ศึกประชันยุทธ์รอบสิบหกคนสุดท้ายที่จะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้ไม่ใช่เพียงคู่ของฉินอวี้โม่และจีหย่งเท่านั้น แต่การแข่งขันคู่อื่น ๆ ก็น่าสนใจมากไม่แพ้กัน
ตัวอย่างเช่นศึกระหว่างสองโฉมงามเจียงหลิวเยว่และเพ่ยหลงที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างล้นหลาม โดยเฉพาะบุรุษทั้งหลายที่ตั้งตารอคอยการประลองยุทธ์ของสตรีทั้งสองใจจดจ่อ ถึงอย่างไรผู้ผ่านเข้ารอบในรอบนี้ก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคู่จะเป็นที่จับจ้อง และยิ่งเมื่อเป็นการประลองของสองสตรีโฉมงามก็ยิ่งไม่แปลกที่จะโดดเด่นจนผู้คนมากมายเฝ้ารอชม
การเผชิญหน้ากันของหลินซิวหยาและหลินหยวนก็เป็นอีกคู่หนึ่งที่น่าจับตามองไม่น้อย คนหนึ่งเป็นบุรุษผู้ชื่นชอบในการต่อสู้ ส่วนอีกคนก็คือเจ้าแห่งภารกิจผู้มีพรสวรรค์สูงส่ง ความแข็งแกร่งของทั้งคู่ไม่ได้ห่างชั้นกันมากนัก พวกเขาล้วนเป็นนักเรียนในแถวหน้าสุดของโรงเรียนนี้ และการที่พวกเขาสองคนต้องมาเจอกันตั้งแต่รอบสิบหกคนสุดท้ายเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังคิดว่ามันออกจะน่าเสียดายด้วยซ้ำไป
การประชันยุทธ์ของยอดฝีมือคู่นี้นับเป็นการต่อสู้ที่อาจจะสั่นสะเทือนทั้งโรงเรียนได้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีใครยอมพลาดชมการปะทะกันของคู่นี้อย่างแน่นอน
ทางด้านเนี่ยหรูเฟิง คู่ต่อสู้ในรอบนี้ของเขาไม่ใช่คนที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้า แต่จากคำบอกเล่าของผู้ที่รู้จักคนผู้นั้นก็พบว่าเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ดังนั้นแล้วการจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปของเนี่ยหรูเฟิงจึงไม่น่าจะมีปัญหา
คู่ต่อสู้ของหลิวฉานเองก็ไม่ได้เก่งกาจในระดับแนวหน้า คนผู้นั้นอยู่ในอันดับยี่สิบสามของทำเนียบพสุธา แม้ว่าฉินอวี้โม่จะยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลิวฉาน แต่นางก็เชื่อว่าอดีตผู้ครองอันดับสองของทำเนียบดาวรุ่งก็น่าจะผ่านเข้ารอบไปได้โดยไร้อุปสวรรค
แต่การต่อสู้ที่ฉินอวี้โม่และสหายช่างหลอมของนางให้ความสนใจมากที่สุดก็คือการต่อสู้ของโอวหยางชิงเฟิง เพราะในรอบนี้คุณชายตระกูลโอวหยางต้องประมือกับโฉมงามอันดับเจ็ดอย่างหลิวหว่านเยียน สตรีผู้ไม่ถูกกับฉินอวี้โม่และเคยมีเรื่องบาดหมางกับนางก่อนหน้านี้
“ชิงเฟิง เจ้าต้องสังหารผู้หญิงคนนี้ให้ข้าด้วย ให้นางได้รู้ว่าอย่ามาโอหังกับพวกเรา !”
เมื่อรู้ว่าคู่ต่อสู้ของโอวหยางชิงเฟิงคือหลิวหว่านเยียน เยว่ชิงเฉิงก็อดกล่าวกำชับอดีตคู่หมายที่กำลังเสมือนทำหน้าที่ต่อสู้แทนตนเองไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ชอบหน้าหลิวหว่านเยียนผู้นี้อยู่แล้ว ในเมื่อไม่มีโอกาสได้ลงมือด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็ต้องฝากความหวังไว้ที่สหาย
“ข้าคงไม่ตกลงที่จะฆ่านางหรอกนะ แต่ข้าสัญญาจะไม่ยั้งมืออย่างแน่นอน”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยคำปฏิเสธในตอนต้นทว่าก็ตกปากรับคำในตอนท้าย แววตาของเขามุ่งมั่นอย่างยิ่ง
จริงอยู่ที่โอวหยางชิงเฟิงเป็นบุรุษและเขาก็ไม่อยากลงมือกับสตรี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเคยสร้างเรื่องบาดหมางให้ ทั้งยังเป็นศัตรูกับทั้งเยว่ชิงเฉิงและฉินอวี้โม่ เห็นทีว่าครั้งนี้เขาคงจะออมมือให้ไม่ได้อย่างแน่นอน
ในคู่ของฉินอวี้โม่กับจีหย่งนั้น แม้ว่านักเรียนมากกว่าครึ่งของโรงเรียนจะเชื่อว่าจีหย่งจะต้องเป็นฝ่ายกำชัยชนะ แต่บรรดาบุคคลที่คุ้นเคยกับฉินอวี้โม่กลับคิดต่างออกไป พวกเขาล้วนมั่นใจว่าฉินอวี้โม่จะไม่ใช่ฝ่ายพ่ายแพ้ สตรีผู้นี้แข็งแกร่งพอจะเอาชนะจีหย่งได้อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกับเจ้าในรอบนี้”
จีหย่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหารุ่นน้องผู้เป็นทั้งคู่ต่อสู้และศัตรู บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อน ๆ แต่สายตาแฝงความเกลียดชังเปี่ยมล้น
“ดูเหมือนรุ่นพี่จีหย่งคงจะต้องหยุดที่รอบสิบหกคนสุดท้ายนี้เสียแล้ว ช่างน่าเสียดายเหลือเกินนะ เป็นถึงนักเรียนที่รั้งตำแหน่งอันดับสามของทำเนียบนภาแต่กลับต้องมาหยุดอยู่ในรอบสิบหกคนสุดท้าย นอกจากจะเสียชื่อมากแล้วก็คงจะน่าสมเพชไม่น้อยเลย”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาถากถาง มุมปากยกเป็นรอยยิ้มบาง
“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องฉินอวี้โม่ ความมั่นใจถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามั่นใจอย่างหน้ามืดตามัวจะกลายเป็นความยโสโอหัง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงทำให้เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้”
จีหย่งยังคงยิ้มไม่หุบ เขาไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะเอาชนะตัวเองได้ แม้ว่าเขาจะยังไม่มั่นใจอย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนาง แต่อย่างไรสตรีตรงหน้าก็เพิ่งขึ้นมาเป็นจอมยุทธ์มายาบรรพชน แม้ว่านางจะบังเอิญเอาชนะจอมยุทธ์มายาบรรพชนดาราสูงของอารามได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรจีหย่งก็ยังไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับตัวเขาเองได้อยู่ดี
“รุ่นพี่จีหย่ง เราเลิกพูดจาไร้สาระกันดีกว่า วันพรุ่งนี้เราก็จะได้สู้กันแล้ว ในการประลองบนสังเวียนวันพรุ่งนี้ข้าจะทำให้ได้รู้เองว่านี่ไม่ใช่แค่ความมั่นใจของข้าแต่มันคือเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้น”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มส่งท้ายก่อนจะเลิกสนใจจีหย่ง คุณหนูสี่ตระกูลฉินหันหลังเดินทางกลับไปยังหอพักพร้อมกับสหายสาวในกลุ่มของตนเอง
เมื่อฉินอวี้โม่และเหล่าสหายมาถึงยังหอพักท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว กลุ่มสหายอวี้โม่ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันพักผ่อน และในขณะที่กำลังก้าวเท้าเข้าไปในห้อง คุณหนูคนงามก็ได้ยินเสียงเรียกของมู่อวิ๋นดังขึ้นมาให้ห้วงจิต
‘เสี่ยวอวี้โม่รีบมาที่ห้องทำงานของข้าตอนนี้’
เสียงที่ดังขึ้นของท่านอธิการเต็มไปด้วยความเร่งร้อน และมันก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ทว่านางก็ไม่เสียเวลาขบคิดให้มากความ หากไม่มีเรื่องสำคัญมู่อวิ๋นคงจะไม่เรียกนางไปในยามนี้เป็นแน่ คุณหนูตระกูลฉินหันไปกล่าวกับเยว่ชิงเฉิงและหลิงซวงประโยคหนึ่งก่อนจะเดินตรงไปยังห้องทำงานของท่านอธิการ
ณ ห้องทำงานของอธิการโรงเรียนราชสำนัก มู่อวิ๋น ผู้อาวุโสหลิวและผู้อาวุโสชุดดำกำลังนั่งปรึกษาหารือถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่อย่างเคร่งเครียด
เมื่อฉินอวี้โม่เคาะประตู มู่อวิ๋นก็เอ่ยปากอนุญาตให้นางเข้ามาทันที
“เสี่ยวอวี้โม่นั่งก่อนสิ”
อธิการโรงเรียนราชสำนักส่งยิ้มให้นักเรียนตระกูลฉินอย่างเมตตาก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งลง
ฉินอวี้โม่ค้อมศีรษะพลางกล่าวคำทักทายผู้อาวุโสทั้งสอง นักฆ่าในร่างนักเรียนนั่งลงตามคำบอกของผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียน
“ที่พวกเราเรียกเจ้ามาในวันนี้ แท้จริงแล้วก็เพราะเรามีเรื่องต้องไหว้วานเจ้า”
มู่อวิ๋นรู้จักนักเรียนน้อยผู้ดี กับคนอย่างฉินอวี้โม่ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าววาจาอ้อมค้อมหรือเกรงใจ มีสิ่งใดก็ว่ากล่าวกันตรง ๆ จะเกิดประโยชน์มากที่สุด
“ท่านอธิการโปรดบอกมาเถิด หากว่ามีสิ่งที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธ”
เมื่อแรกเห็นสีหน้ามู่อวิ๋นและผู้อาวุโสทั้งสอง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย เรื่องใดกันที่ทั้งสามต้องเรียกนางมาเวลานี้ หลังจากได้ฟังคำขอตรง ๆ นั้น นางก็ยิ่งสงสัยอย่างหนัก อย่างไรก็ตามอดีตนักฆ่าสาวก็ยังคงตอบรับอย่างมั่นอกมั่นใจ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงนางก็พร้อมช่วยเหลือ
“ฮ่า ๆ ๆ ได้ยินเช่นนี้ข้าก็เบาใจได้มากแล้ว”
มู่อวิ๋นหัวเราะร่า เขาชอบใจในใบหน้ามุ่งมั่นแสดงความต้องการช่วยเหลือของดรุณีน้อยผู้นี้ยิ่งนัก ทว่าในตอนที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคยของใครบางคน ตอนนั้นเองที่หานโม่ฉือปรากฏตัวและเดินเข้ามาในห้อง
“ท่านอธิการ หากว่ามีเรื่องสำคัญอะไรไว้ค่อยว่ากันวันหลัง ตอนนี้ข้าขอพาโม่เอ๋อร์ของข้าไปก่อน”
หานโม่ฉือยิ้มแล้วกล่าวสั้น ๆ พลันมือใหญ่ก็คว้าจับมือบางของฉินอวี้โม่และพาตัวนางหายออกไปจากห้องทำงานของอธิการโรงเรียนอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากตอนที่เข้ามา และทิ้งให้บุรุษผมสีมหาสมุทรและสองผู้อาวุโสนั่งนิ่งอึ้งกล่าวสิ่งใดไม่ออกอยู่พักใหญ่
…
“โม่ฉือ เจ้าพาข้าออกมาเช่นนี้จะดีจริง ๆ หรือ ?”
การกระทำของหานโม่ฉือนับว่ายโสโอหังยิ่งนักที่กล้าชิงตัวฉินอวี้โม่ออกมาจากการพูดคุยกับบุรุษผู้มีอำนาจของโรงเรียนอย่างกะทันหันเช่นนี้ ในเรื่องนี้ตัวฉินอวี้โม่เองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อครู่มู่อวิ๋นเหมือนต้องการร้องขอให้นางช่วยเหลือในบางสิ่งบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากคู่สนทนาที่เขากำลังเจรจาก็ถูกหานโม่ฉือพาตัวออกมาเสียก่อน
“ไม่เป็นไร ท่านอธิการไม่ได้รีบร้อนนักหรอก เขาแค่อยากจะบอกเจ้าไว้ก่อนว่าเขาจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหลังจากจบศึกประชันยุทธ์ประเภทเดี่ยว”
หานโม่ฉือยิ้ม ฟังจากสิ่งที่เขากล่าวดูคล้ายบุรุษโอหังของนางจะรู้ว่ามู่อวิ๋นต้องการสิ่งใด
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อหานโม่ฉือกล่าวเช่นนี้นางก็มีแต่ต้องเชื่อเท่านั้น
“ที่ข้ามาในวันนี้เหตุผลหลักก็เพราะว่าข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้ามานานจนทนคิดถึงไม่ไหว ส่วนเหตุผลรองคือข้ามีข่าวดีจะมาบอกเจ้า”
ยังไม่ทันสิ้นสุดวาจาหวานหยด หานโม่ฉือก็โอบกระชับร่างบางของนางในดวงใจเข้ามากอดไว้แนบแน่น เพียงพริบตาร่างของทั้งคู่หายวับไป ในเสี้ยวอึดใจฉินอวี้โม่ก็พบว่าเขาและนางมาปรากฏตัวบนยอดของหอคอยวิญญาณ
“ข่าวดีอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
หลังจากถูกกอดรัดและพาตัวขึ้นมาบนนี้อย่างปุบปับ ฉินอวี้โม่ก็หน้าแดงแต่ก็ยังดังสติกลับมาได้ไวแล้วเอ่ยถามเรื่องข่าวดีที่อีกฝ่ายกล่าว
“ข้าได้ข่าวคราวเกี่ยวกับพ่อกับแม่ของเจ้า”
หานโม่ฉือไม่เร่งร้อนเผยความทั้งหมด เขาเกริ่นเรื่องที่จะเล่าพลางขยับย้าย เปลี่ยนท่าทางให้กอดกระชับร่างบางได้อย่างนุ่มนวล
“จริงหรือ ? เจ้าได้ข่าวมาว่ายังไงบ้าง ?”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของผู้นำแห่งประตูไร้เงา ฉินอวี้โม่ก็รีบหันไปจ้องมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ ดวงตาเนื้อทรายนั้นสุกใสเจือไปด้วยความดีใจปิดไม่มิด ที่สำคัญมันยังเต็มไปด้วยความคาดหวังมหาศาล
หนึ่งในเรื่องที่นางอยากจะรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องของบิดามารดา ที่นางพอจะคาดเดาได้มีเพียงอย่างเดียวคือทั้งสองอาจจะอยู่ในดินแดนหนเหนือ ทว่าเรื่องตำแหน่งที่อยู่นั้นยังไม่แน่ชัดและไม่ทราบด้วยว่าพวกท่านทั้งสองจะอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยหรือไม่ ในเมื่อบุรุษที่นางวางหัวใจไว้ในมือบอกว่ามันเป็นข่าวดี นางย่อมมีความสุขและคาดหวังเป็นธรรมดา
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวล หากจะว่าไปแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน ข้าจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังก็แล้วกัน…”
หานโม่ฉือจ้องลึกเข้าไปในตาสุกใสของคนตรงหน้า พลางเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวในสิ่งที่เขาทราบมา
ดินแดนที่พวกเขาทั้งคู่อาศัยอยู่ในตอนนี้มีนามเรียกขานว่า ‘ดินแดนหวงหลิง (ดินแดนมายา)’ หวนหลิงเป็นดินแดนขนาดใหญ่ประกอบด้วยเมืองใหญ่น้อยจำนวนมากและมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างนับไม่ถ้วน ในดินแดนหวนหลิงนั้นสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ผ่านการเดินหรือใช้พาหนะ และยังสามารถวัดระยะทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งที่แน่นอนได้
อย่างไรก็ตาม นอกจากดินแดนหวนหลิงแล้ว ยังมีดินแดนคู่ขนานที่ไม่สามารถไปมาหาสู่กันด้วยการเดินทางตามปกติธรรมดา ดินแดนที่ว่านี้อยู่เหนือขึ้นไปจากหวนหลิงและมีนามอันเป็นทางการว่า ‘ดินแดนเทพมายา’ หรือที่ผู้คนในดินแดนหวนหลิงรู้จักและเรียกขานกันว่า ‘ดินแดนหนเหนือ’
ระหว่างดินแดนหวนหลิงและดินแดนเทพมายาถูกเชื่อมด้วยช่องว่างแห่งมิติที่ไร้ความเสถียร ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานบริเวณช่องว่างดังกล่าวก็ได้พัฒนาจนค่อย ๆ กลายเป็นดินแดนแห่งหนึ่ง และเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘ดินแดนอ้างว้าง’
ตามข่าวที่หานโม่ฉือได้มานั้น ในเวลานี้ฉินเทียนน่าจะอยู่ในดินแดนอ้างว้าง แม้ว่าจะไม่รู้ตำแหน่งที่อยู่แน่ชัดแต่ผู้นำแห่งประตูไร้เงาก็มั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงหลายปีมานี้มีข่าวลือหนาหูว่าพลังอำนาจของดินแดนอ้างว้างเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ถ้าหากการคาดการของหานโม่ฉือไม่ผิดพลาด นี่น่าจะเป็นฝีมือของฉินเทียนที่พยายามจะสร้างขุมกำลังของตัวเองอยู่
“ส่วนแม่ของเจ้า ถ้าข้อมูลที่ข้าได้มาถูกต้อง นางน่าจะอยู่ในดินแดนเทพมายา แต่ข้าไม่สามารถหาพิกัดที่นางอยู่ได้และไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังทำสิ่งใดอยู่”
สิ้นคำบอกเล่าของหานโม่ฉือ ในใจของฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยความสับสน คำถามมากมายผุดขึ้นมามากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
‘ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ได้อยู่ในที่เดียวกันอย่างนั้นหรือ ? ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?!’
“เจ้าไม่ต้องกังวล ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ของเจ้าไม่มีใครตกอยู่ในอันตราย ข้ามั่นใจพวกท่านทั้งสองปลอดภัยดี ส่วนสาเหตุที่ทั้งสองคนต้องแยกกันอยู่ต่างสถานที่หรือตำแหน่งแน่ชัดที่ทั้งคู่อยู่ในตอนนี้ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนของข้ากำลังพยายามสืบอยู่ ถ้าพวกเขามีความคืบหน้าอะไร ข้าจะรีบมาบอกเจ้าทันที”
เมื่อเห็นใบหน้าแสนยุ่งเหยิงของสตรียอดดวงใจ หานโม่ฉือก็รีบกล่าวเพิ่มเติมเพื่อให้นางคลายกังวล
ฉินอวี้โม่พยักหน้าช้า ๆ ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องอยู่กับใบหน้าคมคายของคนตรงหน้า ทันใดนั้นคุณหนูโฉมงามก็เขย่งเท้า ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงเรื่อกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางของบุรุษแสนดีของนาง
“นี่คือรางวัลสำหรับคนทำงานหนัก”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางพึ่งจะรู้ตัวไม่นานมานี้ว่านับวันนางก็ยิ่งหลงรักคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ อดีตนักฆ่าสาวรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีภารกิจรัดตัวและงานของตระกูลก็ยุ่งตลอดเวลา ทว่าคนผู้นี้ก็ยังไม่ลืมที่จะทำในสิ่งที่เคยสัญญาไว้กับนาง ในเรื่องนี้มีความหมายอย่างชัดเจนว่า ‘เขามีสตรีที่ชื่อฉินอวี้โม่อยู่ในหัวใจเสมอ’ นี่เองทำให้ฉินอวี้โม่ซาบซึ้งใจมากเหลือเกิน
บุรุษน้ำแข็งคอยตามสืบข่าวเรื่องบิดามารดาของนางอย่างเงียบเชียบ ในตอนที่ยังคงมืดแปดด้านแม้ว่าจะลงทุนลงแรงไปมากมายมหาศาลแต่ก็ยังไม่เคยบอกกล่าวหรือแม้แต่จะเอ่ยปากบ่นสักครึ่งคำให้นางรับรู้ถึงความเหนื่อยยาก นั่นเพราะเขาไม่ต้องการให้คนที่รักต้องเป็นกังวล ทว่าในทันทีที่รู้ข่าวแล้วเขาก็รีบมาบอกโดยไม่รีรอ นี่ก็เพราะเขาอยากเห็นนางดีใจและคลายทุกข์ ทั้งหมดเป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่าบุรุษผู้นี้รักนางจากหัวใจและรักมากมายเหลือเกิน
“รางวัลแค่นี้ไม่น้อยไปหน่อยหรือ ?”
หลังจากได้ลิ้มรสความหวานล้ำจากริมฝีปากอ่อนนุ่มนั้นแล้ว หานโม่ฉือก็ยอมรับเลยว่าเวลานี้หัวใจของเขากำลังเป็นสุขมากที่สุดในรอบหลายเดือน อย่างไรก็ตาม บุรุษผู้มีความสุขก็ยังมิวายเอ่ยคำหยอกเย้าเจ้ายอดดวงใจของเขาอย่างเคย
และในตอนนั้นเองหานโม่ฉือก็โน้มตัวลงต่ำก่อนจะประทับริมฝีปากเข้ากับปากสีเรื่ออีกครั้ง บุรุษน้ำแข็งค่อย ๆ ละเลียดความหวานล้ำของคนตรงหน้าช้า ๆ เป็นความหวานที่เขาโหยหาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ฉินอวี้โม่เองก็มิได้ปฏิเสธ สาวงามหลับตาลงและตอบสนองเชื่องช้าละมุนละไม กับเจ้าของหัวใจผู้นี้ คำห้ามปรามและความเหมาะสมทั้งปวงมลายหายไปจากความนึกคิดของนางจนหมดสิ้น
“อุ๊ย ! นั่น !! ตรงนั้นรุ่นพี่หานโม่ฉือกับรุ่นน้องฉินอวี้โม่นี่”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังแว่วขึ้นในหูของคนทั้งสอง
ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อใด แต่ในตอนนี้มีหลายคนที่ยืนอยู่ด้านล่างและกำลังจ้องมองมาที่พวกเขาที่อยู่บนยอดหอคอย ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนคนก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“พวกเราถูกมองอยู่”
ฉินอวี้โม่รีบผละตัวออกจากอ้อมอกอบอุ่น เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้อื่นเห็นนางก็รู้สึกอายจนพูดไม่ออก ‘ขณะนี้นางกำลังยืนจูบกับผู้ชายอยู่บนยอดหอคอยวิญญาณกลางโรงเรียน !’
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย เรามาต่อกันอีกหน่อยเถอะนะ”
หานโม่ฉือแย้มรอยยิ้ม ดวงตาคู่คมดูเคลิบเคลิ้มล่องลอย ดูเหมือนเขาจะไม่ไยดีต่อสายตาผู้คนแม้แต่น้อย
เหงื่อเย็น ๆ พรั่งพรูออกมาตามใบหน้านวลของฉินอวี้โม่อย่างบ้าคลั่ง นางไม่ทราบเลยว่าหานโม่ฉือกลายเป็นบุรุษที่มีใบหน้าหนาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“เอาเถอะ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น”
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็อดยิ้มไม่ได้ เขาเอ่ยปากยอมแพ้อย่างแสนเสียดาย
“โม่เอ๋อร์ ข้าคงต้องขอตัวก่อน โอรสแห่งอารามกลับคืนรังแล้ว ขุมกำลังมากอำนาจนั่นคงเตรียมพร้อมจะเคลื่อนไหวในไม่ช้านี้แน่ เจ้าคนโง่เง่าหานโม่หยวนก็คิดไม่ซื่อหนักข้อขึ้นทุกวัน ที่สำคัญดูเหมือนว่าจะมีบุคคลลึกลับปรากฏตัวขึ้นที่ดินแดนหวนหลิงเยอะขึ้นอย่างผิดสังเกต หลังจากนี้ข้าอาจจะไม่มีเวลามาพบเจ้าได้บ่อยนัก เจ้าอยู่ที่นี่ก็รักษาตัวให้ดีด้วย”
หานโม่ฉือเอ่ยคำอำลาพลางถอนหายใจ ในช่วงเวลาเปราะบางเช่นนี้เขามีเรื่องที่ต้องทำมากมายเหลือเกิน
ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่ามีงานกี่สิ่งอย่างที่รอคอยให้บุรุษน้ำแข็งตระกูลหานไปสะสาง แม้จะอยากอยู่กับสตรีที่รักมากเพียงใด แต่เขาก็มีเวลาว่างอันน้อยนิด ซึ่งเรื่องนี้ก็นับว่าน่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยเลย
“ตกลง เจ้ารีบไปจัดการธุระต่อเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าที่อยู่ที่นี่หรอก แค่รอฟังข่าวการจบการศึกษาของข้าก็พอ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่คิดจะรั้งให้หานโม่ฉือเสียเวลาอยู่ต่อ
ในฐานะสตรีที่ใกล้ชิดเขาที่สุดและปลงใจจะอยู่เคียงข้างบุรุษน้ำแข็งผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ นางย่อมรู้ดีว่าหานโม่ฉือมิใช่เป็นแต่เพียงบุตรคนโตแห่งตระกูลหานเท่านั้น เขายังมีอีกตัวตนหนึ่งที่สำคัญ ทว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะบอกให้นางรับรู้
หานโม่ฉือกดจุมพิตเบา ๆ ลงบนหน้าผากของฉินอวี้โม่ ก่อนที่พริบตาถัดมาร่างบุรุษกำยำจะหายลับไปจากโรงเรียน
ฉินอวี้โม่ทอดสายตามองไปยังทิศทางที่บุรุษแสนดีของนางหายตัวไปอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็เดินทางกลับไปยังหอพักเพื่อเตรียมตัวรับศึกในวันรุ่งขึ้น
.