สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ ดวงอาทิตย์กลมโตสว่างเจิดจ้าลอยเด่นอยู่กลางนภา ทว่าไม่เพียงแต่แสงที่แผดกล้าในช่วงต้นยามเว่ยเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความร้อนระอุที่มากเกินกว่าปกติ
ขณะนี้จัตุรัสของโรงเรียนราชสำนักปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน อย่างไรก็ตามบรรยากาศโดยรวมกลับตึงเครียดและคุกรุ่น
เมื่อได้ทราบว่าผู้ที่ลงมือสังหารหนี้ป่าชี่ภายในป่าเหมันต์ไม่ใช่ฉินอวี้โม่ ผู้คนที่เชื่อมั่นในตัวคุณหนูสี่ตระกูลฉินต่างก็รู้สึกโล่งใจและยินดีเป็นอย่างมาก
ต่างจากคนที่ไม่เชื่อในตัวฉินอวี้โม่ บัดนี้ราวกับพวกเขาถูกฝ่ามือฟาดหน้าฉาดใหญ่ หลายคนอับอายจนไม่กล้าส่งเสียงอีก
อธิการมู่อวิ๋นจับตามองลั่วเฉินตาไม่กะพริบ บุรุษหนุ่มนามลั่วเฉินคือนักเรียนในแถวหน้าสุดของโรงเรียน เขาเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่โรงเรียนราชสำนักและผู้ดำรงตำแหน่งอธิการอย่างเขาภาคภูมิใจเสมอมา คนผู้นี้เป็นคนหนุ่มผู้มีอนาคตไกล ตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน พรสวรรค์สูงส่งดั่งฟ้าประทานของเขาก็เฉิดฉายโดดเด่นให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นลั่วเฉินยังประพฤติตัวดี วางตัวเหมาะสม ไร้จุดด่างพร้อยมาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องที่นักเรียนผู้นี้กระทำเรื่องเลวร้ายจึงเป็นสิ่งที่น่าตื่นตกใจสำหรับทุกคนโดยแท้
ในยามนี้ทุกคนที่อยู่ภายในจัตุรัสกลางต่างอยู่ในสภาวะสับสน หากฉินอวี้โม่ไม่ได้ฆ่าหนี้ป่าชี่ เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนของหนี้ป่าชี่ที่โกหก ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสายตาที่เขามองยังลั่วเฉิน รวมถึงสิ่งที่บุรุษผู้ครองอันดับสองแห่งทำเนียบนภากล่าวก็ยังชี้ชัดอีกด้วยว่าพวกเขาร่วมมือกัน
ทว่าสิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจเลยก็คือเหตุใดคนอย่างลั่วเฉินผู้น่าเชื่อถือถึงได้กล่าววาจาโกหกออกมาเช่นนั้น ที่สำคัญยังเป็นการโกหกเพื่อที่จะให้ร้ายฉินอวี้โม่ … ‘แม้นางจะโดดเด่น แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่อาจไล่ตามลั่วเฉินได้ทันแน่ แล้วด้วยเหตุผลใดกันที่ทำให้คนกลุ่มนี้จงใจใส่ร้ายนักเรียนหญิงรุ่นน้อง ?’
“ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องสาบานแล้ว แค่หลั่งโลหิตสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่าเรื่องที่พวกเจ้ากล่าวมาเป็นความจริงก็พอ แล้วจะได้เห็นกันว่ากฎแห่งฟ้าดินจะลงทัณฑ์พวกเจ้าอย่างไร”
ฉินอวี้โม่สาดวาจาใส่สมาชิกทั้งสี่ของกลุ่มหนี้ป่าชี่ ก่อนจะหันไปสาดสายตามองลั่วเฉินพลางเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“รุ่นพี่ลั่วเฉิน ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดรุ่นพี่ถึงได้ ‘สร้างเรื่อง’ นี้ขึ้นมาเพื่อ ‘ใส่ร้ายข้า’ พอจะบอกเหตุผลกับข้าได้หรือไม่ หรือถ้ามันไม่ใช่อย่างที่ข้ากล่าวรุ่นพี่ก็ช่วยสาบานให้ทุกคนมั่นใจด้วย แล้วอย่าลืมสาบานด้วยว่ารุ่นพี่ไม่ใช่ ‘คนที่ลงมือสังหาร’ หนี้ป่าชี่”
สิ้นประโยคของฉินอวี้โม่ สีหน้าของทุกคนในจัตุรัสก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ในตอนนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังลั่วเฉินเป็นตาเดียว ในแววตาของหลายคนก็เริ่มสาดประกายคั่งแค้นขึ้นมาแล้ว
ไม่เพียงลั่วเฉินที่ถูกสายตากังขาของนักเรียนทั้งโรงเรียนรวมไปถึงท่านอาจารย์ทั้งหลายจ้องมอง แต่คนในกลุ่มของเขาเองก็หลีกไม่พ้นเช่นกัน
ในที่สุดหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มลั่วเฉินก็ไม่สามารถทนแรงกดดันต่อไปได้ เขาชิงเปิดปากกล่าวขึ้นมาก่อน “ท่านอธิการ ให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย เป็นเพราะลั่วเฉินข่มขู่พวกเรา ถ้าพวกเราไม่โยนความผิดให้ฉินอวี้โม่ เขาจะฆ่าพวกเรา…”
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เสียงของเขาสิ้นสุดลง เขาก็กระอักเลือดออกมาจากปากก่อนจะล้มลงไปบนพื้น
ลั่วเฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาชักมือกลับอย่างช้า ๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ชั่วช้าอย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ ฉลาดดีนี่ที่เดาออกได้ว่าข้าเป็นคนฆ่าหนี้ป่าชี่ ยิ่งกว่านั้นยังรู้อีกด้วยว่าข้าเป็นคนที่บงการเรื่องนี้”
ต่อหน้าต่อตาอธิการโรงเรียนอย่างมู่อวิ๋น เหล่าผู้อาวุโส และอาจารย์ทั้งหลาย ลั่วเฉินถึงกับกล้าลงมือสังหารคนอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี ไม่ใช่แต่เพียงไม่มีท่าทีที่คิดจะหลบหนีแต่เขายังกล่าววาจาด้วยใบหน้าและท่าทางที่สงบนิ่ง
บรรยากาศและสภาวะพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของคนชั่วร้ายผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างมากจนน่าประหลาด และมันทำให้ไม่มีนักเรียนคนใดกล้าบุ่มบ่ามเข้าไปจับตัวเขา
“ลั่วเฉิน เจ้าคิดกำลังทำอะไร ?!”
ลิ้วหยวยเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของลั่วเฉินมาก่อน แม้ว่าบัดนี้ลั่วเฉินจะแข็งแกร่งมากและไม่ได้เป็นนักเรียนในการดูแลของเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะอย่างไรนักเรียนผู้มีพรสวรรค์สูงคนนี้ก็ยังเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจ เมื่อได้เห็นลั่วเฉินสังหารคนตาไม่กะพริบเช่นนั้นใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์ก็บิดเบี้ยวไปในทันที
“อาจารย์ ท่านไม่เข้าใจข้าหรอก !”
ลั่วเฉินยังคงยกยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้าเพิ่งจะสังหารนักเรียนในโรงเรียนไปเพียงสองคนเท่านั้น อาจารย์ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกไปหรอก”
สิ้นประโยคนั้น ลิ้วหยวยก็จ้องมองลั่วเฉินด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ ความขมขื่นปะปนกับความผิดหวังฉายชัดอยู่ในแววตาของบุรุษผู้ทุ่มเทสั่งสอนศิษย์ของตน ‘คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นลั่วเฉินที่เขารู้จักจริง ๆ หรือ ? เขาใช่ลั่วเฉินศิษย์แสนสุภาพของเขาจริง ๆ หรือไม่ ?’
ในบรรดานักเรียนในโรงเรียนทั้งหมด ลั่วเฉินคือสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อมมากที่สุดคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามลั่วเฉินที่อยู่ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้ไม่ต่างจากปีศาจร้ายที่ลุกขึ้นมาจากขุมนรก รอยยิ้มอันชั่วร้ายกับแววตาดำสนิทที่ดูลึกล้ำจนสุดจะหยั่งนั้นทำให้ทุกคนสั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้าม
“กล้ามากที่ฆ่านักเรียนต่อหน้าข้า !”
เมื่อเห็นการกระทำของลั่วเฉิน มู่อวิ๋นก็โกรธมาก น่าเจ็บใจยิ่งนัก ลั่วเฉินลงมืออย่างกะทันหันและรวดเร็วเกินไปจนเขาไม่มีเวลาพอจะช่วยเหลือนักเรียนผู้นั้นได้เลย การได้เห็นศิษย์ผู้หนึ่งถูกฆ่าตายต่อหน้าในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งอธิการและเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ที่แห่งนี้ มู๋อวิ๋นจะขอแบกรับความผิดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
“ท่านอธิการ หลังจากได้อาศัยอยู่ในโรงเรียนราชสำนักมาหลายปี ผู้ที่ข้ารู้สึกชื่นชมมากที่สุดมีเพียงสี่คน คนหนึ่งก็คือท่าน คนที่สองคืออาจารย์ลิ้วหยวย อีกคนคือหานโม่ฉือที่จบไปแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือปิงเสวียน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ใช่ความตั้งใจของตัวข้าเอง แต่เพราะภาระหน้าที่แห่งขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังข้า ข้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ”
ลั่วเฉินจ้องมองมู่อวิ๋นด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกนับถือบุรุษผมสีน้ำทะเลผู้ยิ่งใหญ่จากใจจริงแท้
“อาจารย์ลิ้วหยวยที่นับถือ ข้ารู้สึกซาบซึ้งที่ท่านอบรมสั่งสอนข้าหลายอย่าง และขอบคุณที่ท่านคอยดูแลให้คำชี้แนะข้าเสมอมา ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ศิษย์ผู้นี้ซาบซึ้งในพระคุณของอาจารย์อย่างแท้จริง โปรดรับการคารวะจากศิษย์ นี่เป็นสิ่งแทนคำขอบคุณและขออภัยครั้งสุดท้าย”
ลั่วเฉินมองอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของตนอีกครั้ง ก่อนจะโค้งคำนับเขาอย่างนอบน้อมราวกับจะบอกลา
ใบหน้าของลิ้วหยวยเต็มไปด้วยความรู้สึกแสนซับซ้อน อารมณ์อันหลากหลายหมุนวนอยู่ในใจบุรุษผู้เป็นอาจารย์ เขาไม่เข้าใจเลยว่าลั่วเฉินต้องการสิ่งใดกันแน่ คนผู้นี้คือนักเรียนที่เขาภาคภูมิใจที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นนักเรียนที่เขาไม่เข้าใจมากที่สุดเช่นกัน
“รุ่นพี่ลั่วเฉิน บอกได้หรือไม่ แท้จริงแล้วตัวตนของรุ่นพี่คือใครกันแน่ ? ก่อนหน้านี้ เป็นท่านใช่หรือไม่ที่เปิดเผยเรื่องที่อาจารย์ซ่างกวนซวี่พานักเรียนออกไปหาประสบการณ์นอกโรงเรียน ? …รุ่นพี่ มีความสัมพันธ์อย่างไรกับอาราม ?”
แม้ว่าจะยังไม่มั่นใจมากนัก แต่ฉินอวี้โม่ยังกล่าวถึงเรื่องที่นางกำลังสงสัยอย่างหนักออกมา หากทบทวนแล้ว ในตอนนี้คนที่มีความเป็นไปได้ที่จะส่งข่าวให้กับอารามมากที่สุดก็คือบุรุษลึกลับตรงหน้า
ก่อนหน้านี้ทุกคนตั้งข้อสงสัยกันว่าในโรงเรียนจะมีสายลับจากอารามแฝงตัวอยู่ ในตอนนั้นทุกคนต่างก็เพ่งเล็งว่าสายลับคนนั้นคือจีหย่งผู้ไม่ชอบฉินอวี้โม่เป็นทุนเดิม แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นบุคคลเหนือความคาดหมายอย่างลั่วเฉิน สุภาพบุรุษยิ้มแย้มแจ่มใสผู้ที่ใคร ๆ ต่างก็ชื่นชมเช่นนี้
“หึ ๆ ๆ รุ่นน้องอวี้โม่ หากไม่ใช่เพราะขุมกำลังในสังกัดของข้ามีความแค้นที่ต้องสะสางกับเจ้า ข้าเองก็อยากจะเป็นสหายกับเจ้าเหมือนคนอื่น ๆ เช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ ลั่วเฉินก็เผยยิ้มบาง
สำหรับรุ่นน้องนามว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอจนถึงเวลานี้ตัวเขาก็รู้สึกถูกชะตากับนางมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เป็นเพราะอยู่ต่างขั้วอำนาจ ทั้งยังเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน พวกเขาทั้งสองจึงไม่อาจเป็นสหายของกันและกันได้
“เช่นนั้นก็แสดงว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมาถูกต้องสินะ แล้วในป่าเหมันต์ที่ทิ้งผลเยือกมณีกับแผ่นป้ายไว้ให้พวกเรารุ่นพี่มีจุดประสงค์อะไร ?”
ด้วยคำตอบของเขาทำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจเรื่องราวรวมถึงความคิดของคนผู้นี้มากขึ้น ขณะนี้คุณหนูสี่ตระกูลฉินมองลั่วเฉินด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม
“หึ ๆ นั่นเป็นเพราะข้าไม่สามารถทำตัวโดดเด่นได้ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันรูปแบบใดข้าก็จงใจไม่คว้าที่หนึ่งเพราะไม่อยากโดดเด่นเกินไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดข้าต้องแย่งมันมาจากพวกจีหย่งก็แค่เพราะว่าพวกมันไม่คู่ควร ในฐานะที่อยู่ในโรงเรียนราชสำนักมานาน ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากบ้าน ข้าแค่คิดว่าอย่างน้อย ๆ หากผู้ใดจะได้ตำแหน่งและรางวัลชนะเลิศการแข่งขันใหญ่ก็ควรจะมีคุณสมบัติเหมาะสมบ้าง หากเทียบกันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็คู่ควรมากกว่าคนโง่งมอย่างจีหย่งกับพวกของมัน”
วาจาของลั่วเฉินทำให้จีหย่งและพวกพ้องที่ยืนสงบปากสงบคำอยู่ในมุมหนึ่งมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าคนทั้งหมดบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด พวกเขาทั้งโกรธทั้งอับอายจนกล่าวอะไรไม่ออก ทว่าความหวาดหวั่นที่มีก็ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลยเช่นกัน
“ลั่วเฉิน แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ ?”
อาจารย์ลิ้วหยวยกัดฟันแล้วกล่าวถามออกไป ยิ่งได้ฟังสิ่งที่ลั่วเฉินพูดมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาก็ยิ่งขมขื่นขึ้นเรื่อย ๆ
“หึ ๆ ๆ ไม่รู้ว่าท่านจะเคยได้ยินคำว่า ‘โอรสแห่งอาราม’ หรือไม่ ?”
ลั่วเฉินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มโดยไม่คิดปกปิดตัวตน
“โอรสแห่งอาราม !”
สิ่งที่ลั่วเฉินเอ่ยออกมาทำให้ทุกคนตกตะลึงในทันที ไม่เพียงเท่านั้นยังมีบางคนอุทานเสียงดังด้วยความตื่นตระหนก
“ใช่แล้ว ตัวตนของข้าก็คือโอรสแห่งอารามที่ข้าเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อศึกษา อีกเหตุผลที่ใหญ่กว่าก็คือเข้ามาฝึกฝนในหอคอยวิญญาณ ตอนนี้ข้าก็ฝึกฝนจนพอใจแล้ว คงถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปในที่ของข้าเสียที”
ลั่วเฉินยิ้ม รอยยิ้มนั้นดูน่าหวั่นเกรงอย่างยากจะบรรยาย ทว่าสีหน้าของเขายังคงดูเรียบเฉยสงบนิ่ง
“รุ่นน้องฉินอวี้โม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงได้ฆ่าหนี้ป่าชี่และคนผู้นี้ ?”
ลั่วเฉินมองฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยถาม ใบหน้าหล่อเหลายังคงประดับรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ นางไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าลั่วเฉินมีเหตุผลอะไรถึงต้องสังหารนักเรียนในโรงเรียน
ไม่มีทางเลยที่คนที่ฉลาดอย่างลั่วเฉินจะฆ่าหนี้ป่าชี่เพื่อจะใช้แผนการที่ดูมีช่องโหว่มากมายขนาดนี้เป็นเครื่องมือทำร้ายนาง อีกทั้งการดำเนินแผนสังหารศัตรูอย่างนาง ลั่วเฉินก็ได้ทำไปแล้วในปราสาทเหมันต์ ดังนั้นหากแผนการของเขาสำเร็จก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ร้ายคนที่ตายไปแล้ว เหตุผลที่เขาสังหารหนี้ป่าชี่จึงคงจะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้เป็นแน่
“เหตุผลก็เพราะว่าข้าเกลียดคนที่ทำร้ายผู้อื่นลับหลัง และข้ายิ่งเกลียดคนที่ทรยศหักหลังผู้อื่น”
ลั่วเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไปเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเกลียดคนประเภทนี้จากใจ
หลังจากชิงป้ายของหนี้ป่าชี่ไป ลั่วเฉินก็ได้เห็นถึงความน่ารังเกียจของสิ่งที่คนชั่วช้าผู้นั้นทำ จากนั้นเขาก็เห็นว่าฉินอวี้โม่ลงโทษคนผู้นี้อย่างหนักหน่วง ในตอนนั้นเขาเองที่ทำให้เขารู้สึกชื่นชอบรุ่นน้องผู้มีศักดิ์เป็นศัตรูโฉมงามผู้นี้มากขึ้น
ทว่าการที่ฉินอวี้โม่เพียงแค่ทำลายพลังยุทธ์ของคนผู้นั้นแทนการสังหารให้สิ้นชีพ กลับเป็นเรื่องที่โอรสแห่งอารามอย่างเขาไม่เข้าใจโดยแท้
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาผู้ที่ทนสะอิดสะเอียนกับพฤติกรรมเลวร้ายของคนต่ำช้าไม่ไหวจึงต้องลงมือสังหารด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามในตอนนั้นเขาก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ลั่วเฉินวางแผนใส่ร้ายฉินอวี้โม่เพื่อทดสอบทัศนคติของนาง เขาอยากจะรู้ว่าสตรีที่ไม่สามารถเป็นสหายกันได้ผู้นี้คู่ควรจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาหรือไม่
สำหรับบุรุษในกลุ่มเดียวกันที่เพิ่งจะถูกสังหารไปเมื่อครู่ก็ตายด้วยเหตุผลไม่ต่างกัน นั่นคือ เพราะเขาผู้นี้เกลียดคนทรยศ ลั่วเฉินไม่สามารถทนเห็นคนทรยศตัวเขาเองได้ ฉะนั้นแล้วคนผู้นี้จึงไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
หญิงสาวผู้เป็นอดีตนักฆ่ายอมรับว่าตัวนางก็เห็นด้วยกับวาจาของลั่วเฉินอยู่ส่วนหนึ่ง นางเองก็เกลียดคนทรยศและผู้ที่ทำร้ายคนอื่นลับหลังเช่นกัน ไม่คิดเลยว่าบุรุษผู้อยู่ในขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามจะมีส่วนคล้ายกับตนเองเช่นนี้
“หึ ๆ ๆ แต่ใครจะไปคิดว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับข้าเหลือเกิน ฉินอวี้โม่ ตอนนี้เจ้ากลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของอารามแล้ว ทางเบื้องบนจึงสั่งให้ข้าหาโอกาสเล่นงานตอนเจ้าไม่ตั้งตัวและเด็ดศีรษะของเจ้ากลับไป แต่ในท้ายที่สุดข้าทำไม่ได้จริง ๆ หึ อย่างที่บอกข้าไม่สามารถลงมือกับใครลับหลังได้ แม้ว่าจะต้องฝืนใจเพื่อทำตามคำสั่ง ยืมมือพวกจีหย่งเพื่อสังหารเจ้าแล้วก็ตาม แต่คนโง่พวกนั้นก็ยังทำพลาด จนถึงตอนนี้ข้าเองก็จนใจเสียแล้ว คนอย่างข้าคงไม่สามารถลอบฆ่าใครได้แน่ หวังว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าข้าจะมีโอกาสได้สู้กับเจ้าอย่างเปิดเผย”
ลั่วเฉินมองฉินอวี้โม่ เขามีโอกาสมากมายที่จะลงมือสังหารรุ่นน้องผู้นี้หรือทำให้นางบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เขาก็ไม่เคยลงมือทำสิ่งใด จนในที่สุดเมื่อเบื้องบนกดดันมา เขาจึงจำเป็นต้องทำ เขาวางแผนเป็นอย่างดีทว่าความโง่งมของคนไร้ปัญญาก็ทำให้เขาเสียแผน
หลังจากที่พวกจีหย่งพลาดลั่วเฉินจึงถอนตัวในทันที เหตุผลหลักคือเขาไม่อยากลงมือด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นก็เพราะว่าเขาเกลียดการลอบทำร้ายผู้อื่นลับหลังจนไม่อาจจะลงมือเองได้ อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าเขาก็ยังอยากจะรอประมือกับฉินอวี้โม่ในสักวันหนึ่ง ดังนั้นแล้วเขาจึงปล่อยให้นางรอดกลับมาจากป่าเหมันต์
อย่างไรก็ตาม ความเป็นศัตรูกันระหว่างฉินอวี้โม่กับอารามก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอย่างไรในสักวันหนึ่งก็ต้องมีโอกาสได้ประลองฝีมือกับสตรีผู้น่าชื่นชมผู้นี้เป็นแน่ และเขา–ลั่วเฉินก็กำลังตั้งตารอให้วันนั้นมาถึง
“ได้เลย เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะไม่ออมมืออย่างแน่นอน ข้าสัญญาจะสู้กับรุ่นพี่ลั่วเฉินอย่างสุดความสามารถ !”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ลั่วเฉินยอมเปิดเผยตัวตนถึงเพียงนี้ ย่อมแสดงว่าเขาต้องเตรียมการคิดหาหนทางหลบหนีมาเป็นอย่างดีแล้ว ฉินอวี้โม่มั่นใจมากว่าต่อให้เป็นมู่อวิ๋นหรืออาจารย์ทุกคนในจัตุรัสแห่งนี้ร่วมมือกันก็คงไม่สามารถหยุดยั้งเขาในตอนนี้ได้ ฉะนั้นแล้วไม่วันใดก็วันหนึ่งนางคงต้องได้เปิดศึกกับคนผู้นี้อย่างแน่นอน
“ปิงเสวียน หลายปีมานี้ข้ายังไม่มีโอกาสสู้กับเจ้าอย่างสุดฝีมือเลยสักครั้ง แต่กระนั้นข้าก็รู้ดีว่าความแข็งแกร่งของเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย ข้ารู้ว่าตัวตนของเจ้าเองก็ไม่ธรรมดา ในอนาคต ถ้าข้ามีโอกาส ข้าจะมาขอคำชี้แนะจากเจ้าแน่”
ลั่วเฉินมองไปที่คู่แข่งคนเดียวที่เขายอมรับ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้ประมือกับคนผู้นี้อย่างจริงจังเลยสักครั้ง บุรุษจากอารามรู้สึกเสียดายมาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะเขาจำเป็นต้องปกปิดตัวตน ไม่ทำตัวโดดเด่น ก็คงได้ต่อสู้จนรู้ผลแพ้ชนะกับปิงเสวียนไปแล้ว
“ข้าจะรอเจ้า”
ปิงเสวียนตอบรับกลับไปสั้น ๆ ความโกรธที่มีต่อลั่วเฉินก่อนหน้านี้แทบจะสูญสลายไปหมดสิ้น เวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุผลที่บุรุษลึกผู้เป็นคู่แข่งคนสำคัญของตนต้องทำเช่นนี้ก็เพราะถูกบีบบังคับ แต่กระนั้นคนผู้นี้ก็ยังไม่ได้ลงมือทำร้ายพวกเขา
ไม่ใช่แต่เพียงฉินอวี้โม่ แต่ลั่วเฉินยังมีโอกาสมากมายที่จะลงมือกับกลุ่มพันธมิตรทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้ทำ นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้เขาจะเป็นโอรสแห่งอารามแต่ก็ยังผูกพันกับโรงเรียนราชสำนักอย่างมากมายจนยากที่จะลงมือกระทำเรื่องชั่วร้ายกับสถานที่และผู้คนในนี้ได้
“ท่านอธิการ ข้าหวังว่าท่านจะไม่เข้ามาหยุดข้า”
ลั่วเฉินยิ้มก่อนจะมองขึ้นไปยังอธิการมู่อวิ๋นที่อยู่บนเวที
“ฮ่า ๆ ๆ หนุ่มน้อย หากเจ้าไม่มั่นใจก็คงไม่กล้าเผยตัวตน แล้วทำสีหน้าเรียบเฉยเช่นนั้นแน่ ในเมื่อทำอย่างไรก็หยุดเจ้าไม่ได้แล้วข้าจะพยายามให้เสียแรงเปล่าไปทำไม ?”
มู่อวิ๋นยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าที่เอวของลั่วเฉินมีของบางอย่างที่กำลังเปล่งแสงออกมา มันน่าจะเป็นเครื่องรางเคลื่อนย้ายไม่ผิดแน่ ถ้าหากลั่วเฉินต้องการจะหนีก็เขาสามารถไปได้ทุกเวลา
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านอธิการสมแล้วที่เป็นบุรุษที่ข้านับถือจากหัวใจ กล่าวเลยว่าความนับถือที่ข้ามีต่อท่านนี้ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากท่านจ้าวอารามเลยแม้แต่น้อย”
ลั่วเฉินหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย
“ขอบคุณทุกท่าน ไว้พบกันใหม่”
กล่าวจบ ร่างของโอรสแห่งอารามก็หายวับไปจากพื้นที่จัตุรัสกลางของโรงเรียนราชสำนักอย่างไร้ร่องรอย
ผู้อาวุโสหลายคนพยายามจะเข้าขัดขวางทว่าก็ถูกมู่อวิ๋นห้ามเอาไว้
“ปล่อยเขาไป พวกเราหยุดเขาไม่ได้ อย่าเสียแรงเปล่าเลย”
มู่อวิ๋นกล่าว มุมปากของเขาปรากฏเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ
บุรุษผู้ดำรงตำแหน่งอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักดูออกว่าลั่วเฉินสามารถเรียกจ้าวอารามและคนของขุมกำลังมากอำนาจนั่นมาได้ตลอดเวลา ดังนั้นแทนที่จะให้ทำให้เกิดศึกใหญ่ขึ้นที่นี่ สู้รอไปก่อนจะเป็นการดีกว่า
ยิ่งกว่านั้นหากจะกล่าวตามตรงแล้ว เขาก็ยังรู้สึกชื่นชอบในตัวนักเรียนพรสวรรค์สูงส่งผู้นี้อยู่มาก
เมื่อเห็นลั่วเฉินหายตัวไป นักเรียนทั้งหลายในจัตุรัสก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาดังก้อง และกว่าจะควบคุมความโกลาหลและเรียกสติทุกคนกลับมาได้ก็นับว่าใช้เวลาอยู่ไม่น้อย
.