หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา
ในเจ็ดวันที่ผ่านมา บรรยากาศภายในนครไป๋อวิ๋นเต็มไปด้วยความอ้างว้างวังเวงราวป่าช้า
ตระกูลฉินและตระกูลอื่น ๆ ต่างก็เก็บตัวเงียบเพื่อเตรียมรับมือกับการโจมตีของอาราม ขณะเดียวกัน พวกเขาก็พยายามรวบรวมข่าวสารให้ได้มากที่สุด
เวลานี้เรื่องที่อารามกำลังจะบุกจู่โจมนครไป๋อวิ๋นเป็นที่ทราบดีของผู้คนทั่วทั้งเมืองแล้ว ซึ่งปฏิกิริยาของแต่ละคน แต่ละขุมกำลังก็ล้วนแตกต่างกันออกไป
ชาวไป๋อวิ๋นส่วนมากไม่เกรงกลัวอาราม เพราะอย่างไรนคราแห่งนี้ก็ยิ่งใหญ่และเรืองรอง มากด้วยยอดฝีมือผู้กล้า ที่สำคัญที่นี่คือแผ่นดินมารดา ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา หากอารามต้องการจะกระทำการหมิ่นเกียรติไป๋อวิ๋นเพียงนั้น พวกเขาก็จะให้ขุมกำลังหน้าด้านนั่นได้เจอกับศึกหนักที่ยากจะลืมเลือน
ทว่าก็มีบางคนที่หวาดกลัวและหลบออกไปจากเมืองไป๋อวิ๋นทันทีที่รู้ข่าวว่าข้าศึกกำลังจะบุกเมือง พวกเขาต้องการจะหลบเร้นไปจากเมืองเป็นการชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามที่จะนำพาความเดือดร้อนวุ่นวายมาให้
เมื่อเห็นคนจำนวนหนึ่งหนีเอาตัวรอด แน่นอนว่าย่อมทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีและบั่นทอนขวัญกำลังใจบางส่วนของชาวเมืองที่เหลือ ทว่าพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามปราม คนไม่มีใจต่อให้รั้งอย่างไรก็มีแต่ส่งผลร้าย ผู้คนที่ยังอยู่จึงหมายใจว่าจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันให้เหนียวแน่นกลมเกลียวที่สุด พวกเขาทั้งหมดตั้งใจว่าจะปกปักรักษาเมืองนี้เอาไว้จนตัวตาย
ด้วยเพราะไม่ทราบเลยว่าบัดนี้ความแข็งแกร่งของอารามอยู่ในระดับใด ทำให้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายในนครไป๋อวิ๋นต่างก็ไม่กล้าประมาท ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ทุกตระกูลและทุกขุมกำลังเตรียมความพร้อมไว้ในระดับสูงสุดสำหรับรับมือการต่อสู้ทุกรูปแบบ
กระทั่งช่วงเช้าของวันที่แปด ประชาชนทุกคนก็หลั่งไหลมารวมตัวกันอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าหลักของเมือง
สีหน้าแววตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความแน่วแน่ไม่หวั่นเกรง ในใจของพวกเขาไม่มีความกลัวข้าศึกที่จะบุกมาแม้แต่น้อย พวกเขาพร้อมต่อสู้กับอารามเต็มที่ และขอสู้จนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ
ฝั่งตระกูลฉิน ฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงยืนขนาบข้างผู้เฒ่าฉินเฟินผู้นำตระกูล ขณะนี้แววตาของคุณชายรองและคุณหนูสามเจือความกังวลหลายส่วน
เพราะพวกเขารู้ดีว่าในตอนนี้ฉินอวี้โม่ยังไม่กลับออกมาจากดินแดนต้องห้าม ทั้งสองไม่ทราบชะตากรรมของผู้เป็นน้องสาวจึงอดนึกหวาดหวั่นใจไม่ได้
ทว่าทางด้านผู้เฒ่าฉินเฟินกลับไม่กังวลแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมองว่านั่นเป็นเรื่องดี ทุกคนต่างก็ทราบว่าศึกนี้อารามเพ่งเล็งคุณหนูสี่ตระกูลฉินมากเป็นพิเศษ คนเหล่านั้นจะต้องไม่ปล่อยฉินอวี้โม่ไว้เป็นแน่ ที่สำคัญการโจมตีของพวกเขาก็คงจะป่าเถื่อนไร้ปรานี การที่คุณหนูสี่หลบอยู่ในดินแดนต้องห้ามจะทำให้นางรอดพ้นจากอันตรายอันใหญ่หลวงนี้ไปได้ ครั้งนี้ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นนางก็จะอยู่รอดปลอดภัย อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตระกูลฉิน
ส่วนสหายคนอื่น ๆ ที่รู้ข่าวว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ออกมาจากดินแดนต้องห้ามก็สงบคำไม่กล่าวสิ่งใด พวกเขารู้จักสหายสาวผู้เก่งกาจผู้นี้ดี ยิ่งไปกว่านั้นลึก ๆ ในใจยังแอบหวังว่านางจะปรากฏตัวออกมาช่วยทุกคนจากวิกฤตการณ์อันตรายครั้งนี้เหมือนเช่นคราวที่ผ่านมาได้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่คิดเลยว่าชาวนครไป๋อวิ๋นจะเป็นคนตรงต่อเวลาถึงขนาดที่แห่กันมารอต้อนรับพวกเราที่หน้าประตูกันตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้”
เสียงหวานของสตรีเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่ว ในตอนนั้นเองที่ผู้อาวุโสใหญ่ของอารามปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้คนในเมืองไป๋อวิ๋นที่ออกมาตั้งทัพรับมือศัตรู
ด้านหลังของสตรีผู้มาจากขุมกำลังฝ่ายตรงข้ามมีผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง ทว่าผู้ที่สะดุดตาที่สุดก็คือบุรุษหนุ่มรูปงามท่าทางมีไมตรีที่ยืนอยู่ข้างกายนาง เขาก็คือลั่วเฉิน อดีตนักเรียนผู้เก่งกาจแห่งโรงเรียนราชสำนัก
“รุ่นพี่ลั่วเฉิน พวกเราได้พบกันอีกแล้วสินะ หรือข้าต้องเรียกท่านว่าโอรสสวรรค์แห่งอาราม ?”
เมื่อเห็นลั่วเฉิน เยว่ชิงเฉิงก็เอ่ยคำทักทายเสียงสุภาพ อย่างไรก็ตาม แววตาของนางกลับห่างไกลกับคำว่าสุภาพยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นรุ่นน้องเยว่ชิงเฉิงนั่นเอง”
ลั่วเฉินส่งยิ้มสดใสให้สตรีที่เขารู้จัก แม้จะอยู่ในช่วงที่กำลังจะเริ่มสงคราม ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคงดูมีชีวิตชีวาและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งราวกับว่ากำลังพูดคุยกับสหายตามปกติ
“โอ้…! แล้วนี่รุ่นน้องอวี้โม่ยังไม่ออกมาจากดินแดนต้องห้ามอีกอย่างนั้นรึ ?”
เมื่อไม่เห็นฉินอวี้โม่ ลั่วเฉินก็อดไถ่ถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้
เยว่ชิงเฉิงไม่ได้ปฏิเสธ นางเลือกที่จะเงียบและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาดังเดิม
ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่สหายร่วมโรงเรียนกันอีกแล้ว หากแต่เป็นศัตรูอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ
“ฮ่า ๆ ๆ เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมารวมตัวกันที่นี่แล้วก็อย่าเสียเวลาเจรจามากความอยู่อีกเลย”
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามหัวเราะ นางหยุดยั้งทุกสรรพเสียงด้วยหนึ่งประโยคอันดังกังวาน ก่อนน้ำเสียงหวานนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเคารพยำเกรง “น้อมรับท่านจ้าวอาราม”
ศิษย์ของอารามทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นทำการคารวะบุคคลผู้หนึ่งโดยพร้อมเพรียง ทันใดนั้นแรงกดดันที่รุนแรงจนเกินต้านก็ปะทุขึ้นในอากาศ ณ จุดศูนย์กลางแห่งแรงกดดันที่เกิดขึ้นนั้นค่อย ๆ ปรากฏเป็นร่างของคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นสวมชุดสีขาวธรรมดา รูปร่างลักษณะไม่โดดเด่น ดูแล้วไม่ต่างจากบุรุษวัยกลางคนทั่วไป หากจะมีส่วนสะดุดตาอยู่บ้างก็คงเป็นใบหน้า ทว่าก็ไม่ได้หล่อเหลาชวนมอง มันเป็นใบหน้าธรรมดาที่ดูออกจะแปลกอยู่เล็กน้อย แต่แปลกอย่างไรกลับไม่อาจบรรยาย มีเพียงแววตาที่กล่าวได้ว่านุ่มลึก และไม่ว่าจะมองอย่างไร ด้วยรูปกายภายนอกเช่นนี้ ไม่ช่วยให้ทราบหรือคาดเดาได้เลยว่าเขาเป็นคนเช่นไร
ขณะนี้ผู้ปกครองสูงสุดแห่งขุมกำลังลึกลับทรงอำนาจกำลังปรากฏกายอยู่ต่อหน้าสาธารณชน ใบหน้าธรรมดาของเขาสงบเรียบนิ่งยากยิ่งนักที่จะล่วงรู้ว่าบุรุษผู้นี้คิดเห็นสิ่งใดอยู่
“เป็นเกียรติที่ได้พบ จ้าวอาราม !”
เมื่อได้เห็นผู้นำฝ่ายศัตรูปรากฏตัวขึ้น จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยทักทาย
แม้ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินจะรู้จักเขาในคำเรียกขานว่าจ้าวอาราม แต่คนผู้นี้มีนามแท้จริงว่า— ‘หลิงซาน’
กล่าวได้เลยว่า หลิงซานผู้นี้เหมาะสมแล้วกับตำแหน่งจ้าวอาราม หาใช่ที่รูปร่างหน้าตาหากแต่เพราะความแข็งแกร่งของเขาที่ยากจะหยั่งถึงได้ แม้แต่องค์จักรพรรดิแห่งแผ่นดินไป๋อวิ๋นก็ยังถูกแรงกดดันของอีกฝ่ายบีบเค้นจนทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นเกียรติเช่นกันที่ได้พบจักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋น ฉีเยวี่ยนเวย”
หลิงซานมองจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากเทียบกับจักรพรรดิองค์ก่อนแล้ว ความแข็งแกร่งของฝ่าบาทนับว่าด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่งนะ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของผู้ปกครองบัลลังก์เมฆขาวคนปัจจุบัน* หลิงซานก็อดกล่าววาจาเย้ยหยันไม่ได้
(*ไป๋อวิ๋น = เมฆสีขาว ; ทีมแปลจึงตั้งใจใช้คำว่า ‘บัลลังก์เมฆขาว’ แทนราชบัลลังก์ของแผ่นดินนี้)
“ฮ่า ๆ ๆ ความแข็งแกร่งของท่านจ้าวอารามเองก็เทียบกับบิดาของข้าไม่ได้เช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยกลับไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังหัวเราะลั่นพลางกล่าววาจาโต้กลับไป
บิดาของเขาหรือก็คือจักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นพระองค์ก่อน ทรงพระนามว่า ‘ฉีไป่ซื่อ’ จักรพรรดิพระองค์นี้เคยเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมืออัจฉริยะแห่งแผ่นดินหวนหลิง ฝีมือของเขาเหนือชั้นยิ่งกว่าทั้งจ้าวอารามและประมุขผู้ครองวิหารแห่งความมืด จะด้อยกว่าก็แต่เพียงจ้าวครองนครเมฆาผู้ซึ่งเป็นบิดาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเท่านั้น หากจักรพรรดิฉีไป่ซื่อไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นก็คงมิอาจสถาปนาจักรวรรดิอันเรืองรองถึงเพียงนี้ขึ้นมาได้
“แล้วอย่างไร ? ฉีไป่ซื่อหายสาบสูญไปนานหลายปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด ถึงเขาจะแข็งแกร่งแต่ก็มาช่วยอะไรพวกท่านไม่ได้”
หลิงซานกล่าวโต้ด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ในน้ำเสียงเพิ่มพูนความหยามเหยียดขึ้นอีกหลายส่วน
ถ้าหากว่าบุรุษผู้ยิ่งใหญ่นามฉีไป่ซื่อยังมีตัวตนอยู่ที่นี่ อารามของพวกเขาก็คงต้องหวั่นเกรงจักรวรรดิไป๋อวิ๋นมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม คนผู้นั้นหายสาบสูญไปหลายสิบปีแล้ว ฉะนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอีก
ในตอนนี้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในนครไป๋อวิ๋นเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตทูตสวรรค์เท่านั้น สำหรับหลิงซานแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขา หากต้องรับมือกับทูตสวรรค์พร้อมกันหลายคนก็คิดว่ายังไม่มีปัญหา
คำดูแคลนของหลิงซาน ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“ไม่ว่าพระบิดาของข้าจะหายตัวไปหรือไม่ แต่อย่างไรวันนี้ข้าและชาวไป๋อวิ๋นทุกคนก็จะไม่ยอมให้อารามรุกรานแผ่นดินของเราได้ ท่านจะไม่มีวันสมหวังอย่างแน่นอน”
ต้องกล่าวเลยว่าความแข็งแกร่งของหลิงซานนั้นเหนือชั้นกว่าทุกผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ หากไม่มีผู้ที่สามารถหยุดยั้งเขาได้ นครไป๋อวิ๋นก็แทบไม่เหลือหนทางรอดพ้น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าชักอยากจะรู้เต็มทีแล้วสิว่า ฝ่าบาทและพวกพ้องจะเอาอะไรมาสู้กับอารามของเรา”
หลิงซานยิ้ม เขารู้ว่าฝ่ายเขามีกำลังเหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเขาเองที่มีฝีมือเหนือชั้นกว่าผู้คนทั้งหมดที่นี่
“แต่ก่อนจะเริ่มสงคราม ข้ามีเรื่องต้องสะสาง ก่อนหน้านี้สตรีตระกูลฉินนามฉินอวี้โม่กระทำต่ำช้า สังหารคนของอารามไปมาก เป็นผู้ใดจงแสดงตัว ก้าวออกมาแล้วคุกเข่าขออภัยต่อหน้าพี่น้องของเราซะ !”
หลิงซานจ้องมองไปยังจุดที่สมาชิกตระกูลฉินยืนอยู่ ทว่าเมื่อไม่เห็นผู้ใดที่มีรูปลักษณ์ตรงกับฉินอวี้โม่ที่เขาเคยเห็นจากในรูปเหมือนที่ให้คนวาดออกมา ผู้นำแห่งอารามก็เผยรอยยิ้มเย้ยและคิดไปว่าเด็กน้อยน่ารังเกียจผู้นั้นคงจะหลบหลีกซ่อนเร้นเป็นเต่าหดหัวไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเขา
“เหอะ น่าขำ ถ้าไม่ใช่เพราะคนของอารามมารังแกนางก่อน มีหรือพวกเขาจะต้องมาตายด้วยมืออวี้โม่ ถ้าจะให้ข้าพูด ฝ่ายอารามของเจ้าควรจะเป็นฝ่ายขอโทษนางเสียมากกว่า !”
โอวหยางชิงเฟิงสาดถ้อยคำเผ็ดร้อนตอบโต้อีกฝ่ายอย่างเหลืออด น้ำเสียงของเขามิอาจปกปิดความเกลียดชังที่มีต่ออารามได้เลย
“หุบปาก เจ้าเด็กสามหาว ข้าไม่ได้ถามเจ้า !”
เมื่อได้ยินวาจาเสียดแทงของโอวหยางชิงเฟิง สีหน้าของจ้าวอารามก็เปลี่ยนไปทันที พริบตาต่อมาก้อนพลังมายาอันรุนแรงก็พุ่งเข้าใส่คุณชายรองตระกูลโอวหยาง
“จ้าวอารามอย่ากดดันพวกเราให้มันมากเกินไป”
ฝ่ามือของโอวหยางเจวี๋ยขยับอย่างรวดเร็วโดยรุดเข้าไปปัดป้องก้อนพลังที่พุ่งเข้าใส่บุรุษหนุ่มข้างกาย คิดจะทำร้ายบุตรชายของเขาต่อหน้าบิดาผู้นี้อย่างนั้นหรือ อย่าฝันไปหน่อยเลย
“ฮ่า ๆ ผู้ที่ด้อยกว่าข้า ไม่คู่ควรอยู่ในหางตาข้าด้วยซ้ำ !”
หลิงซานยิ้มเยาะ พลันวาดฝ่ามือไปด้านหน้า ในพริบตานั้นเองกระแสลมอันรุนแรงก็พัดเข้าปะทะร่างโอวหยางเจวี๋ย
โอวหยางเจวี๋ยขมวดคิ้ว ผู้นำตระกูลโอวหยางรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อป้องกันร่างกาย ทว่าตัวของเขาก็ยังถูกผลักให้ถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะหยุดลงได้
“หึ ถึงพวกเจ้าจะมียอดฝีมือขอบเขตทูตสวรรค์อยู่หลายคน แต่ส่วนมากก็เพิ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นทูตสวรรค์ได้ไม่นาน คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นแค่ราชาทูตสวรรค์ แถมยังมีอยู่คนเดียว แต่ละขอบเขตของทูตสวรรค์ระดับพลังจะห่างชั้นกันราวกับฟ้ากับดิน พลังน้อยนิดของพวกเจ้าเพียงเท่านั้นไม่มีทางหยุดยั้งข้าได้หรอก”
หลิงซานยังคงยิ้มเย้ย เป็นจริงดั่งคำที่จ้าวอารามกล่าว ตั้งแต่ระดับทูตสวรรค์ขึ้นไป ในแต่ละขอบเขตระดับพลังจะต่างกันมหาศาล ระดับพลังในตอนนี้ของหลิงซานคือจักรพรรดิทูตสวรรค์ ต่อให้ยอดฝีมือทูตสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้ารวมทั้งราชาทูตสวรรค์ร่วมมือกันต่อกรกับเขา จ้าวอารามก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“หลิงซาน ท่านต้องการอะไรกันแน่ ?”
จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเอ่ยถาม ในตอนนี้สภาวะพลังของเขาเริ่มปะทุขึ้นมาบ้างแล้ว
แม้ว่าหลิงซานจะแข็งแกร่งกว่าเขา ทว่าขอบเขตพลังก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าพลังจะด้อยกว่าแต่ถ้าหากต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณแห่งนักรบ ปาฏิหาริย์ย่อมบังเกิด
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าแค่จะแสดงให้คนทั้งโลกนี้ได้เห็นชะตากรรมอันน่าสมเพชของผู้ที่ขวัญกล้ามาหยามอาราม ข้าจะทำให้ได้รู้กันว่าอารามของเรายิ่งใหญ่เพียงใด !”
หลิงซานประกาศกร้าวเสียงดังก้อง
ทว่าจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและผู้นำตระกูลน้อยใหญ่แห่งไป๋อวิ๋นกลับไม่เชื่อถือเหตุผลที่อีกฝ่ายยกขึ้นมากล่าวอ้าง
“ท่านคิดว่าพวกเราเป็นเด็กสามขวบอย่างนั้นรึ หากว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้จริง เหตุใดต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ด้วยเล่า ?”
ฉินเฟินกล่าว เขาเองก็ยังไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของหลิงซาน แต่ก็คิดว่าคนผู้นี้คงจะไม่ได้มีเจตนาดีเป็นแน่
“หลิงซาน ท่านกล้ายกทัพมาบุกโจมตีนครไป๋อวิ๋นอย่างออกหน้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าวิหารแห่งความมืดกับนครเมฆาจะเข้ามาแทรกแซงเลยอย่างนั้นรึ ?”
ผู้เฒ่าเยว่เหยากล่าวถามด้วยใบหน้าสงสัย
เป็นที่ทราบดีว่าวิหารแห่งความมืดนั้นคือศัตรูตัวฉกาจของอาราม น่าแปลกที่จ้าวอารามกล้าตัดสินใจประกาศศึกสงครามกับผู้อื่นโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกขุมกำลังคู่อาฆาตตลบหลัง ใช้ช่วงเวลาที่อารามอ่อนแอบุกเข้าจู่โจม
“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้พวกมันคงจะยุ่งจนไม่มีเวลาห่วงผู้ใดได้แน่”
หลิงซานยิ้ม สีหน้าแววตาของเขาดูมั่นใจอย่างมาก
เมื่อได้ยินวาจาของจ้าวอาราม ฉินเฟินและคนอื่น ๆ ต่างก็นิ่วหน้า
การที่หลิงซานกล่าวเช่นนี้ย่อมแสดงว่าทางวิหารแห่งความมืดคงจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างและไม่แน่ว่าอาจจะรวมถึงนครเมฆาด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีวิธีจะติดต่อกับขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ถึงแม้จะทราบว่าน่าจะเกิดเรื่องไม่สู้ดี แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีทางทราบด้วยว่าเรื่องที่ว่านั้นคืออะไร
“เอาะล่ะ เลิกพูดจาเฉไฉไร้สาระให้ข้าต้องเสียเวลาได้แล้ว ถ้าพวกเจ้าคนไหนคิดว่าพร้อมก็เชิญดาหน้าเข้ามารับความตายได้เลย”
หลิงซานเผยรอยยิ้มยโสโอหังก่อนจะกล่าวต่อ “แน่นอนว่าพวกเจ้าจะเข้ามาพร้อมกันเลยก็ได้ ข้าไม่ว่า”
“โอหังเกินไปแล้ว !”
เมื่อได้ยินวาจานั้น เหล่ยเจิ้นก็หมดความอดทนในที่สุด ร่างของเขาหายวับไปพลันพุ่งเข้าใส่ผู้นำของฝ่ายศัตรู
“จองหองจริง ๆ”
เมื่อเห็นการโจมตีของเหล่ยเจิ้น หลิงซานก็กลอกตาพร้อมกับเผยรอยยิ้มบาง จ้าวอารามไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เพียงยกฝ่ามือขึ้นมารับการจู่โจมของผู้นำตระกูลเหล่ยด้วยท่าทีสงบเท่านั้น
— ปัง ! —
การโจมตีของเหล่ยเจิ้นถูกป้องกันไว้อย่างง่ายดาย บุรุษตระกูลเหล่ยหมุนตัวกลางอากาศก่อนจะทรุดกลับมายืนบนพื้นดิน ใบหน้าคมเข้มตกตะลึงเห็นได้ชัด
เขาไม่คิดว่าพลังของตนเองกับจ้าวอารามจะห่างชั้นกันถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ เขาทุ่มพลังเต็มที่เพื่อจู่โจม ทว่าฝ่ายตรงข้ามกับป้องกันมันอย่างสบาย ๆ ราวกับไม่ได้ออกแรงเลยด้วยซ้ำ
เหล่ยเจิ้นก็เป็นจอมยุทธ์ทูตสวรรค์ผู้หนึ่ง อีกทั้งยังเกือบจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชาทูตสวรรค์แล้ว เขาคิดเสมอว่าตนก็เป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงซานผู้นั้น ตัวเขานั้นกลับมิต่างจากเด็กอมมือเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเคยบอกแล้วว่าพลังของเราต่างกันราวฟ้ากับดิน เข้าใจบ้างหรือไม่ว่า ความห่างชั้นนี้พวกเจ้าไม่มีวันก้าวข้ามได้”
หลิงซานแสยะยิ้ม บัดนี้ดูราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมด
หากไม่ใช่เพราะเขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ในการเก็บตัวครั้งที่ผ่านมา เขาก็คงจะไม่หาญกล้าบุกนครไป๋อวิ๋นที่เต็มไปด้วยขุมกำลังทรงอำนาจเช่นนี้ ถึงอย่างไรการจะรับมือกับเมืองหลวงของจักรวรรดิใหญ่ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ในตอนนี้เขาไม่กลัวอีกแล้ว เขาสามารถใช้ฝ่ามือนี้จัดการทุกคนที่นี่ได้ ระดับพลังของเขาสูงส่งกว่าผู้ใด ไม่มีเหตุผลใดที่เขาต้องกลัว
“โอ้ ! ที่นี่ดูครึกครื้นเสียจริง”
จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกันนั้นร่างมนุษย์สองร่างก็ปรากฏตัวเหนือหอคอยสังเกตการณ์ ณ จุดที่อยู่เหนือประตูกำแพงแห่งนครไป๋อวิ๋น