หลังจากก้าวเข้าสู่เขตของบึงสายหมอก ฉินอวี้โม่ก็เดินตามหลังหลินจิ้งหงและหานโม่ฉืออย่างระมัดระวัง นางไม่กล้าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว
ถึงแม้ในเวลานี้ กายเทพมายาจะถูกปลุกขึ้นมาแล้ว และตัวฉินอวี้โม่เองก็สามารถฝึกพลังมายาได้แล้วก็ตาม ทว่าระดับความแข็งแกร่งของนางก็ยังนับว่าด้อยกว่าหลินจิ้งหงอยู่มาก
แม้ว่าบึงสายหมอกจะเป็นแหล่งรวมของอสูรมายาระดับต่ำจำนวนมาก แต่ที่นี่ก็ยังมีอสูรมายาระดับสูงอาศัยอยู่อย่างนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน การเข้ามายังที่แห่งนี้สำหรับฉินอวี้โม่จึงต้องตื่นตัวเสมอและคอยระมัดระวังในทุกฝีก้าว
หากลองเปรียบเทียบแล้ว ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของฉินอวี้โม่น่าจะเพียงพอสำหรับการรับมือกับอสูรมายาระดับภูตสามดาราได้ แต่ถ้าหากต้องพบเจออสูรมายาที่แข็งแกร่งกว่านั้น สตรีผู้มีกายเทพมายาก็ยังต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกหวั่นเกรงมากที่สุดในบึงสายหมอกก็คือเหล่าบึงประกอบต่างๆ เพราะนางไม่เข้าใจเกี่ยวกับพลังและความน่ากลัวของบึงเหล่านี้ สิ่งที่ตำนานย้ำเตือนคือจงระวังจะพลาดพลั้งตกลงไปในบึง แต่ทว่ากลับไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้พลัดตกลงไปในบึงไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ จริงอยู่ว่าที่นี่มีหมอกปกคลุมหนาแน่นการจะเหยียบพลาด พลัดตกลงน้ำเพราะมองไม่เห็นย่อมเป็นไปได้ แต่การขึ้นจากบึงไม่ได้จะต้องมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ ดังนั้นพึงระวังไว้ก่อนย่อมดีที่สุด
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ระดับความเร็วในการเคลื่อนที่ของคนทั้งสามในตอนนี้ก็ไม่ได้ช้าลงจากก่อนหน้านี้เลย
ระหว่างทางกลุ่มของพวกเขาได้พบกับอสูรมายาระดับต่ำอยู่บ้าง แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ เพราะทันทีที่หลินจิ้งหงหรือหานโม่ฉือรับรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้าพวกนั้น พวกเขาก็จะซัดคลื่นพลังมายาของตนออกไปโดยไม่ต้องมอง เพียงคลื่นพลังมายาลูกเล็กๆ ของพวกเขาก็สามารถปลิดชีวิตพวกมันได้แล้ว
หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงไม่สนใจแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาระดับต่ำพวกนี้ ฉินอวี้โม่จึงเป็นผู้ลงมือคว้านเอาทั้งแก่นมายาและแกนชีวิตของเหล่าอสูรมายาออกมาทีละอันอย่างขะมักเขม้น ก่อนจะบรรจงเก็บของเหล่านั้นไว้ภายในแหวนมิติซึ่งนางเก็บเกี่ยวมาจากเหล่าสุนัขหมู่ที่ได้จัดการไปเมื่อวาน แหวนมิตินั้นเป็นอุปกรณ์ห้วงมิติสำหรับเก็บสมบัติและสิ่งของ ภายในแหวนมิติจะมีพื้นที่ของอีกมิติหนึ่งที่กว้างขวางจนสามารถเก็บของขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมากเอาไว้ได้ สาวนักฆ่าผู้กำลังจะผันตัวมาเป็นแม่ค้าจะได้นำพวกมันไปขายได้หลังจากนี้ และตอนนี้ภายในแหวนของนางก็มีแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาอยู่หลายสิบชิ้นแล้ว
“ฉินอวี้โม่ เจ้ากำลังร้อนเงินหรือ?”
เมื่อเห็นสิ่งที่อดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ของเมืองกำลังทำ บวกกับข่าวลือที่ว่าฉินอวี้โม่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลฉิน หลินจิ้งหงจึงเปิดปากถามด้วยความอยากรู้(อยากเห็น)
“ใช่ ข้ากำลังต้องการเงินมาก เจ้าอยากจะช่วยจ่ายค่าแรงให้ข้าเพิ่มอีกสักหน่อยไหมล่ะ? หรือถ้าเจ้ายินดีจะช่วยบริจาคสงเคราะห์สตรีตัวเล็กๆ อย่างข้าก็ได้นะ และน้อยจะมากตามกำลังศรัทธา แค่ไม่กี่ร้อยเหรียญเงินข้าก็ไม่รังเกียจเลยสักนิด”
ฉินอวี้โม่พูดขำๆ ก่อนจะยิ้มแฉ่งให้คู่สนทนา
หลินจิ้งหงหมดคำพูด…ฉินอวี้โม่ผู้นี้มีใบหน้าที่หนาไม่น้อยเลย
“ระวังตัว!”
ทันทีที่พวกเขาสามคนเข้ามาถึงยังพื้นที่บริเวณหนึ่ง หานโม่ฉือที่เดินนำหน้าก็เอ่ยปากเตือนขึ้นมา ณ บริเวณนั้นเป็นที่ราบเปิดโล่งและกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง
“ดูเหมือนว่าจะมีอสูรมายาจำนวนมากกำลังมุ่งตรงมาทางพวกเรา”
หลินจิ้งหงเองก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นจึงกล่าวเตือนฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ตอนนี้ระดับพลังของนางยังต่ำเกินไปทำให้ไม่สามารถรับรู้ถึงเสียงหรือสัมผัสถึงกลิ่นอายของพวกมันได้ อีกทั้งเพราะหมอกที่ลงจัดทำให้นางไม่อาจมองเห็นเลยว่าในเวลานี้มีสิ่งอยู่ตรงหน้าในระยะไม่เกินยี่สิบจั้ง*
(* 1 จั้งมีความยาวประมาณ 1 ฟุต )
เมื่อหาจุดตั้งรับที่เหมาะสมได้แล้ว หลินจิ้งหงและหานโม่ฉือก็แสร้งตั้งท่าเตรียมพร้อม คนทั้งสองกำลังแกล้งทำให้ดูคล้ายตั้งใจปกป้องฉินอวี้โม่ที่อยู่ด้านหลัง
ภายในเวลาไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงคำรามดังลั่นอย่างชัดเจน เสียงนั้นก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดภาพของเหล่าอสูรมายากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสาม
ราวกับว่าฝูงอสูรมายาวิ่งเข้าหากลุ่มของพวกเขาอย่างจงใจ! เพราะเมื่อเห็นพวกเขาสามคน พวกมันก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะพุ่งเข้าใส่ในทันทีโดยไม่ยั้งคิด
จำนวนอสูรมายาฝูงนี้มีอยู่ราวๆ หนึ่งร้อยตัว ซึ่งก็จัดว่าฝูงของพวกมันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก
อย่างไรก็ตาม พวกมันเป็นเพียงอสูรมายาระดับต่ำซึ่งไม่จัดเป็นภัยคุกคามให้แก่กลุ่มของพวกเขามากเท่าใดนัก
“โฮกกกก!”
ทว่าฝูงอสูรมายาระดับต่ำกลับฝ่า ‘แนวป้องกัน’ ของหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือมาได้ พวกมันพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ด้วยความเร็วสูง!
เมื่อหานโม่ฉือและหลินจิ้งหงหันไปมอง ก็พบว่าสตรีงามผู้เคยสังหารหมู่บุรุษร่างกำยำหลายคนด้วยมือเปล่ากำลังพุ่งเข้าใส่ฝูงอสูรมายามาอย่างรวดเร็ว ในมือข้างหนึ่งของนางถือกริชสีเงินเล่มหนึ่งไว้!
— ฉึก! —
เสียงเนื้อถูกเฉือนดังขึ้น กริชในมือฉินอวี้โม่เชือดเข้าที่คอของอสูรมายาที่พุ่งตรงเข้าใส่นางด้วยความเร็วสูง อสูรมายาตัวนั้นล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างนิ่มนวล
ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวไม่หยุดยั้ง การขยับร่างกายของนางพลิ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติและสวยงามราวเทพธิดาเริงระบำ นางพุ่งตรงเข้าไปรับมือกับสัตว์มายาระดับต่ำร่วมกับหานโม่ฉือ การตวัดคมมีดของหญิงสาวรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด!
“เป็นท่วงท่าที่งดงามยิ่งนัก!” เมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่ในชุดกระโปรงยาวพลิ้วไหวกำลังต่อสู้กับฝูงอสูรมายาด้วยท่วงท่าสง่างาม หลินจิ้งหงก็อดอุทานออกมาไม่ได้
ฉินอวี้โม่กำลังใช้วิชาการต่อสู้ของยุคโบราณผสมผสานกับทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่ได้เรียนรู้มาในชีวิตก่อนทำการสังหารเหล่าอสูรมายาอย่างดุเดือด
ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดการเคลื่อนไหวของหญิงสาวผู้เป็นอดีตนักฆ่าถึงได้รวดเร็วไม่ต่างจากสายฟ้า นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อครั้งอยู่ในศตวรรษที่ 21 เธอเคยฝึกวิชาโบราณที่มีชื่อว่า — อสนีบาต
ว่ากันว่า ถ้าหากฝึกฝนวิชาอสนีบาตจนบรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ผู้ฝึกจะสามารถเหาะเหินไปบนนภาหรือเดินทางอยู่กลางเวหาได้เลย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตัวฉินอวี้โม่ในชาติภพก่อนจะมีพรสวรรค์สูงล้ำและร่างกายแข็งแรงโดดเด่น แต่ทว่าเพราะพลังมายาที่มีอยู่ในธรรมชาติของโลกและยุคที่เธอจากมานั้นแสนเบาบาง ทำให้คนที่นั่นยากที่จะฝึกฝนวิชาต่างๆ จนบรรลุถึงระดับสูงได้ ด้วยเหตุนั้นเอง โลกของมือสังหารสาวในศตวรรษที่ 21 จึงไม่มีคนที่เหาะเหินเดินอากาศได้ให้พบเห็น
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อสูรมายากว่าสามในสี่ก็ล้มตายภายใต้คมกริชของฉินอวี้โม่
หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงเองก็ลงมือสังหารพวกมันไปบ้างส่วนหนึ่ง แต่ยังถือว่าน้อยกว่าสตรีคนเดียวในกลุ่ม
และในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้าใส่ มีบางอย่างกำลังจ้องมองนางจากจุดจุดหนึ่งในกลุ่มหมอกหนา
อดีตนักฆ่าสาวก้าวถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณอย่างไม่รีรอ
ทันใดนั้น สายลมวูบหนึ่งก็พัดผ่านกายของหลินจิ้งหงกับหานโม่ฉือ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งจะปรากฏขึ้น ณ จุดที่นางเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้
มันคืออสูรมายา! ทั้งกลิ่นอายของพลังและรูปลักษณ์ของมันดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง!