คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 179 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

“ชิงเฟิง เจ้าไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่ ?”

ระหว่างทางกลับไปยังหอพัก เมื่อพ้นจากสายตาคนจำนวนมากแล้ว เยว่ชิงเฉิงก็รั้งตัวโอวหยางชิงเฟิงเข้ามาใกล้ก่อนจะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ดวงตาคู่งามมองสำรวจอดีตคู่หมายตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ข้าไม่เป็นอะไร ยังดีที่ข้าพกอุปกรณ์คุ้มภัยไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นก็อาจจะได้เจ็บตัวอยู่บ้าง”

โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะพลางกล่าวตอบ เขาจงใจเลือกใช้ถ้อยคำที่ฟังดูไม่ร้ายแรงเพื่อไม่ให้เยว่ชิงเฉิงต้องเป็นกังวล

ที่กล่าวว่าเขาไม่ได้มีอาการบาดเจ็บเลยนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะร่างกายกำยำไม่ได้มีส่วนใดสึกหรอ หากจะมีความเสียหายก็เพียงแต่ในใจที่นึกน่าเสียดายว่าในครั้งนี้เขาต้องสูญเสียอุปกรณ์ช่วยชีวิตแสนล้ำค่าไป อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้กลับบทเรียนที่ดีให้เขาได้ ความประมาทนำพาความตายเข้ามาใกล้ได้ทุกเมื่อ ต่อไปภายหน้าเขาจะต้องรอบคอบให้มากขึ้นและจะไม่วางใจผู้ใดโดยง่ายเช่นนี้อีกแล้ว

เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู ทุกเสี้ยวลมหายใจต้องการความเด็ดขาด ทุกย่างก้าวต้องยืนหยัดอยู่บนความระมัดระวัง

“เหอะ ! เรื่องนี้เป็นเพราะเจ้ามันโง่ ข้าบอกเจ้าไปชัดถ้อยชัดคำเลยนะว่าให้สั่งสอนบทเรียนให้นาง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะทำแบบเดียวกับลั่วอวิ๋นที่ทำกับจีชาง ให้นางถูกหามออกไปจากเวทีซะจะได้ไม่กล้ายโสโอหังต่อหน้าเราอีก”

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เลวร้ายในวันนี้ เยว่ชิงเฉิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน หากเป็นนาง นางคงไม่มีวันใจอ่อนอย่างที่บุรุษผู้นี้ทำเป็นแน่

ฝ่ายคุณชายตระกูลโอวหยางได้แต่ยืนยิ้มแห้ง ๆ เขาไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำ เห็นได้ชัดว่าแม้ปากจะด่าทอแต่ทั้งแววตาและท่าทางของเยว่ชิงเฉิงกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยจากใจจริงแท้

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองดูการสนทนาของสองหนุ่มสาวอดีตคู่หมายด้วยรอยยิ้ม ไม่มีใครคิดจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องของคนคู่นี้ ทุกคนรู้จักนิสัยของเยว่ชิงเฉิงดี เช่นเดียวกับที่รู้จักตัวตนของโอวหยางชิงเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังรู้อีกด้วยว่าคุณชายโอวหยางคือผู้เชี่ยวชาญด้านการรับมือกับอารมณ์ของคุณหนูช่างหลอมมากที่สุด

เมื่อมาถึงทางขึ้นหอพักทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นห้องนอนเพื่อพักผ่อน

โอวหยางชิงเฟิงกลับไปยังหอพักบุรุษของตน ขณะที่ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายสาวเข้าไปในหอพักสตรี

ถึงแม้จะเข้ามาในห้องแล้ว แต่เยว่ชิงเฉิงก็ยังไม่คลายความหงุดหงิด คุณหนูใจร้อนยังคงมีอารมณ์ขุ่นเคืองติดค้างอยู่ในใจจนอดพร่ำบ่นกับสหายสาวทั้งสองไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดว่าหลิวหว่านเยียนควรจะถูกสั่งสอนให้มากกว่านี้ หากเทียบกับความผิดที่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น บทเรียนของสตรีใจทรามในวันนี้ยังนับว่าบางเบาเกินไป

ฉินอวี้โม่และหลิงซวงได้แต่ส่ายศีรษะพลางยิ้มอ่อน ๆ ทั้งสองรับฟังเงียบ ๆ และกล่าวโต้ตอบในบางครั้ง อย่างไรก็ตามทั้งคู่กลับไม่คิดติดใจกับบทลงโทษของหลิวหว่านเยียนเหมือนกับสหายช่างหลอม

ในตอนนี้ความเคียดแค้นที่พวกนางมีต่อหลิวหว่านเยียนลดน้อยลงไปมากแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเรื่องบาดหมางกันแต่สำหรับฉินอวี้โม่บทเรียนที่โฉมงามจอมริษยาได้รับก็นับว่าสาสม การไม่มีจุดยืนในสังคมถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างถึงที่สุดสำหรับสตรีอย่างหลิวหว่านเยียน คนผู้นั้นคงต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกแสนนาน ซึ่งเท่านี้ก็มากเกินพอ

หลังจากได้ฟังความเห็นของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็พยักหน้าเห็นด้วย ทว่าความไม่สบอารมณ์ที่อยู่ในใจก็ไม่ได้ลดน้อยลงมากนัก

หลังจากราตรีกาลผ่านพ้นไป ในวันรุ่งขึ้นนักเรียนทุกคนก็มารวมตัวกันที่สนามประลองใหญ่ตั้งแต่เช้า พวกเขาทุกคนตั้งใจจะจับจองที่นั่งดี ๆ เพื่อให้ได้ชมการต่อสู้ในรอบแปดคนสุดท้ายได้อย่างชัดเจนที่สุด

ในวันนี้มีการแข่งขันทั้งหมดสี่คู่เท่านั้น ซึ่งการแข่งขันในคู่ของฉินอวี้โม่กับเพ่ยหลงถูกจัดไว้เป็นลำดับสุดท้าย

ศึกสองคู่แรกเป็นคู่ของหลิวซิวหยาปะทะกับโอวหยางชิงเฟิง และคู่ของหลี่จิ้งที่ต้องประมือกับหลิวฉาน

ในสายตาของนักเรียนผู้เข้าชม ทั้งสองคู่ยังไม่น่าตื่นเต้นและเป็นที่ดึงดูดมากนักเพราะพวกเขาสามารถระบุชื่อผู้ชนะได้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน

และก็เป็นไปตามที่คาดไว้หลินซิวหยาและหลี่จิ้งเอาชนะคู่ต่อสู้และเข้าสู่รอบสี่คนสุดท้ายได้อย่างไม่ยากเย็น

ในคู่ที่สามเป็นคู่ของเนี่ยหรูเฟิงกับลั่วอวิ๋น

ว่ากล่าวกันตามจริง ก่อนหน้านี้ลั่วอวิ๋นเป็นนักเรียนไร้ชื่อมาโดยตลอด ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้โดดเด่น แม้แต่ในหมู่สหายสนิทด้วยกันเอง ความแข็งแกร่งของเขาก็แทบจะเรียกว่าอยู่ในอันดับรั้งท้าย ทว่าหลังจากเข้าไปในป่าเหมันต์และได้พบเจอโชควาสนาที่ราวกับฟ้าประทาน เขาก็ก้าวกระโดดขึ้นมาจนเป็นจอมยุทธ์ระดับแนวหน้าของโรงเรียนและก้าวขึ้นมาเป็นอันดับเกือบจะสูงสุดในกลุ่มสหายได้

ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าหากนับรวมนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนตอนนี้ ลั่วอวิ๋นยังถือว่าอยู่ในสิบอันดับแรกเลยด้วยซ้ำ

ส่วนทางด้านเนี่ยหรูเฟิงนั้น เขาเป็นนักเรียนชั้นปีสี่ของโรงเรียน ปีนี้เป็นปีที่เขาก้าวหน้ามากที่สุด ผลงานด้านการแสดงความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของเขาในหมู่นักเรียนร่วมชั้นก็ไม่ธรรมดา ที่สำคัญเขาเพิ่งจะโค่นล้มคู่ปรับเก่าอย่างปู้เฟยเทียนลงได้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีทองของเนี่ยหรูเฟิงอย่างแท้จริง

แม้ว่าลั่วอวิ๋นจะเพิ่งกระโดดข้ามขั้นพลัง มีฝีมือก้าวหน้าครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าศึกนี้น่าจะหนักหนาสำหรับเขามากพอดู

และผู้เข้าชมทั้งหลายก็ไม่ผิดหวัง การประลองของทั้งสองคนเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าจะยังไม่เท่ากับคู่ของหลิวซิวหยาและหลินหยวน แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อยหน้า

คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันด้วยระดับความแข็งแกร่งที่สูสี คนหนึ่งมีระดับพลังสูงแต่ยังอ่อนประสบการณ์ อีกคนมีประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนแม้จะมีพลังที่ห่างชั้นอยู่เล็กน้อย การประชันยุทธ์ของคู่นี้ดุเดือดเร้าใจไม่มีผู้ใดยอมแพ้

อย่างไรก็ตามในตอนท้าย ลั่วอวิ๋นก็เป็นเพลี่ยงพล้ำก่อนเพราะไม่สามารถควบคุมพลังใหม่ของตัวเองให้มั่นคงได้

เนี่ยหรูเฟิงมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้และไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอย ในที่สุดบุรุษรุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์ก็เอาชนะไปได้อย่างโชคช่วย เขายอมรับว่าห่างมีเวลาให้ลั่วอวิ๋นฝึกฝนให้คุ้นชินกับพลังใหม่มากกว่านี้ เขาก็อาจจะเป็นฝ่ายแพ้ไปในช่วงต้นของการแข่งขันเลยก็ได้

ในที่สุดการประลองคู่สุดท้ายของวันนี้ก็มาถึง การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการประมือกันระหว่างสองโฉมนารี ฉินอวี้โม่และเพ่ยหลง

ต้องบอกเลยว่าการประชันยุทธ์ของคู่นี้เป็นศึกที่ทุกคนให้ความสนใจและจับตามองมากที่สุดในรอบแปดคนสุดท้าย เวลานี้บริเวณรอบลานประลองคับคั่งไปด้วยฝูงชนจำนวนมากไม่แพ้ในรอบที่หลินซิวหยาปะทะหลินหยวน

ฝ่ายฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ ผมสลวยดำขลับถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้าและปล่อยส่วนปลายให้สยายไปด้านหลัง คิ้วเรียวดกหนา ดวงตาเนื้อทรายและใบหน้าขาวนวลยังคงงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศอันมีเอกลักษณ์น่าดึงดูดก็ทำให้คุณหนูสี่ตระกูลฉินดูราวกับเทพธิดาผู้มาเยี่ยมเยือนยังโลกมนุษย์

ฝ่ายคู่ประลองรุ่นพี่สวมใส่ชุดสีแดงเหมือนเช่นในรอบที่ต้องประมือกับโฉมงามอันดับหนึ่ง ดูเหมือนว่าชุดสีแดงจะเป็นชุดออกศึกตัวโปรดของนาง

เพ่ยหลงนั้นถือว่างดงามมากในหมู่สตรีอ่อนเยาว์ในรุ่นราวคราวเดียวกัน นางมีความงามไม่เป็นรองผู้ใดในหมู่นักเรียนหญิงของโรงเรียน ทว่าเมื่อได้ยืนประจันหน้ากับฉินอวี้โม่เช่นนี้ ความโดดเด่นของโฉมงามแห่งชั้นปีที่สองก็ถูกลดทอนลงไปเล็กน้อย

หากว่ากล่าวกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ความงามของทั้งสองสตรีถือว่าข่มกันไม่ได้ ทว่าเพ่ยหลงนั้นยังพ่ายแพ้ให้กับสง่าราศีและรัศมีราวเทพเซียนจากกายของฉินอวี้โม่

เพ่ยหลงเป็นสตรีที่นิยมมากในหมู่บุรุษแห่งโรงเรียนราชสำนัก นางเป็นสตรีที่น่าคบหา เป็นคนตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ตามรัศมีความเด็ดเดี่ยวของนางก็ยังแพ้ให้กับฉินอวี้โม่ถึงครึ่งส่วน

เมื่อได้พิจารณาสตรีทั้งสองพร้อม ๆ กัน หลายคนก็พบว่ากลิ่นอายความเด็ดขาดจากตัวฉินอวี้โม่นั้นแจ่มชัดยิ่งกว่าเพ่ยหลง ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้จะอ่อนวัยกว่าเล็กน้อยแต่คุณหนูสี่ตระกูลฉินกลับดูลึกลับกว่ามาก

“อันที่จริงข้ารู้สึกมาตลอดว่าข้าก็ไม่ได้งดงามน้อยกว่าผู้ใด แม้แต่เจียงหลิวเยว่โฉมงามอันดับหนึ่ง ข้าก็ยังคิดว่าตัวเองยังพอจะเทียบเคียงนางได้ แต่พอได้มายืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าแบบนี้ ข้าก็ยอมรับว่าความงามของข้าเองดูจืดจางลงไปเสี้ยวหนึ่ง”

เพ่ยหลงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ วาจาของนางกล่าวมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

.

ในตอนที่ยืนเคียงคู่เจียงหลิวเยว่เมื่อวานนี้ นางไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันสิ่งใดแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นความงามของนางกับเจียงหลิวเยว่เป็นความงามที่แตกต่างกันคนละขั้วจึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าผู้ใดงดงามกว่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อมายืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่เช่นนี้ ไม่ทราบเลยว่าเพราะเหตุใดสตรีผู้มีความมั่นใจอย่างนางถึงได้รู้สึกเหมือนถูกรัศมีรอบกายของรุ่นน้องตรงหน้ากดข่ม

บรรยากาศจากตัวของฉินอวี้โม่และกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากกายบอบบางทว่าดูทรงพลังนั้น เพ่ยหลงคิดว่าตนไม่อาจจะเปรียบเทียบได้

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ปฏิเสธคำชื่นชมของสตรีรุ่นพี่ แต่กลับยิ้มรับอย่างนอบน้อม

ฉินอวี้โม่ยอมรับว่าตนเองพึงพอใจกับรูปลักษณ์ที่เป็นอยู่นี้มากเช่นกัน ต้องขอบคุณจากใจจริงแท้ที่ฉินเทียนกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้มอบรูปลักษณ์อันสมบูรณ์แบบให้คุณหนูสี่คนก่อนหน้า และรัศมีแห่งกายเทพมายานี้ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเน้นความเฉิดฉายของสตรีนามว่าฉินอวี้โม่

ส่วนบรรยากาศและกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวอดีตนักฆ่าสาวมาจากชาติก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมไม่เหมือนกับสตรีคนใดในโลกมายานี้

เพราะ ‘เธอ’ คือนักฆ่าผู้เด็ดเดี่ยว มีนิสัยรักอิสระ และในช่วงเวลาที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ‘เธอ’ ก็มีอายุยี่สิบห้าปีแล้ว ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนและอุปนิสัยในชีวิตก่อน เมื่อมาอยู่ในร่างกายนี้และโลกใบนี้มันจึงช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและน่าดึงดูดให้สตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่จนเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้

“อวี้โม่ขอให้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ดี”

เพ่ยหลงเปิดฉากการต่อสู้ นางไม่ได้เรียกเอาอสูรมายาออกมาประมือกับสตรีผู้ฝึกสัตว์ตรงหน้าแต่กลับเลือกใช้เพียงอาวุธและกำลังของตัวเอง แส้ยาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือก่อนจะสะบัดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด

ฉินอวี้โม่เองก็ไม่คิดรอช้า กระบี่อ่อนปีกจักจั่นปรากฏบนมือบางในฉับพลัน ก่อนจะตวัดมันเข้าปะทะกับแส้ของเพ่ยหลง

ทว่าสิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาของฝูงชนได้มากที่สุดคือคู่ต่อสู้ทั้งสองไม่ใช้พลังมายาเลยแม้แต่น้อย ต่างฝ่ายต่างสู้กันโดยอาศัยเพียงกระบวนท่าและทักษะของร่างกาย

แน่นอนว่า เพียงเวลาไม่นานฉินอวี้โม่ก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ อดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 มีประสบการณ์การต่อสู้ที่มากกว่าและยังมีทักษะในการเคลื่อนที่ที่เหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก

การเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่รวดเร็วและการโจมตียังเฉียบขาดกว่าเพ่ยหลงอย่างเห็นได้ชัด

เพ่ยหลงจากเดิมที่เป็นฝ่ายเปิดฉากรุกไล่ต้องเปลี่ยนไปตั้งรับเสียแล้ว หลังจากผ่านไปไม่อีกกี่กระบวนท่านางก็ไม่สามารถหาทางโต้ตอบกลับมาเป็นฝ่ายบุกได้อีก

ในสายตาของผู้ชมโดยรอบ ยิ่งได้ดูการต่อสู้นี้ก็ยิ่งคล้ายได้ชมการร่ายรำของสองเทพธิดาจากแดนสรวง แม้จะไม่มีดนตรีขับกล่อม แม้จะไร้ซึ่งฉากหลังและแสงสีตระการตาแต่ทุกท่วงท่าลีลาการเคลื่อนไหวของพวกนางทั้งคู่ดูงดงามและสอดผสานกันอย่างลงตัว เวลานี้แทบไม่มีผู้ใดสนใจจิตสังหารและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของฉินอวี้โม่และเพ่ยหลงอีกแล้ว พวกเขาเสมือนถูกมนตร์สะกดให้ลุ่มหลงกับการเริงระบำตรงหน้า ทุกสายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า สตรีทั้งสองก็หยุดเคลื่อนไหว ทว่าเหล่าผู้ชมก็ยังคงตกตะลึงอยู่กับท่วงท่าการจู่โจมของทั้งคู่และไม่อาจเรียกสติกลับมาได้

“อวี้โม่ ข้าไม่ใช่คู่ต่อคู่ของเจ้า ข้าขอยอมแพ้”

เพ่ยหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม นางยอมรับความพ่ายแพ้โดยดุษฎี

การประมือกันเมื่อครู่ทำให้จอมยุทธ์สาวผู้ครองอันดับห้าในทำเนียบนภาทราบว่าตนในเวลานี้ยังไม่มีโอกาสเอาชนะในคนตรงหน้าได้ หลังจากประมือกันอยู่นานเพ่ยหลงก็เข้าใจในความห่างชั้นของตัวเองกับฉินอวี้โม่อย่างสมบูรณ์แล้ว

หากสู้กันด้วยกระบวนท่าโดยไม่ใช้พลังมายาหรือพึ่งพาอสูร เห็นชัดว่านางแทบไม่มีโอกาสจะชนะได้

แต่ถึงแม้จะใช้อสูรมายาและพลังมายาเข้าสนับสนุน เพ่ยหลงก็คิดว่าโอกาสที่นางจะคว้ามีชัยชนะมาครองได้คงจะเป็นศูนย์ เพราะอสูรมายาของนางไม่มีทางต่อกรกับกองทัพอสูรของฉินอวี้โม่ได้

กระบวนท่าและการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่เป็นรูปแบบที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ละท่าทางเชื่อมต่อสอดผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างรุ่นน้องผู้นี้ แม้จะใช้พลังมายา เพ่ยหลงก็คิดว่าตนในตอนนี้ยังไม่เห็นโอกาสชนะแม้แต่น้อย

ยิ่งกว่านั้นความเร็วของอีกฝ่ายก็สูงส่งอย่างน่าตกใจ ฉินอวี้โม่สามารถป้องกันการจู่โจมของนางได้จากทุกทิศทาง ความเร็วของคุณหนูตระกูลฉินสูงกว่าที่เคยคาดคิดเอาไว้มาก

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แม้แต่เพ่ยหลงสตรีที่ไม่ยอมแพ้ผู้ใดง่าย ๆ ก็ยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

“ถ้ารุ่นพี่เพ่ยหลงใช้ไพ่ตายในมือทุกใบ บางทีข้าอาจจะไม่ชนะก็ได้”

ถึงแม้คู่ต่อสู้จะออกปากยอมปราชัย ทว่าฉินอวี้โม่กลับรู้ดีว่าเพ่ยหลงยังมีไพ่ตายบางอย่างเก็บซ่อนไว้ หากนางเปิดไพ่ทุกใบที่มีอยู่ บางทีฉินอวี้โม่อาจจะไม่ใช่ฝ่ายกำชัยชนะเหมือนเช่นตอนนี้

“ไม่จริงหรอก ข้ามีไพ่ตายก็จริง แต่เจ้าก็มีเหมือนกัน ถ้าใช้กันทั้งสองฝ่าย ข้าคิดว่าผลลัพธ์ก็คงจะไม่ต่างจากตอนนี้มากนัก”

เพ่ยหลงยิ้ม  นางรู้ดีว่าสตรีรุ่นน้องที่เป็นคู่ประลองก็ซ่อนไพ่ตายอยู่เช่นกัน

เพียงแค่พลังของมังกรทองห้าเล็บหานอวี้ผู้เป็นอสูรระดับสูงในตำนานก็เพียงพอจะกำราบอสูรของนางและเอาชนะนางได้ไม่ยากแล้ว ยิ่งกว่านั้นไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด แต่ในใจเพ่ยหลงเชื่อว่า ฉินอวี้โม่จะต้องมีไพ่ตายที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นอยู่ด้วย

“ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายชนะ !”

ในตอนที่เสียงขานผลการประลองดังขึ้นก็เป็นเวลาที่ผู้เข้าชมทั้งหมดได้สติรู้ตัว ทว่าสองจอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้าก็พากันเดินลงมาจากลานประลองเป็นที่เรียบร้อย

ราวกับเพิ่งจะได้เห็นฉากอันงดงาม ทุกคนที่เคยมีส่วนร่วมในงานประลองยุทธ์ครั้งที่ผ่านมาต่างก็คิดว่าศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนปีนี้งดงามยิ่งกว่ามาก

วันนี้ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก การประลองทั้งสี่รอบก็เสร็จสิ้นลง รายนามของผู้ผ่านเข้ารอบสี่คนสุดท้ายออกมาแล้ว และการจับสลากประกบคู่ก็เริ่มต้นขึ้นต่อจากนั้นทันที

ผลการจับสลากพบว่า ในรอบต่อไปฉินอวี้โม่จะต้องพบเจอกับหลี่จิ้ง ส่วนหลินซิวหยาได้ประมือกับเนี่ยหรูเฟิง

ฉินอวี้โม่คิดว่าในการแข่งขันวันพรุ่งนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอีกรอบหนึ่งแน่นอน

แต่ทว่าในเช้าวันถัดมา ก่อนที่การประลองระหว่างนางกับหลี่จิ้งจะเริ่ม บุรุษผู้รักการผจญภัยและชื่นชอบการแสวงหาประสบการณ์นอกรั้วโรงเรียนกลับชิงประกาศยอมแพ้เสียก่อน

“รุ่นน้องอวี้โม่ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ครั้งนี้ข้าขอยอมแพ้”

ในใจอดีตนักฆ่าสาวเริ่มเกิดความคิดว่า หลี่จิ้งกำลังปกปิดบางอย่างเอาไว้ ในรอบที่ผ่าน ๆ มาเขาดูจะชนะได้อย่างง่ายดายไร้อุปสรรค ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่เมื่อครั้งศึกประชันยุทธ์เริ่มต้นขึ้นบุรุษผู้นี้ยังไม่เคยเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาเลย

ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนาง หลี่จิ้งกลับเลือกยอมแพ้โดยไม่ลังเล ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่ต้องการเผยความสามารถอันจริงแท้ของตนต่อหน้าผู้คน ในเรื่องนี้เองที่ทำให้ฉินอวี้โม่มั่นใจว่ารุ่นพี่ผู้นี้จะต้องกุมความลับบางอย่างที่คาดไม่ถึงเอาไว้

อย่างไรก็ตาม คุณหนูตระกูลฉินก็ไม่ได้กล้าละลาบละล้วงเหตุผลของรุ่นพี่ผู้ลึกลับ แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยร่วมต่อสู้อยู่กลุ่มเดียวกันกับเขาแต่ก็แทบไม่ได้พูดคุยกันเลย กระนั้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางก็รู้จักคนผู้นี้ในระดับหนึ่ง หากเขาต้องการบอกนางก็จะได้รู้ แต่ถ้าเขาไม่อยากให้รู้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์

เมื่อได้ยินว่าหลี่จิ้งประกาศขอยอมแพ้ นักเรียนจำนวนต่างพากันเสียดายที่ไม่ได้ชมการต่อสู้ที่รอคอย แต่หลายคนก็ยังแสดงความยินดีกับฉินอวี้โม่ที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

เวลานี้ ในความคิดของนักเรียนบางคน ฉินอวี้โม่ได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนราชสำนักไปแล้ว นักเรียนจำนวนหนึ่งยังแอบคิดด้วยว่า ไม่ว่าสุดท้ายแล้วคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นหลินซิวหยาหรือเนี่ยหรูเฟิง คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็คงจะคว้ารางวัลชนะเลิศได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนส่วนมากคาดเดาว่าในรอบชิงชนะเลิศนั้นจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างหลินซิวหยากับฉินอวี้โม่ เพราะพวกเขาคาดหวังจะได้รับชมการต่อสู้อันน่าตื่นเต้น

ไม่เพียงแต่ผู้ที่รู้จักฉินอวี้โม่และหลิวซิวหยา แต่ทุกคนในโรงเรียนล้วนทราบดีว่าทั้งคู่จะต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมด และมันคงจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่งกว่ารอบใด ๆ อย่างแน่นอน

ยิ่งก่อนหน้านี้ทั้งสตรีตระกูลฉินและบุรุษผู้เชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิดได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะไม่ใช้อสูรมายาในการประมือกัน

หากไม่มีการพึ่งพาอสูรมายาทั้งสองฝ่าย ทักษะในการต่อสู้ของหลินซิวหยาก็ไม่ได้เป็นรองฉินอวี้โม่ ที่สำคัญเขามีพละกำลังที่เหนือกว่าและประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งที่ลึกลับจนผิดมนุษย์ของฉินอวี้โม่หลายคนก็ยังคาดหวังว่านางจะคว้าชัยชนะได้อยู่ดี

ในตอนนั้นเองที่เหล่าผู้เข้าชมทั้งหลายหันไปจดจ่ออยู่กับลานประลองเพราะศึกประชันยุทธ์ระหว่างหลินซิวหยาและเนี่ยหรูเฟิงกำลังเริ่มต้นขึ้น

และหลินซิวหยาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เขาสามารถเอาชนะเนี่ยหรูเฟิงและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในเวลาอันสั้น

สุดท้ายก็ไม่ผิดไปจากที่หลายคนคาดหมาย การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันพรุ่งนี้จะเป็นศึกประชันยุทธ์ระหว่างยอดฝีมือผู้คลั่งไคล้การต่อสู้–หลินซิวหยาและนักเรียนดาวรุ่งหน้าใหม่ผู้เต็มไปด้วยปริศนา–ฉินอวี้โม่

ศึกในรอบชิงชนะเลิศวันพรุ่งนี้ คนจำนวนมากเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา !

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 179 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 179 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

“ชิงเฟิง เจ้าไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่ ?”

ระหว่างทางกลับไปยังหอพัก เมื่อพ้นจากสายตาคนจำนวนมากแล้ว เยว่ชิงเฉิงก็รั้งตัวโอวหยางชิงเฟิงเข้ามาใกล้ก่อนจะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ดวงตาคู่งามมองสำรวจอดีตคู่หมายตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ข้าไม่เป็นอะไร ยังดีที่ข้าพกอุปกรณ์คุ้มภัยไว้กับตัว ไม่อย่างนั้นก็อาจจะได้เจ็บตัวอยู่บ้าง”

โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะพลางกล่าวตอบ เขาจงใจเลือกใช้ถ้อยคำที่ฟังดูไม่ร้ายแรงเพื่อไม่ให้เยว่ชิงเฉิงต้องเป็นกังวล

ที่กล่าวว่าเขาไม่ได้มีอาการบาดเจ็บเลยนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะร่างกายกำยำไม่ได้มีส่วนใดสึกหรอ หากจะมีความเสียหายก็เพียงแต่ในใจที่นึกน่าเสียดายว่าในครั้งนี้เขาต้องสูญเสียอุปกรณ์ช่วยชีวิตแสนล้ำค่าไป อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้กลับบทเรียนที่ดีให้เขาได้ ความประมาทนำพาความตายเข้ามาใกล้ได้ทุกเมื่อ ต่อไปภายหน้าเขาจะต้องรอบคอบให้มากขึ้นและจะไม่วางใจผู้ใดโดยง่ายเช่นนี้อีกแล้ว

เมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรู ทุกเสี้ยวลมหายใจต้องการความเด็ดขาด ทุกย่างก้าวต้องยืนหยัดอยู่บนความระมัดระวัง

“เหอะ ! เรื่องนี้เป็นเพราะเจ้ามันโง่ ข้าบอกเจ้าไปชัดถ้อยชัดคำเลยนะว่าให้สั่งสอนบทเรียนให้นาง แต่เจ้าก็ไม่ฟัง ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะทำแบบเดียวกับลั่วอวิ๋นที่ทำกับจีชาง ให้นางถูกหามออกไปจากเวทีซะจะได้ไม่กล้ายโสโอหังต่อหน้าเราอีก”

เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เลวร้ายในวันนี้ เยว่ชิงเฉิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน หากเป็นนาง นางคงไม่มีวันใจอ่อนอย่างที่บุรุษผู้นี้ทำเป็นแน่

ฝ่ายคุณชายตระกูลโอวหยางได้แต่ยืนยิ้มแห้ง ๆ เขาไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำ เห็นได้ชัดว่าแม้ปากจะด่าทอแต่ทั้งแววตาและท่าทางของเยว่ชิงเฉิงกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยจากใจจริงแท้

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองดูการสนทนาของสองหนุ่มสาวอดีตคู่หมายด้วยรอยยิ้ม ไม่มีใครคิดจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องของคนคู่นี้ ทุกคนรู้จักนิสัยของเยว่ชิงเฉิงดี เช่นเดียวกับที่รู้จักตัวตนของโอวหยางชิงเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังรู้อีกด้วยว่าคุณชายโอวหยางคือผู้เชี่ยวชาญด้านการรับมือกับอารมณ์ของคุณหนูช่างหลอมมากที่สุด

เมื่อมาถึงทางขึ้นหอพักทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นห้องนอนเพื่อพักผ่อน

โอวหยางชิงเฟิงกลับไปยังหอพักบุรุษของตน ขณะที่ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายสาวเข้าไปในหอพักสตรี

ถึงแม้จะเข้ามาในห้องแล้ว แต่เยว่ชิงเฉิงก็ยังไม่คลายความหงุดหงิด คุณหนูใจร้อนยังคงมีอารมณ์ขุ่นเคืองติดค้างอยู่ในใจจนอดพร่ำบ่นกับสหายสาวทั้งสองไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดว่าหลิวหว่านเยียนควรจะถูกสั่งสอนให้มากกว่านี้ หากเทียบกับความผิดที่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น บทเรียนของสตรีใจทรามในวันนี้ยังนับว่าบางเบาเกินไป

ฉินอวี้โม่และหลิงซวงได้แต่ส่ายศีรษะพลางยิ้มอ่อน ๆ ทั้งสองรับฟังเงียบ ๆ และกล่าวโต้ตอบในบางครั้ง อย่างไรก็ตามทั้งคู่กลับไม่คิดติดใจกับบทลงโทษของหลิวหว่านเยียนเหมือนกับสหายช่างหลอม

ในตอนนี้ความเคียดแค้นที่พวกนางมีต่อหลิวหว่านเยียนลดน้อยลงไปมากแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเรื่องบาดหมางกันแต่สำหรับฉินอวี้โม่บทเรียนที่โฉมงามจอมริษยาได้รับก็นับว่าสาสม การไม่มีจุดยืนในสังคมถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างถึงที่สุดสำหรับสตรีอย่างหลิวหว่านเยียน คนผู้นั้นคงต้องทนทุกข์ทรมานไปอีกแสนนาน ซึ่งเท่านี้ก็มากเกินพอ

หลังจากได้ฟังความเห็นของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็พยักหน้าเห็นด้วย ทว่าความไม่สบอารมณ์ที่อยู่ในใจก็ไม่ได้ลดน้อยลงมากนัก

หลังจากราตรีกาลผ่านพ้นไป ในวันรุ่งขึ้นนักเรียนทุกคนก็มารวมตัวกันที่สนามประลองใหญ่ตั้งแต่เช้า พวกเขาทุกคนตั้งใจจะจับจองที่นั่งดี ๆ เพื่อให้ได้ชมการต่อสู้ในรอบแปดคนสุดท้ายได้อย่างชัดเจนที่สุด

ในวันนี้มีการแข่งขันทั้งหมดสี่คู่เท่านั้น ซึ่งการแข่งขันในคู่ของฉินอวี้โม่กับเพ่ยหลงถูกจัดไว้เป็นลำดับสุดท้าย

ศึกสองคู่แรกเป็นคู่ของหลิวซิวหยาปะทะกับโอวหยางชิงเฟิง และคู่ของหลี่จิ้งที่ต้องประมือกับหลิวฉาน

ในสายตาของนักเรียนผู้เข้าชม ทั้งสองคู่ยังไม่น่าตื่นเต้นและเป็นที่ดึงดูดมากนักเพราะพวกเขาสามารถระบุชื่อผู้ชนะได้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน

และก็เป็นไปตามที่คาดไว้หลินซิวหยาและหลี่จิ้งเอาชนะคู่ต่อสู้และเข้าสู่รอบสี่คนสุดท้ายได้อย่างไม่ยากเย็น

ในคู่ที่สามเป็นคู่ของเนี่ยหรูเฟิงกับลั่วอวิ๋น

ว่ากล่าวกันตามจริง ก่อนหน้านี้ลั่วอวิ๋นเป็นนักเรียนไร้ชื่อมาโดยตลอด ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้โดดเด่น แม้แต่ในหมู่สหายสนิทด้วยกันเอง ความแข็งแกร่งของเขาก็แทบจะเรียกว่าอยู่ในอันดับรั้งท้าย ทว่าหลังจากเข้าไปในป่าเหมันต์และได้พบเจอโชควาสนาที่ราวกับฟ้าประทาน เขาก็ก้าวกระโดดขึ้นมาจนเป็นจอมยุทธ์ระดับแนวหน้าของโรงเรียนและก้าวขึ้นมาเป็นอันดับเกือบจะสูงสุดในกลุ่มสหายได้

ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าหากนับรวมนักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนตอนนี้ ลั่วอวิ๋นยังถือว่าอยู่ในสิบอันดับแรกเลยด้วยซ้ำ

ส่วนทางด้านเนี่ยหรูเฟิงนั้น เขาเป็นนักเรียนชั้นปีสี่ของโรงเรียน ปีนี้เป็นปีที่เขาก้าวหน้ามากที่สุด ผลงานด้านการแสดงความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของเขาในหมู่นักเรียนร่วมชั้นก็ไม่ธรรมดา ที่สำคัญเขาเพิ่งจะโค่นล้มคู่ปรับเก่าอย่างปู้เฟยเทียนลงได้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีทองของเนี่ยหรูเฟิงอย่างแท้จริง

แม้ว่าลั่วอวิ๋นจะเพิ่งกระโดดข้ามขั้นพลัง มีฝีมือก้าวหน้าครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องบอกเลยว่าศึกนี้น่าจะหนักหนาสำหรับเขามากพอดู

และผู้เข้าชมทั้งหลายก็ไม่ผิดหวัง การประลองของทั้งสองคนเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าจะยังไม่เท่ากับคู่ของหลิวซิวหยาและหลินหยวน แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมไม่น้อยหน้า

คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันด้วยระดับความแข็งแกร่งที่สูสี คนหนึ่งมีระดับพลังสูงแต่ยังอ่อนประสบการณ์ อีกคนมีประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนแม้จะมีพลังที่ห่างชั้นอยู่เล็กน้อย การประชันยุทธ์ของคู่นี้ดุเดือดเร้าใจไม่มีผู้ใดยอมแพ้

อย่างไรก็ตามในตอนท้าย ลั่วอวิ๋นก็เป็นเพลี่ยงพล้ำก่อนเพราะไม่สามารถควบคุมพลังใหม่ของตัวเองให้มั่นคงได้

เนี่ยหรูเฟิงมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้และไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอย ในที่สุดบุรุษรุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์ก็เอาชนะไปได้อย่างโชคช่วย เขายอมรับว่าห่างมีเวลาให้ลั่วอวิ๋นฝึกฝนให้คุ้นชินกับพลังใหม่มากกว่านี้ เขาก็อาจจะเป็นฝ่ายแพ้ไปในช่วงต้นของการแข่งขันเลยก็ได้

ในที่สุดการประลองคู่สุดท้ายของวันนี้ก็มาถึง การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการประมือกันระหว่างสองโฉมนารี ฉินอวี้โม่และเพ่ยหลง

ต้องบอกเลยว่าการประชันยุทธ์ของคู่นี้เป็นศึกที่ทุกคนให้ความสนใจและจับตามองมากที่สุดในรอบแปดคนสุดท้าย เวลานี้บริเวณรอบลานประลองคับคั่งไปด้วยฝูงชนจำนวนมากไม่แพ้ในรอบที่หลินซิวหยาปะทะหลินหยวน

ฝ่ายฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ ผมสลวยดำขลับถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้าและปล่อยส่วนปลายให้สยายไปด้านหลัง คิ้วเรียวดกหนา ดวงตาเนื้อทรายและใบหน้าขาวนวลยังคงงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศอันมีเอกลักษณ์น่าดึงดูดก็ทำให้คุณหนูสี่ตระกูลฉินดูราวกับเทพธิดาผู้มาเยี่ยมเยือนยังโลกมนุษย์

ฝ่ายคู่ประลองรุ่นพี่สวมใส่ชุดสีแดงเหมือนเช่นในรอบที่ต้องประมือกับโฉมงามอันดับหนึ่ง ดูเหมือนว่าชุดสีแดงจะเป็นชุดออกศึกตัวโปรดของนาง

เพ่ยหลงนั้นถือว่างดงามมากในหมู่สตรีอ่อนเยาว์ในรุ่นราวคราวเดียวกัน นางมีความงามไม่เป็นรองผู้ใดในหมู่นักเรียนหญิงของโรงเรียน ทว่าเมื่อได้ยืนประจันหน้ากับฉินอวี้โม่เช่นนี้ ความโดดเด่นของโฉมงามแห่งชั้นปีที่สองก็ถูกลดทอนลงไปเล็กน้อย

หากว่ากล่าวกันด้วยรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ความงามของทั้งสองสตรีถือว่าข่มกันไม่ได้ ทว่าเพ่ยหลงนั้นยังพ่ายแพ้ให้กับสง่าราศีและรัศมีราวเทพเซียนจากกายของฉินอวี้โม่

เพ่ยหลงเป็นสตรีที่นิยมมากในหมู่บุรุษแห่งโรงเรียนราชสำนัก นางเป็นสตรีที่น่าคบหา เป็นคนตรงไปตรงมาและเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ตามรัศมีความเด็ดเดี่ยวของนางก็ยังแพ้ให้กับฉินอวี้โม่ถึงครึ่งส่วน

เมื่อได้พิจารณาสตรีทั้งสองพร้อม ๆ กัน หลายคนก็พบว่ากลิ่นอายความเด็ดขาดจากตัวฉินอวี้โม่นั้นแจ่มชัดยิ่งกว่าเพ่ยหลง ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้จะอ่อนวัยกว่าเล็กน้อยแต่คุณหนูสี่ตระกูลฉินกลับดูลึกลับกว่ามาก

“อันที่จริงข้ารู้สึกมาตลอดว่าข้าก็ไม่ได้งดงามน้อยกว่าผู้ใด แม้แต่เจียงหลิวเยว่โฉมงามอันดับหนึ่ง ข้าก็ยังคิดว่าตัวเองยังพอจะเทียบเคียงนางได้ แต่พอได้มายืนอยู่ข้าง ๆ เจ้าแบบนี้ ข้าก็ยอมรับว่าความงามของข้าเองดูจืดจางลงไปเสี้ยวหนึ่ง”

เพ่ยหลงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ วาจาของนางกล่าวมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

.

ในตอนที่ยืนเคียงคู่เจียงหลิวเยว่เมื่อวานนี้ นางไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันสิ่งใดแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นความงามของนางกับเจียงหลิวเยว่เป็นความงามที่แตกต่างกันคนละขั้วจึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าผู้ใดงดงามกว่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามเมื่อมายืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่เช่นนี้ ไม่ทราบเลยว่าเพราะเหตุใดสตรีผู้มีความมั่นใจอย่างนางถึงได้รู้สึกเหมือนถูกรัศมีรอบกายของรุ่นน้องตรงหน้ากดข่ม

บรรยากาศจากตัวของฉินอวี้โม่และกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากกายบอบบางทว่าดูทรงพลังนั้น เพ่ยหลงคิดว่าตนไม่อาจจะเปรียบเทียบได้

ฉินอวี้โม่ไม่ได้ปฏิเสธคำชื่นชมของสตรีรุ่นพี่ แต่กลับยิ้มรับอย่างนอบน้อม

ฉินอวี้โม่ยอมรับว่าตนเองพึงพอใจกับรูปลักษณ์ที่เป็นอยู่นี้มากเช่นกัน ต้องขอบคุณจากใจจริงแท้ที่ฉินเทียนกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้มอบรูปลักษณ์อันสมบูรณ์แบบให้คุณหนูสี่คนก่อนหน้า และรัศมีแห่งกายเทพมายานี้ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเน้นความเฉิดฉายของสตรีนามว่าฉินอวี้โม่

ส่วนบรรยากาศและกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้เป็นสิ่งที่ติดตัวอดีตนักฆ่าสาวมาจากชาติก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมไม่เหมือนกับสตรีคนใดในโลกมายานี้

เพราะ ‘เธอ’ คือนักฆ่าผู้เด็ดเดี่ยว มีนิสัยรักอิสระ และในช่วงเวลาที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง ‘เธอ’ ก็มีอายุยี่สิบห้าปีแล้ว ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนและอุปนิสัยในชีวิตก่อน เมื่อมาอยู่ในร่างกายนี้และโลกใบนี้มันจึงช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและน่าดึงดูดให้สตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่จนเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้

“อวี้โม่ขอให้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ดี”

เพ่ยหลงเปิดฉากการต่อสู้ นางไม่ได้เรียกเอาอสูรมายาออกมาประมือกับสตรีผู้ฝึกสัตว์ตรงหน้าแต่กลับเลือกใช้เพียงอาวุธและกำลังของตัวเอง แส้ยาวเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือก่อนจะสะบัดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด

ฉินอวี้โม่เองก็ไม่คิดรอช้า กระบี่อ่อนปีกจักจั่นปรากฏบนมือบางในฉับพลัน ก่อนจะตวัดมันเข้าปะทะกับแส้ของเพ่ยหลง

ทว่าสิ่งที่เรียกเสียงฮือฮาของฝูงชนได้มากที่สุดคือคู่ต่อสู้ทั้งสองไม่ใช้พลังมายาเลยแม้แต่น้อย ต่างฝ่ายต่างสู้กันโดยอาศัยเพียงกระบวนท่าและทักษะของร่างกาย

แน่นอนว่า เพียงเวลาไม่นานฉินอวี้โม่ก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ อดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 มีประสบการณ์การต่อสู้ที่มากกว่าและยังมีทักษะในการเคลื่อนที่ที่เหนือชั้นกว่าอีกฝ่ายมาก

การเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่รวดเร็วและการโจมตียังเฉียบขาดกว่าเพ่ยหลงอย่างเห็นได้ชัด

เพ่ยหลงจากเดิมที่เป็นฝ่ายเปิดฉากรุกไล่ต้องเปลี่ยนไปตั้งรับเสียแล้ว หลังจากผ่านไปไม่อีกกี่กระบวนท่านางก็ไม่สามารถหาทางโต้ตอบกลับมาเป็นฝ่ายบุกได้อีก

ในสายตาของผู้ชมโดยรอบ ยิ่งได้ดูการต่อสู้นี้ก็ยิ่งคล้ายได้ชมการร่ายรำของสองเทพธิดาจากแดนสรวง แม้จะไม่มีดนตรีขับกล่อม แม้จะไร้ซึ่งฉากหลังและแสงสีตระการตาแต่ทุกท่วงท่าลีลาการเคลื่อนไหวของพวกนางทั้งคู่ดูงดงามและสอดผสานกันอย่างลงตัว เวลานี้แทบไม่มีผู้ใดสนใจจิตสังหารและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของฉินอวี้โม่และเพ่ยหลงอีกแล้ว พวกเขาเสมือนถูกมนตร์สะกดให้ลุ่มหลงกับการเริงระบำตรงหน้า ทุกสายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

หลังจากผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า สตรีทั้งสองก็หยุดเคลื่อนไหว ทว่าเหล่าผู้ชมก็ยังคงตกตะลึงอยู่กับท่วงท่าการจู่โจมของทั้งคู่และไม่อาจเรียกสติกลับมาได้

“อวี้โม่ ข้าไม่ใช่คู่ต่อคู่ของเจ้า ข้าขอยอมแพ้”

เพ่ยหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม นางยอมรับความพ่ายแพ้โดยดุษฎี

การประมือกันเมื่อครู่ทำให้จอมยุทธ์สาวผู้ครองอันดับห้าในทำเนียบนภาทราบว่าตนในเวลานี้ยังไม่มีโอกาสเอาชนะในคนตรงหน้าได้ หลังจากประมือกันอยู่นานเพ่ยหลงก็เข้าใจในความห่างชั้นของตัวเองกับฉินอวี้โม่อย่างสมบูรณ์แล้ว

หากสู้กันด้วยกระบวนท่าโดยไม่ใช้พลังมายาหรือพึ่งพาอสูร เห็นชัดว่านางแทบไม่มีโอกาสจะชนะได้

แต่ถึงแม้จะใช้อสูรมายาและพลังมายาเข้าสนับสนุน เพ่ยหลงก็คิดว่าโอกาสที่นางจะคว้ามีชัยชนะมาครองได้คงจะเป็นศูนย์ เพราะอสูรมายาของนางไม่มีทางต่อกรกับกองทัพอสูรของฉินอวี้โม่ได้

กระบวนท่าและการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่เป็นรูปแบบที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ละท่าทางเชื่อมต่อสอดผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างรุ่นน้องผู้นี้ แม้จะใช้พลังมายา เพ่ยหลงก็คิดว่าตนในตอนนี้ยังไม่เห็นโอกาสชนะแม้แต่น้อย

ยิ่งกว่านั้นความเร็วของอีกฝ่ายก็สูงส่งอย่างน่าตกใจ ฉินอวี้โม่สามารถป้องกันการจู่โจมของนางได้จากทุกทิศทาง ความเร็วของคุณหนูตระกูลฉินสูงกว่าที่เคยคาดคิดเอาไว้มาก

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แม้แต่เพ่ยหลงสตรีที่ไม่ยอมแพ้ผู้ใดง่าย ๆ ก็ยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี

“ถ้ารุ่นพี่เพ่ยหลงใช้ไพ่ตายในมือทุกใบ บางทีข้าอาจจะไม่ชนะก็ได้”

ถึงแม้คู่ต่อสู้จะออกปากยอมปราชัย ทว่าฉินอวี้โม่กลับรู้ดีว่าเพ่ยหลงยังมีไพ่ตายบางอย่างเก็บซ่อนไว้ หากนางเปิดไพ่ทุกใบที่มีอยู่ บางทีฉินอวี้โม่อาจจะไม่ใช่ฝ่ายกำชัยชนะเหมือนเช่นตอนนี้

“ไม่จริงหรอก ข้ามีไพ่ตายก็จริง แต่เจ้าก็มีเหมือนกัน ถ้าใช้กันทั้งสองฝ่าย ข้าคิดว่าผลลัพธ์ก็คงจะไม่ต่างจากตอนนี้มากนัก”

เพ่ยหลงยิ้ม  นางรู้ดีว่าสตรีรุ่นน้องที่เป็นคู่ประลองก็ซ่อนไพ่ตายอยู่เช่นกัน

เพียงแค่พลังของมังกรทองห้าเล็บหานอวี้ผู้เป็นอสูรระดับสูงในตำนานก็เพียงพอจะกำราบอสูรของนางและเอาชนะนางได้ไม่ยากแล้ว ยิ่งกว่านั้นไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด แต่ในใจเพ่ยหลงเชื่อว่า ฉินอวี้โม่จะต้องมีไพ่ตายที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นอยู่ด้วย

“ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายชนะ !”

ในตอนที่เสียงขานผลการประลองดังขึ้นก็เป็นเวลาที่ผู้เข้าชมทั้งหมดได้สติรู้ตัว ทว่าสองจอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้าก็พากันเดินลงมาจากลานประลองเป็นที่เรียบร้อย

ราวกับเพิ่งจะได้เห็นฉากอันงดงาม ทุกคนที่เคยมีส่วนร่วมในงานประลองยุทธ์ครั้งที่ผ่านมาต่างก็คิดว่าศึกประชันยุทธ์ของโรงเรียนปีนี้งดงามยิ่งกว่ามาก

วันนี้ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก การประลองทั้งสี่รอบก็เสร็จสิ้นลง รายนามของผู้ผ่านเข้ารอบสี่คนสุดท้ายออกมาแล้ว และการจับสลากประกบคู่ก็เริ่มต้นขึ้นต่อจากนั้นทันที

ผลการจับสลากพบว่า ในรอบต่อไปฉินอวี้โม่จะต้องพบเจอกับหลี่จิ้ง ส่วนหลินซิวหยาได้ประมือกับเนี่ยหรูเฟิง

ฉินอวี้โม่คิดว่าในการแข่งขันวันพรุ่งนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากอีกรอบหนึ่งแน่นอน

แต่ทว่าในเช้าวันถัดมา ก่อนที่การประลองระหว่างนางกับหลี่จิ้งจะเริ่ม บุรุษผู้รักการผจญภัยและชื่นชอบการแสวงหาประสบการณ์นอกรั้วโรงเรียนกลับชิงประกาศยอมแพ้เสียก่อน

“รุ่นน้องอวี้โม่ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ครั้งนี้ข้าขอยอมแพ้”

ในใจอดีตนักฆ่าสาวเริ่มเกิดความคิดว่า หลี่จิ้งกำลังปกปิดบางอย่างเอาไว้ ในรอบที่ผ่าน ๆ มาเขาดูจะชนะได้อย่างง่ายดายไร้อุปสรรค ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่เมื่อครั้งศึกประชันยุทธ์เริ่มต้นขึ้นบุรุษผู้นี้ยังไม่เคยเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาเลย

ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนาง หลี่จิ้งกลับเลือกยอมแพ้โดยไม่ลังเล ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะเขาไม่ต้องการเผยความสามารถอันจริงแท้ของตนต่อหน้าผู้คน ในเรื่องนี้เองที่ทำให้ฉินอวี้โม่มั่นใจว่ารุ่นพี่ผู้นี้จะต้องกุมความลับบางอย่างที่คาดไม่ถึงเอาไว้

อย่างไรก็ตาม คุณหนูตระกูลฉินก็ไม่ได้กล้าละลาบละล้วงเหตุผลของรุ่นพี่ผู้ลึกลับ แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะเคยร่วมต่อสู้อยู่กลุ่มเดียวกันกับเขาแต่ก็แทบไม่ได้พูดคุยกันเลย กระนั้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางก็รู้จักคนผู้นี้ในระดับหนึ่ง หากเขาต้องการบอกนางก็จะได้รู้ แต่ถ้าเขาไม่อยากให้รู้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์

เมื่อได้ยินว่าหลี่จิ้งประกาศขอยอมแพ้ นักเรียนจำนวนต่างพากันเสียดายที่ไม่ได้ชมการต่อสู้ที่รอคอย แต่หลายคนก็ยังแสดงความยินดีกับฉินอวี้โม่ที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

เวลานี้ ในความคิดของนักเรียนบางคน ฉินอวี้โม่ได้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนราชสำนักไปแล้ว นักเรียนจำนวนหนึ่งยังแอบคิดด้วยว่า ไม่ว่าสุดท้ายแล้วคู่ต่อสู้ของนางจะเป็นหลินซิวหยาหรือเนี่ยหรูเฟิง คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็คงจะคว้ารางวัลชนะเลิศได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนส่วนมากคาดเดาว่าในรอบชิงชนะเลิศนั้นจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างหลินซิวหยากับฉินอวี้โม่ เพราะพวกเขาคาดหวังจะได้รับชมการต่อสู้อันน่าตื่นเต้น

ไม่เพียงแต่ผู้ที่รู้จักฉินอวี้โม่และหลิวซิวหยา แต่ทุกคนในโรงเรียนล้วนทราบดีว่าทั้งคู่จะต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมด และมันคงจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่งกว่ารอบใด ๆ อย่างแน่นอน

ยิ่งก่อนหน้านี้ทั้งสตรีตระกูลฉินและบุรุษผู้เชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิดได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะไม่ใช้อสูรมายาในการประมือกัน

หากไม่มีการพึ่งพาอสูรมายาทั้งสองฝ่าย ทักษะในการต่อสู้ของหลินซิวหยาก็ไม่ได้เป็นรองฉินอวี้โม่ ที่สำคัญเขามีพละกำลังที่เหนือกว่าและประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งที่ลึกลับจนผิดมนุษย์ของฉินอวี้โม่หลายคนก็ยังคาดหวังว่านางจะคว้าชัยชนะได้อยู่ดี

ในตอนนั้นเองที่เหล่าผู้เข้าชมทั้งหลายหันไปจดจ่ออยู่กับลานประลองเพราะศึกประชันยุทธ์ระหว่างหลินซิวหยาและเนี่ยหรูเฟิงกำลังเริ่มต้นขึ้น

และหลินซิวหยาก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เขาสามารถเอาชนะเนี่ยหรูเฟิงและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในเวลาอันสั้น

สุดท้ายก็ไม่ผิดไปจากที่หลายคนคาดหมาย การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันพรุ่งนี้จะเป็นศึกประชันยุทธ์ระหว่างยอดฝีมือผู้คลั่งไคล้การต่อสู้–หลินซิวหยาและนักเรียนดาวรุ่งหน้าใหม่ผู้เต็มไปด้วยปริศนา–ฉินอวี้โม่

ศึกในรอบชิงชนะเลิศวันพรุ่งนี้ คนจำนวนมากเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมา !

Options

not work with dark mode
Reset