าฟ้าดินอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะไม่มีผู้ใดอยากถูกเคราะห์กรรมตามติดตัว

ฉินอวี้โม่ฟังขอเสนอของเพ่ยหลงด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม คุณหนูสี่ตระกูลฉินนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ

เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คิดเอาไว้เช่นกัน แม้รุ่นพี่สาวจะไม่เอ่ยถึงวิธีการนี้นางก็จะเป็นผู้เสนอให้ใช้วิธีดังกล่าวด้วยตัวเอง

ที่ผ่านมาที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่เป็นเพราะนางต้องการจะ ‘ล่องูออกจากถ้ำ’* อดีตนักฆ่าสาวอยากจะมั่นใจว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จึงพยายามกดดันให้บุรุษผู้เอ่ยบทบาทตามที่คนอื่นเขียนให้เริ่มร้อนรน จนในที่สุดคนที่อยู่เบื้องหลังก็จะโผล่หางออกมา

(*引蛇出洞 ล่องูออกจากถ้ำแปลว่าล่อให้ศัตรูปรากฏตัวออกมาซึ่งคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘ล่อเสือออกจากถ้ำ’)

“ข้าฉินอวี้โม่ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าข้า ตลอดจนกลุ่มของข้าและเหล่าสหายไม่ได้สังหารบุรุษนามว่าหนี้ป่าชี่ หากสิ่งที่ข้ากล่าวมาคือเรื่องโกหกขอให้ข้ามีอันเป็นไปต่อหน้าท่านอธิการอาจารย์ทั้งหลายและนักเรียนที่อยู่ที่นี่ ณ บัดนี้ !”

ฉินอวี้โม่กัดนิ้วตัวเองโดยไม่ลังเล ก่อนจะเค้นเลือดให้หยดลงสู่พื้นดิน พิธีกรรมแห่งการหลั่งเลือดสาบานต่อหน้าฟ้าดินของนางเสร็จสิ้นสมบูรณ์

สิ้นคำสาบานของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน อักขระแห่งฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นใต้พื้นดินรอบกายบาง และในทันทีที่หยดเลือดของนางกระทบพื้น อักขระเรืองรองนั้นก็สลายไป

ทุกอย่างสงบนิ่งลง ฉินอวี้โม่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่งามมุ่งมั่นแน่วแน่ สภาวะพลังจากร่างบางยังคงแข็งแกร่ง นี่พิสูจน์ได้แล้วว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้พูดโกหก

เมื่อเห็นว่าอักขระแห่งฟ้าดินสลายไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สตรีผู้งดงามยังคงสมบูรณ์ทุกประการ สีหน้าของเหล่าผู้ที่นึกสงสัยในตัวฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยแววแห่งความละอายใจ  พวกเขาไม่กล้าจะกล่าววิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดอีกแล้ว แม้แต่จะเอ่ยคำขออภัยก็ยังไม่กล้า นักเรียนจำนวนมากได้แต่ก้มหน้าลงต่ำเพราะความอับอาย ส่วนทางด้านของผู้ที่เชื่อในตัวฉินอวี้โม่ก็โล่งใจไปได้มาก หลายคนฉีกยิ้มออกมาอย่างยินดี

“หึ ๆ ๆ ท่านอธิการ ท่านอาจารย์รวมถึงสหายทั้งหลาย ข้าพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้สังหารหนี้ป่าชี่ ทีนี้ก็เหลือแต่ทางรุ่นพี่ลั่วเฉินแล้วว่าจะกล้าสาบานหรือไม่ ว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมาก่อนจะจ้องมองลั่วเฉิน นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าบุรุษลึกลับผู้นี้จะแก้สถานการณ์ต่อไปอย่างไร !

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 169 ล่องูออกจากถ้ำ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 169 ล่องูออกจากถ้ำ

“หึ ๆ ๆ เป็นเนื้อเรื่องที่น่าสนใจดีนะ”

ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ที่เงียบนิ่งมาตลอดก็หัวเราะแล้วเอ่ยวาจา

นางค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหากลุ่มคนผู้ปั้นเรื่องกล่าวหานางอย่างช้า ๆ ใบหน้างดงามเรียบเฉยไม่มีร่องรอยที่บ่งบอกถึงความเดือดร้อน ริมฝีปากอวบอิ่มขยับเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ทว่ากลับดูลึกลับจนยากที่จะคาดเดาความหมายได้

“พวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นคนสังหารหัวหน้าของพวกเจ้าใช่หรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่จ้องมองผู้ที่เพิ่งพ่นถ้อยคำด่าทอนางเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ยถาม สองเท้ายังก้าวเข้าใกล้พวกเขาไม่หยุด

“ใช่ เจ้าทำลายพลังยุทธ์ของเขาก่อน จนเขาไม่สามารถฝึกฝนได้อีก จากนั้นเจ้าก็ลงมือสังหารเขาทันที เพราะหัวหน้าของเรายินดีตายดีกว่าจะยอมมอบแหวนมิติและอสูรมายาให้คนอย่างเจ้า เมื่อเจ้าขู่เขาไม่ได้ก็เลยฆ่าทิ้งแล้วขโมยมันไป”

แม้ว่าจะรู้สึกกดดันและหวาดหวั่น แต่เขาก็ยังกัดฟันไว้แล้วกล่าวเรื่องที่คิดปั้นแต่งเอาไว้แล้วอย่างหนักแน่น

“ฉินอวี้โม่ หัวหน้าของเรามีนามว่าหนี้ป่าชี่ เจ้าต้องรู้จักเขาแน่ ไม่ต้องมาทำไขสือ !”

บุรุษผู้รับบทบาทผู้ทวงความยุติธรรมให้แก่สหายผู้ล่วงลับ กล่าวเพิ่มเติมเพราะหวั่นเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะจำพวกตนไม่ได้ ท่าทีของสตรีตรงหน้าในตอนนี้เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

“หนี้ป่าชี่ อ่อ รู้สึกคุ้นอยู่เหมือนกันนะ”

ฉินอวี้โม่ยกมุมปากขึ้นอีกเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้

“แต่ว่านะสหาย ไหนล่ะหลักฐานที่เจ้าบอกว่าข้าคือคนลงมือฆ่าหัวหน้ากลุ่มของเจ้า ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวถาม ครานี้รอยยิ้มของนางหวานหยดแต่กลับชวนให้หนาวเหน็บเข้ากระดูก

เมื่อถูกกล่าวหาต่อหน้าสาธารณชนก็เป็นธรรมดาที่ต้องชี้แจงและหาวิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ที่ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดก็เป็นเพราะนางกำลังรอคอยเวลา อดีตสาวนักฆ่ากำลังสงสัยว่าหนี้ป่าชี่ตายไปแล้วจริงหรือไม่ แล้วเหตุใดเขาถึงได้ตายอย่างกะทันหัน ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำซ่อนเร้น ที่สำคัญใครกันที่เขียนบทโกรธแค้นให้คนกลุ่มนี้ลุกขึ้นมากล่าวหานางเหมือนเช่นที่ทำอยู่

“เหอะ พวกเราเห็นด้วยสองตาของเราเอง ที่สำคัญแหวนมิติกับอสูรมายาของเราทั้งกลุ่มก็อยู่ที่เจ้า นั่นยังไม่ใช่หลักฐานอีกเรอะ ?”

แม้ว่าคนผู้นี้จะกลัวจนเผลอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ก็ยังคงทุ่มเถียงเสียงแข็งไม่ยอมแพ้

“ฮึ ๆ ๆ เรื่องนี้รุ่นพี่หลินซิวหยาและคนอื่น ๆ ก็เป็นพยานให้ข้าได้ว่าข้าไม่ได้ลงมือฆ่าหนี้ป่าชี่ ข้าเพียงทำลายพลังยุทธ์ของเขาเพราะเขามาทำร้ายสหายของข้าก่อน ฉะนั้นการที่ข้าจะเอาคืนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเจ้ายืนกรานว่าข้าเป็นคนฆ่าเขาก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นางเอ่ยนามรุ่นพี่ในกลุ่มเป็นพยาน และเช่นเคยใบหน้าหวานซึ้งยังคงมีรอยยิ้ม

“ถูกต้อง ถ้าพวกเจ้าจะกล่าวหาว่าฉินอวี้โม่เป็นคนสังหารหนี้ป่าชี่ก็ต้องมีหลักฐานสนับสนุน คำกล่าวอ้างของคนในกลุ่มเดียวกันใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ สิ่งของก็ไม่ได้บ่งชี้ว่านางเป็นผู้ลงมือ เพราะฉะนั้นจะตัดสินว่าฉินอวี้โม่เป็นคนฆ่าไม่ได้”

อาจารย์ลิ้วหยวยเอ่ยปาก ส่วนตัวแล้วใจของเขานั้น เขายังเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่

แม้ว่าจะไม่ได้รู้จักมักคุ้นหรือสนิทสนมกับนักเรียนน้อยผู้นี้มากนัก ทว่าจากคำเล่าลือของอาจารย์คนอื่น ๆ ลิ้วหยวยรู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นคนที่มีคุณธรรมและยึดมั่นในมิตรภาพเป็นอย่างยิ่ง การที่คนอย่างนางจะลงมือฆ่าสหายร่วมโรงเรียนนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

ไม่ใช่แค่ลิ้วหยวยคนเดียวที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่มู่อวิ๋นและอาจารย์คนอื่นที่เคยสอนฉินอวี้โม่ก็ไม่เชื่อถือในคำกล่าวหาของตัวแทนกลุ่มหนี้ป่าชี่เช่นกัน พวกเขารู้จักนิสัยของนักเรียนแซ่ฉินผู้นี้ดี เหล่าอาจารย์ทั้งหลายจึงเริ่มจะคาดเดาว่าเรื่องนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่ไม่ธรรมดา

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเป็นสตรีที่รักพวกพ้องมากมาย และไม่ว่ากลุ่มที่กำลังกล่าวหานางอยู่จะทำให้ดรุณีน้อยโกรธแค้นเพียงใดก็ตาม แต่อย่างนางคงไม่ถึงกับลงมือสังหารหนี้ป่าชี่ที่เป็นนักเรียนร่วมสถาบันเหมือนเช่นที่เคยทำกับพวกอารามได้เป็นแน่

“ท่านอาจารย์ ท่านอธิการ พวกท่านต้องเชื่อพวกเรานะขอรับ !”

สมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่จ้องมองผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งทั้งหลายในโรงเรียนราชสำนักด้วยสายตาไม่ยินยอม สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าบุรุษผู้เอ่ยคำ ในระหว่างนั้นเองเขาก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งจากทางหางตา

เมื่อมั่นใจว่าเป็นผู้ใดเขาก็รีบจ้องมองคนกลุ่มนั้นด้วยแววตาเว้าวอน

ฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าบุรุษที่ใส่ร้ายนางจับสังเกตสายตานั้นได้ สตรีโฉมงามมองตามไปยังจุดที่คนโกหกมองอยู่ ณ จุดนั้นกลุ่มของจีหย่งและลั่วเฉินกำลังเดินเข้ามาในจัตุรัสกลาง

อดีตภาคีพันธมิตรทั้งสองเพิ่งเสร็จสิ้นการปะทะคารมครั้งใหญ่จึงเข้ามาในพิธีประกาศรางวัลล่าช้า ฝ่ายของจีหย่งนั้นยังมีใบหน้ายับยุ่งขุ่นเคือง ส่วนทางด้านลั่วเฉินกลับยังคงสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

เวลานี้ไม่ใช่เพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่เห็นว่าตัวแทนของหนี้ป่าชี่จ้องมองผู้ใด แต่อย่างไรก็ตามในความคิดของทุกคนในจัตุรัสกลาง ปัญหานี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับจีหย่งและลั่วเฉิน ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่ถึงใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปในทิศทางที่พวกเขาอยู่

“หากไม่มีหลักฐาน ฉินอวี้โม่ก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาข้ากล้ารับรองว่านางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นได้ แม้ว่านางจะเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะเข้าโรงเรียนมาได้ไม่นานแต่ข้าก็รู้จักนางดี !”

อาจารย์ซ่างกวนซวี่กล่าวสนับสนุนนักเรียนในชั้นเรียนของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับดรุณีผู้นี้มากที่สุด และเขาก็ไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด ในความคิดของเขา ถ้าหากฉินอวี้โม่สังหารหนี้ป่าชี่จริง นางก็จะต้องยอมรับออกมาเองแล้ว และก็คงชี้แจงเหตุผลอันสมควรที่ตัดสินใจลงมือเช่นนั้น การกระทำชั่วลับหลังไม่ใช่วิสัยของสาวน้อยผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้

“ใช่ เรื่องนี้จะเป็นฝีมือของอวี้โม่ได้ยังไง ? พวกเจ้าพูดโกหก !”

“ก็เหมือนกับที่รุ่นพี่หลินซิวหยาพูดนั่นแหละ พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ไม่รู้หรอกนะว่าหัวหน้าของพวกเจ้าตายได้อย่างไร แต่อย่ามาโยนความผิดให้รุ่นน้องอวี้โม่จะดีกว่า”

เริ่มมีเสียงของใครหลายคนตะโกนขึ้นมา พวกเขาต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ในเมื่อไม่มีหลักฐานก็ยากจะเชื่อข้อกล่าวหานี้ได้

“ใช่ หน้าไม่อายจริง ๆ กล้าใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ทางโรงเรียนไม่ควรปล่อยให้คนพวกนี้อยู่ในโรงเรียนต่อไป”

“ใช่ ๆ”

..

.

ในเวลานี้มีคนมากมายส่งเสียงสนับสนุนฉินอวี้โม่ นับตั้งแต่ที่คุณหนูสี่ตระกูลฉินผู้นี้เข้ามาในโรงเรียน แม้จะมีผู้กังขานางมากเพียงใด แต่สตรีผู้นี้ก็ยังไม่เคยกระทำเรื่องเสื่อมเสีย อีกทั้งนางยังมีพรสวรรค์ที่สูงส่งน่านับถือ เมื่อเวลาผ่านไปฉินอวี้โม่จึงกลายเป็นที่รักของนักเรียนส่วนมากในโรงเรียนได้

เมื่อได้รับรู้เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นนี้ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จึงเลือกสนับสนุนฉินอวี้โม่เป็นธรรมดา

สีหน้าของสมาชิกกลุ่มหนี้ป่าชี่เริ่มปั้นยากถึงขีดสุด พวกเขาหันไปมองทิศทางที่จีหย่งและลั่วเฉินยืนอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยสีหน้าวิตกกังวล

ฉินอวี้โม่ที่อยู่ใกล้ที่สุดมองเห็นสีหน้าแววตาของพวกเขาโดยตลอด ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก เมื่อดูจากแววตาของกลุ่มคนตรงหน้านี้ อดีตนักฆ่าก็พอจะคาดเดาได้ว่าผู้ที่สังหารหนี้ป่าชี่จะต้องเป็นจีหย่งหรือไม่ก็ลั่วเฉินคนใดคนหนึ่งเป็นแน่ !

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าเองก็เป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

ทันใดนั้น จู่ ๆ ลั่วเฉินก็ก้าวออกมาด้านหน้า ก่อนจะกล่าวเสียงดัง ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนคนเดิมที่ทุกคนเคยพบเห็นในโรงเรียน

เมื่อเห็นว่าลั่วเฉินก้าวออกมา สีหน้าของสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มหกพันธมิตรก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขาได้รับรู้ถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของคนลึกลับผู้นี้แล้ว เวลานี้แม้จะไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงและไม่รู้ว่าบุรุษน่ากลัวคิดจะทำสิ่งใดต่อไป แต่มันก็ดูไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย

“โอ้ เช่นนั้น เจ้าช่วยบอกพวกเราทีว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร”

เมื่อเห็นลั่วเฉินก้าวออกมา ลิ้วหยวยก็ยิ้มแล้วเอ่ยถาม

เป็นตอนนั้นเองที่มู่อวิ๋นขมวดคิ้ว ความสงสัยบางอย่างแล่นเข้ามาในใจผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียน

“หนี้ป่าชี่ถูกฉินอวี้โม่ฆ่าตายจริง ๆ ข้าไม่ทราบหรอกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน ในตอนที่กลุ่มของข้าผ่านไปตรงจุดนั้นก็เป็นตอนที่รุ่นน้องฉินอวี้โม่ลงมือสังหารหนี้ป่าชี่ จากนั้นรุ่นน้องฉินอวี้โม่ก็ชิงแหวนมิติและข่มขู่เอาอสูรมายามาจากกลุ่มของหนี้ป่าชี่”

ลั่วเฉินบอกเล่าด้วยน้ำเสียงมั่นคง คนผู้นี้กล่าวคำโกหกออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแม้แต่ตาก็ไม่กะพริบ ยิ่งกว่านั้นท่าทีของเขากลับดูน่าเชื่อถืออย่างเหลือล้น

ทันทีที่ลั่วเฉินกล่าวจบ เหล่าอาจารย์ที่อยู่บนเวทีก็หันมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเริ่มมีแววแปลกเปลี่ยน

แม้ว่าสีหน้าของมู่อวิ๋นกับซ่างกวนซวี่จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่คิ้วของอาจารย์ทั้งสองก็ขมวดเป็นปมแน่นขึ้น อย่างไรก็ตามสองผู้อาวุโสก็ยังพยักหน้าน้อย ๆ ให้ฉินอวี้โม่เพื่อเป็นการบอกว่าพวกเขาเชื่อนาง

“สวรรค์ ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นคนที่ชั่วร้ายเช่นนี้”

นักเรียนหญิงผู้หนึ่งอุทานออกมาด้วยแววตาแตกตื่น นางคือผู้ที่ชื่นชมในตัวลั่วเฉินมานานและอิจฉาในความสำเร็จของฉินอวี้โม่ และถึงแม้เสียงอุทานนั้นจะไม่ได้ดังมากมาย แต่ก็เพียงพอให้หลายคนได้ยิน

ลั่วเฉินอยู่โรงเรียนราชสำนักมานานและพิสูจน์ความแข็งแกร่งต่อหน้าผู้คนมานับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นที่เทิดทูนและชื่นชมของศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลาย อีกทั้งที่ผ่านมาด้วยภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษแสนหล่อเหลา เขาจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักเรียนหญิงอย่างมาก

และการครอบครองอันดับสองของทำเนียบนภามาอย่างยาวนานก็ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเพราะโชคช่วย ในเมื่อคนผู้นี้เป็นคนออกปากเอง นักเรียนมากกว่าครึ่งของโรงเรียนจึงเชื่อถือและเอนเอียงไปทางฝั่งตัวแทนของหนี้ป่าชี่ในทันที

บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งมองมาที่ฉินอวี้โม่ก่อนจะหันไปกระซิบกับสหายที่อยู่ข้างกาย “ข้าหลงคิดมาตลอดเลยว่ารุ่นน้องฉินอวี้โม่เป็นคนที่น่าชื่นชม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนชั่วร้ายแบบนี้ น่าผิดหวังจริง ๆ”

“ใช่ ๆ ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่านางจะรังแกและฆ่าสหายร่วมสถาบันได้ ช่างเป็นการกระทำที่เลวร้ายจนเกินจะรับได้จริง ๆ”

“น่าเสียดายความงามของนาง อีกทั้งพรสวรรค์ที่สูงส่งที่ต้องมาพังทลายลงเพราะพฤติกรรมที่น่ารังเกียจแบบนี้”

……

เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าจีหย่งก็อึ้งงันไป เมื่อครู่ก่อนจะเข้ามาในจัตุรัสกลางซึ่งเป็นสถานที่ประกาศผลการแข่งขัน กลุ่มของพวกเขาออกตามหาลั่วเฉิน เพราะหมายใจเอาเรื่องกับคนบัดซบ ทว่าเมื่อได้เห็นหน้าพวกเขา อีกฝ่ายกลับไม่วิ่งหนี ยิ่งไปกว่านั้นยังตีหน้าตายทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สำนึกความผิด ไม่คิดรับผิดชอบสิ่งที่กระทำลงไป ซ้ำยังเอ่ยปากชวนพวกเขาไปชมการประกาศรางวัลด้วยใบหน้าเรียบเฉย ในตอนนั้นจีหย่งแทบอยากสังหารคนต่ำช้าให้ตายคามือ ทว่าฝ่ายของเขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ในโรงเรียนซึ่งไม่อนุญาตให้มีการทะเลาะวิวาท หรือหากจะประลองก็จะต้องยินยอมทั้งสองฝ่าย

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรลั่วเฉินได้ กลุ่มพันธมิตรจีหย่งจึงได้แต่เดินตามกลุ่มลั่วเฉินมายังจุดรวมตัวก่อน เขาหมายใจว่าจะรอให้การประการผลการแข่งจบลงแล้วจะสะสางความแค้นกับคนทรยศผู้นี้

ทว่า จู่ ๆ กับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เวลานี้สมาชิกในกลุ่มพันธมิตรจีหย่งต่างก็งุนงงเป็นอย่างมาก ทว่าเห็นว่าฉินอวี้โม่ศัตรูอันดับหนึ่งกำลังตกที่นั่งลำบากคนแซ่จีก็ไม่พลาดที่จะกล่าวตามน้ำไป

“ฉินอวี้โม่เป็นคนยโสโอหังอยู่แล้ว การที่นางทำเรื่องเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องที่นางฆ่าคนพวกเราไม่ได้ประหลาดใจเลย พวกเราหวังว่าทางโรงเรียนจะมีบทลงโทษที่สาสมกับความผิดนี้ !”

ผู้ที่กล่าวออกมาก็คือจีชางบุรุษแซ่จีผู้น้อง

เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนจำนวนมาก สีหน้าของหลินซิวหยาก็บูดบึ้งจนน่าเกลียด ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ ในกลุ่มของฉินอวี้โม่ที่กำลังกรุ่นโกรธเป็นอย่างยิ่ง

ทว่าผู้ที่มีสีหน้าปั้นยากที่สุดก็คือสามพี่น้องแซ่สือ ลั่วอวิ๋นและฉีอวี้ พวกเขาทั้งห้าคือคนที่ฉินอวี้โม่ช่วยเอาไว้ในยามนั้น ทั้งห้าคนรู้สึกเสมือนเป็นต้นเหตุที่ทำให้สหายสาวตกที่นั่งลำบากอยู่ในเวลานี้

กลุ่มของฉีอวี้รู้อยู่แก่ใจว่าฉินอวี้โม่ทำเพื่อช่วยเหลือพวกเขา ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะกลายเป็นเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจโดยแท้ ! พวกเขาอยากจะเข้าไปลงมือกับคนระยำที่กล้าปั้นน้ำเป็นตัว แต่น่าเจ็บใจยิ่งนัก ที่ทั้งห้าคนไม่สามารถทำอะไรในตอนนี้ได้เลย

“หุบปาก !”

ทันใดนั้น ปิงเสวียนก็ตะโกนเสียงดังลั่น ตัวเขาเชื่อในตัวรุ่นน้องตระกูลฉิน เพราะเขาคือหนึ่งในผู้ที่ตกอยู่ในหลุมพรางของลั่วเฉินและได้รู้ถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของคนผู้นี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสงสัยบุรุษผู้ครองอันดับสองของทำเนียบนภามานานแล้ว เมื่อรวมเหตุการณ์ในปราสาทเหมันต์เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าบุรุษลึกลับนามลั่วเฉินไม่ได้มีเจตนาดีอย่างแน่นอน

“หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็จงอย่ากล่าววาจาเหลวไหล ก่อนที่ความจริงจะเปิดเผยออกมา ขอให้สงบปากกันเอาไว้ด้วย มิฉะนั้นจะหน้าแหกได้ในภายหลัง !”

ปกติแล้ว ปิงเสวียนมีนิสัยเคร่งขรึมจนติดจะเย็นชาและไม่ค่อยเอ่ยวาจากับผู้ใดมากนัก ยิ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน เขาก็ยิ่งไม่ชอบสอดมือเข้าไปยุ่ง ทว่าในครั้งนี้นักเรียนผู้ครองอันดับหนึ่งแห่งโรงเรียนราชสำนักกลับกล่าวเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ อีกทั้งแรงกดดันที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายแข็งแกร่งก็ทำให้หลายคนรู้สึกตัวสั่นในทันที ผู้ที่มีพลังยุทธ์อ่อนแอถูกสภาวะพลังอันทรงพลังกดดันจนถึงกับเอ่ยสิ่งใดไม่ออก

อย่างไรก็ตาม แววตาที่นักเรียนทั้งหลายในจัตุรัสกลางใช้มองฉินอวี้โม่ก็ยังเต็มไปด้วยความรังเกียจดังเดิม

“ท่านอธิการ ข้าคิดว่าการจะพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ได้ยากเย็นเลย”

ทันใดนั้น เพ่ยหลงก็กล่าวกับมู่อวิ๋นด้วยเสียงอันดัง บนใบหน้าของนางมีความมั่นใจอยู่หลายส่วน

“แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตาตัวเอง แต่โดยส่วนตัวข้าก็ยังเชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่และไม่เชื่อว่านางจะทำเรื่องเลวร้ายได้ ข้าขอเสนอให้ทั้งสองฝ่ายให้คำสัตย์สาบานต่อหน้าฟ้าดิน แล้วผลลัพธ์ก็จะเผยออกมาเอง !”

การสาบานต่อหน้าฟ้าดินของจอมยุทธ์ในโลกมายาแห่งนี้มีความพิเศษอยู่ หากผู้กล่าวคำสาบานทำผิดต่อคำสาบานหรือทำตามสิ่งที่สาบานไว้ไม่ได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ซึ่งนั่นรวมไปถึงการโกหกในคำสาบาน คนผู้นั้นก็จะได้รับผลแห่งคำสาบานอันรุนแรง และจะไม่สามารถหลีกหนีจากผลกรรมนี้ได้ไปชั่วชีวิต

ดังนั้นโดยปกติแล้ว จอมยุทธ์ทั่วหล้าในดินแดนมายาแห่งนี้จึงไม่นิยมเอ่ยคำสัตย์สาบานต่อหน้าฟ้าดินอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะไม่มีผู้ใดอยากถูกเคราะห์กรรมตามติดตัว

ฉินอวี้โม่ฟังขอเสนอของเพ่ยหลงด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม คุณหนูสี่ตระกูลฉินนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ

เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่คิดเอาไว้เช่นกัน แม้รุ่นพี่สาวจะไม่เอ่ยถึงวิธีการนี้นางก็จะเป็นผู้เสนอให้ใช้วิธีดังกล่าวด้วยตัวเอง

ที่ผ่านมาที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่เป็นเพราะนางต้องการจะ ‘ล่องูออกจากถ้ำ’* อดีตนักฆ่าสาวอยากจะมั่นใจว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จึงพยายามกดดันให้บุรุษผู้เอ่ยบทบาทตามที่คนอื่นเขียนให้เริ่มร้อนรน จนในที่สุดคนที่อยู่เบื้องหลังก็จะโผล่หางออกมา

(*引蛇出洞 ล่องูออกจากถ้ำแปลว่าล่อให้ศัตรูปรากฏตัวออกมาซึ่งคล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘ล่อเสือออกจากถ้ำ’)

“ข้าฉินอวี้โม่ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าข้า ตลอดจนกลุ่มของข้าและเหล่าสหายไม่ได้สังหารบุรุษนามว่าหนี้ป่าชี่ หากสิ่งที่ข้ากล่าวมาคือเรื่องโกหกขอให้ข้ามีอันเป็นไปต่อหน้าท่านอธิการอาจารย์ทั้งหลายและนักเรียนที่อยู่ที่นี่ ณ บัดนี้ !”

ฉินอวี้โม่กัดนิ้วตัวเองโดยไม่ลังเล ก่อนจะเค้นเลือดให้หยดลงสู่พื้นดิน พิธีกรรมแห่งการหลั่งเลือดสาบานต่อหน้าฟ้าดินของนางเสร็จสิ้นสมบูรณ์

สิ้นคำสาบานของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน อักขระแห่งฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นใต้พื้นดินรอบกายบาง และในทันทีที่หยดเลือดของนางกระทบพื้น อักขระเรืองรองนั้นก็สลายไป

ทุกอย่างสงบนิ่งลง ฉินอวี้โม่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่งามมุ่งมั่นแน่วแน่ สภาวะพลังจากร่างบางยังคงแข็งแกร่ง นี่พิสูจน์ได้แล้วว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้พูดโกหก

เมื่อเห็นว่าอักขระแห่งฟ้าดินสลายไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สตรีผู้งดงามยังคงสมบูรณ์ทุกประการ สีหน้าของเหล่าผู้ที่นึกสงสัยในตัวฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยแววแห่งความละอายใจ  พวกเขาไม่กล้าจะกล่าววิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดอีกแล้ว แม้แต่จะเอ่ยคำขออภัยก็ยังไม่กล้า นักเรียนจำนวนมากได้แต่ก้มหน้าลงต่ำเพราะความอับอาย ส่วนทางด้านของผู้ที่เชื่อในตัวฉินอวี้โม่ก็โล่งใจไปได้มาก หลายคนฉีกยิ้มออกมาอย่างยินดี

“หึ ๆ ๆ ท่านอธิการ ท่านอาจารย์รวมถึงสหายทั้งหลาย ข้าพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้สังหารหนี้ป่าชี่ ทีนี้ก็เหลือแต่ทางรุ่นพี่ลั่วเฉินแล้วว่าจะกล้าสาบานหรือไม่ ว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมาก่อนจะจ้องมองลั่วเฉิน นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าบุรุษลึกลับผู้นี้จะแก้สถานการณ์ต่อไปอย่างไร !

.

Options

not work with dark mode
Reset