— ปัง ! —
เสียงจากการปะทะกันด้วยฝ่ามือของมู่อวิ๋นกับเหยาปิงดังขึ้นกลางอากาศ
กระทั่งในเวลานี้ก็ยังไม่มีฝ่ายใดที่เหนือกว่า ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี
“ถ้าไม่ใช่เพราะการเข้ามาในดินแดนนี้ทำให้พลังของข้าถูกยับยั้งเอาไว้ส่วนหนึ่ง มีหรือเจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ ?”
เหยาปิงมองมู่อวิ๋นพลางเอ่ยวาจาดูแคลน
แท้ที่จริงขอบเขตพลังของเขาไม่ใช่เพียงจักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดแต่เหนือชั้นยิ่งกว่านั้น ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อเข้ามาในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ พลังในกายของเขาจะถูกจำกัดเอาไว้ส่วนหนึ่ง ฉะนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้จึงเทียบเท่าจอมยุทธ์จักรพรรดิทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากประมือกันมาระยะหนึ่ง เหยาปิงก็พบว่าพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของมู่อวิ๋นไม่ธรรมดา และมันทำให้เขาเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นในใจ
ต้องทราบก่อนว่าปริมาณความหนาแน่นของพลังมายาในดินแดนหวนหลิงนั้นเบาบางกว่าในดินแดนเทพมายาหลายเท่า ดังนั้นการฝึกพลังยุทธ์จึงทำได้ยากกว่ามาก ซึ่งนั่นก็ทำให้มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีจอมยุทธ์ผู้มีพลังระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์อยู่ในดินแดนแห่งนี้
เหยาปิงจินตนาการไม่ออกเลยว่า หากมีผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างมู่อวิ๋นถือกำเนิดขึ้นในดินแดนหนเหนือ คนผู้นั้นจะน่ากลัวเพียงใด
เมื่อได้ยินวาจาของเหยาปิง มู่อวิ๋นก็เพียงแต่ยกยิ้มบางไม่ตอบโต้ เขาไม่สนใจเรื่องความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหยาปิง เขาสนใจเพียงผลลัพธ์ของการต่อสู้เท่านั้น ขอเพียงครั้งนี้เขาชนะได้ก็เพียงพอ
ในตอนนั้นเองที่อธิการโรงเรียนราชสำนักมองเห็นฉากต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้นเบื้องล่าง ภาพที่เห็นทำให้เขาขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล บนพื้นดินนั้นผู้เฒ่าฉินเฟินและเหล่าผู้นำชาวไป๋อวิ๋นจำนวนหนึ่งกำลังรับมือกับจ้าวแห่งอาราม–หลิงซาน
ระดับความแข็งแกร่งของหลิงซาน มู่อวิ๋นทราบเป็นอย่างดี แม้ว่าความแข็งแกร่งของทางฝ่ายฉินเฟินเองก็ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังอยากจะรีบไปช่วยทางนั้นให้เร็วที่สุด เพราะหากยังปล่อยให้เวลาผ่านไป พวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
สถานการณ์ของหานโม่ฉือก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก
เพราะความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างจากเหยาเหยาและเหยาชิงไข่ อีกทั้งยังเสียเปรียบที่จำนวนด้อยกว่า คุณชายตระกูลหานจึงเป็นฝ่ายถูกสองพี่น้องเหยาไล่ต้อนและทำได้เพียงตั้งรับโดยไม่มีโอกาสโต้กลับ ถ้าหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ทางหานโม่ฉือก็จะพ่ายแพ้เช่นกัน
มู่อวิ๋นขมวดคิ้ว เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ หากจะพลิกสถานการณ์มีแต่ต้องเอาชนะเหยาปิงให้เร็วที่สุด
เมื่อคิดได้ดังนี้ มู่อวิ๋นก็ไม่ลังเลอีก ฉับพลันสภาวะพลังของเขาก็ปะทุขึ้นจากร่างก่อนจะสาดกระจายออกไปทุกทิศทาง
เหยาปิงนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทว่าเพียงชั่วพริบตาใบหน้านั้นก็ปรากฏอาการตื่นตะลึงเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมู่อวิ๋นที่เหนือชั้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เขาก็พอจะคาดเดาเจตนาของมู่อวิ๋นออก คนผู้นี้ต้องการกำจัดเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และรีบไปช่วยหานโม่ฉือและรับศึกด้านล่าง ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นได้
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะมู่อวิ๋นได้ แต่หากเป็นเพียงการซื้อเวลาย่อมไร้ปัญหา ขอเพียงใครคนหนึ่งในฝ่ายของเขาเอาชนะได้ก่อน ก็จะมีคนมาช่วยเขาได้ในภายหลัง
เหยาปิงพยายามโรมรันพันพัวเพื่อถ่วงเวลามู่อวิ๋นเอาไว้ให้ได้นานที่สุด
ภายในชั่วพริบตา การต่อสู้ทั่วทุกจุดในสนามรบก็เริ่มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
…
ฉินอวี้โม่ยังคงไม่รับรู้สถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นด้านนอก เวลานี้นางเพิ่งจะออกจากห้องลับใต้ดินและกำลังถูกซิวพาไปยังสถานที่หนึ่ง
“ซิว เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน ?”
ฉินอวี้โม่และซิวเดินเคียงคู่กัน ทั้งสองยังไม่ออกจากโถงใต้ดินของถ้ำลึก และยังคงเดินพลางสำรวจพื้นภายใน
“เดี๋ยวท่านได้จะทราบเอง”
ซิวกล่าวขณะเดินนำฉินอวี้โม่มาหยุดลง ณ ผนังถ้ำทางด้านหนึ่ง
ทันใดนั้นเทพอสูรเผ่าพันธุ์มังกรก็ปลดปล่อยพลังมายาไปยังจุดจุดหนึ่งบนกำแพง ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ากำแพงที่แต่เดิมเรียบสนิทเป็นเนื้อเดียวกลับค่อย ๆ แยกตัวออกจากกันและเผยให้เห็นทางเดินสองสาย
“หนึ่งในหนทางทั้งสองนี้จะนำพาไปยังดินแดนอ้างว้าง และอีกหนทางจะนำไปยังดินแดนเทพมายา…”
ซิวกล่าวอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟังในทันที
ดูเหมือนว่าอสูรผู้ยิ่งใหญ่จะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่เทพมายา ผู้เป็นนายคนก่อนของมันสร้างเอาไว้ อสูรในพันธสัญญาผู้ใกล้ชิดจึงรู้จักทุกซอกทุกมุม
เส้นทางทั้งสองสายเป็นเส้นทางที่เทพมายาคนก่อนวาง ‘ข่ายอาคมพิเศษ’ เอาไว้ ทางหนึ่งสามารถนำไปสู่ ‘ดินแดนอ้างว้าง’ และอีกทางจะนำไปสู่ ‘ดินแดนเทพมายา’ หรือเป็นที่เรียกกันในหมู่ผู้คนในหวนหลิงว่า ‘ดินแดนหนเหนือ’
ในสมัยนั้น เทพมายาสร้างเส้นทางทั้งสองนี้ไว้สำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
หากเทียบกันแล้วดินแดนหวนหลิงจะมีปริมาณพลังมายาที่เบาบางกว่ามากส่งผลให้การฝึกยุทธ์ในดินแดนหวนหลิงก้าวหน้าได้ช้ากว่าดินแดนหนเหนือ ยิ่งเวลาผ่านไปหลายพันปี ความต่างชั้นดังกล่าวก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
ย้อนกลับไปในอดีตกาลอันเนิ่นนาน แท้จริงแล้วดินแดนทั้งสองนี้เคยเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันมาก่อน ทว่าเป็นเพราะมหาสงครามครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นครานั้น ผลกระทบจากความโหดร้ายรุนแรงของมันทำให้ผืนแผ่นดินแตกแยกออกเป็นสองส่วน หลังจากสงครามสิ้นสุด เทพมายาที่ได้รับบาดเจ็บก็เดินทางมายังดินแดนหวนหลิงและทำการผนึกวิญญาณของมารทรชนเอาไว้ก่อนจะทิ้งมรดกทั้งหลายเอาไว้ที่นี่ รวมถึงใช้พลังที่ยังหลงเหลืออยู่สร้างเส้นทางทั้งสองสายนี้ขึ้น
สตรีผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตหวังจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สืบทอดกายเทพมายาในอนาคต เพราะเมื่อผู้สืบทอดฝึกฝนอยู่ในดินแดนหวนหลิงจนถึงขีดจำกัดแล้วก็สมควรจะข้ามไปยังดินแดนหนเหนือเพื่อไขว่คว้าโอกาสที่มากยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวกล่าว ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
นางอยากทราบถึงวิธีหรือหนทางไปยังดินแดนหนเหนือมาโดยตลอด ทว่าไม่คิดเลยว่าจะมีเส้นทางไปยังดินแดนหนเหนืออยู่ที่นี่ ณ สถานที่ลับในโรงเรียนราชสำนัก ที่ซึ่งอยู่ใกล้ตัวนางถึงเพียงนี้
ขอเพียงนางไปยังดินแดนหนเหนือได้ นางก็สามารถออกตามหาบิดามารดา รวมถึงเสี่ยวโร่วและฉินอี้เฟยได้ เมื่อถึงตอนนั้น ปมปัญหาทั้งหมดในชีวิตของนางก็จะถูกสะสางลง เมื่อเกิดความคิดดังกล่าว นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็อยากจะพุ่งเข้าไปเสียเดี๋ยวนั้น
“ข้าว่าตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะใช้เส้นทางเหล่านี้ นายหญิง ถ้าท่านอยากจะไปเยือนดินแดนอ้างว้างหรือดินแดนหนเหนือไว้รอให้ท่านแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อยจะเหมาะสมกว่า และข้าก็ไม่แนะนำให้ท่านไปจนกว่าท่านจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ได้”
ราวกับนั่งอยู่ในใจของสตรีผู้เป็นนาย ด้วยสายสัมพันธ์จากพันธสัญญา ซิวจึงล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของฉินอวี้โม่ได้ อสูรผู้ยิ่งใหญ่ออกปากเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ดินแดนหนเหนือไม่ได้สุขสงบเหมือนกับดินแดนหวนหลิง
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนอ้างว้างหรือดินแดนหนเหนือก็ล้วนเปี่ยมไปด้วยอันตรายรอบทิศ โดยเฉพาะดินแดนหนเหนือซึ่งมีเผ่าอสูรมายาจากบรรพกาลอยู่หลายเผ่า และมนุษย์ที่นั่นเองก็แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัว
ในบรรดาขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายในที่แห่งนั้น ยอดฝีมือที่ระดับพลังต่ำที่สุดก็เป็นถึงทูตสวรรค์แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปเลยว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีกองทัพอสูรคอยสนับสนุน ทว่าซิวก็ยังไม่แนะนำให้นางไปสถานที่อันตรายเช่นนั้นในตอนนี้
เมื่อได้ยินที่ซิวกล่าวฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย นางรู้ดีว่าซิวไม่เคยโกหกตน เทพอสูรของนางนั้นหวังดีกับตัวนางเสมอ ในเมื่อซิวยังไม่อยากให้ไป นางก็จะไม่บุ่มบ่าม
“ซิว อย่าห่วงเลย ข้าจะฟังที่เจ้าพูด”
ฉินอวี้โม่เอ่ยกับอสูรแห่งโชคชะตาผู้เป็นเสมือนผู้พิทักษ์ของตน
“นายหญิง ข้าทราบว่าท่านสงสัยเกี่ยวกับตัวตนและความเป็นมาของข้า และอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ข้าสัญญาว่าหากท่านก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์แล้วข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง แต่ตอนนี้ขอให้ท่านอดทนรอก่อน ด้วยพรสวรรค์ของท่าน อีกเพียงไม่นานก็คงจะก้าวขึ้นถึงระดับนั้นแล้ว”
ซิวจ้องมองฉินอวี้โม่พลางเอ่ยคำสัญญาหนักแน่น มันทราบดีถึงเรื่องที่ติดอยู่ในใจสตรีผู้เป็นนาย
ฉินอวี้โม่เองก็มองตอบกลับไป เมื่อฟังจบนางก็เพียงพยักหน้าช้า ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด
“เจ้าพวกนั้นพูดถูก ข้าคือเทพอสูรในตำนาน แต่เป็นเพราะโชคร้ายทำให้มีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม สักวันข้าจะกลับไปที่ที่ข้าควรอยู่แน่นอน”
จู่ ๆ ซิวก็ถอนหายใจแล้วเปรยขึ้นหนึ่งประโยค ซึ่งนั่นยืนยันว่าเรื่องที่อาไป๋และจักรพรรดิอสูรสวรรค์ตนอื่นบอกเป็นความจริง
มันคือเทพอสูรซึ่งเป็นดั่งราชาของอสูรทั้งปวง–‘มังกรทองสิบเล็บ’ หรือที่เรียกขานกันในหมู่อสูรด้วยนามว่า ‘เทพมังกร’ ทว่าช่างน่าเสียดาย เพราะสภาพของเทพมังกรอย่างมันในตอนนี้กลับไม่ต่างจากมังกรพิการ แม้จะใช้พลังได้แต่กลับไม่เต็มความสามารถ หากพบเจอศัตรูแข็งแกร่ง แม้แต่ปกป้องตนเองก็ยังทำได้ยากยิ่ง
“เอาเถอะ เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ในเมื่อพวกเราทำพันธสัญญาแห่งชีวิตกันแล้ว โชคชะตาของเราทั้งสองก็เชื่อมโยงกัน พวกเราจะเป็นคู่หูที่เชื่อใจกันและกัน พวกเราจะไม่มีวันยอมแพ้ให้กับโชคชะตา”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำนั้นของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ครานี้เป็นฝ่ายนางที่ให้คำมั่นสัญญาบ้าง
ฉินอวี้โม่รู้ดีว่าซิวกุมความลับเอาไว้มากมาย และนางก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะสอบถามซักไซ้มันในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ในใจของอดีตนักฆ่าได้ตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคตไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด นางก็จะขออยู่เคียงข้างอสูรแห่งโชคชะตาตนนี้
“เราออกไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วเอ่ยคำชี้ชวน
“เกือบสองเดือนแล้วที่ข้าเข้ามาในดินแดนต้องห้าม ไม่รู้ว่าตอนนี้โลกภายนอกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ซิวพยักหน้าเข้าใจแล้วจับคว้าแขนของผู้เป็นนาย พริบตาต่อมาทั้งคู่ก็ปรากฏตัว ณ โถงถ้ำแห่งเดิมที่เหล่าอสูรมายาในสังกัดอวี้โม่เฝ้ารออยู่
ทันทีที่อสูรทั้งหลายมองเห็นฉินอวี้โม่ พวกมันก็แสดงท่าทางเริงร่า ขณะนี้ทุกตนมีความสุขเป็นอย่างมาก
“นายหญิง พวกเราพัฒนาขึ้นอีกแล้ว”
เสี่ยวเฮยกล่าวกับนายหญิงของมันด้วยรอยยิ้ม เมื่อไม่นานมานี้พวกมันแต่ละตัวต่างก็วิวัฒนาการตามความก้าวหน้าของฉินอวี้โม่ และนั่นทำให้พวกมันยิ่งรู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกินที่ได้เป็นอสูรของนาง
อสูรตัวอื่น ๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน การได้สตรีแสนพิเศษผู้นี้เป็นเจ้านายถือเป็นวาสนาที่หาได้ยากยิ่งนัก
“ยินดีกับพวกเจ้าด้วย”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ยิ่งกองทัพอสูรของนางแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด นางยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อสำรวจแล้วว่าอสูรทุกตนอยู่ครบและปลอดภัย ฉินอวี้โม่ก็ล้วงเอาแผ่นป้ายที่ท่านอธิการให้ไว้ก่อนหน้านี้ออกมาแล้วรีบทำลายมัน ทันใดนั้นร่างกายของนางก็เริ่มจางหาย ในที่สุดการเดินทางกว่าสองเดือนในป่าลึกลับก็สิ้นสุด
คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินออกจากดินแดนต้องห้ามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
…
ขณะนี้การต่อสู้ ณ ประตูเมืองใหญ่ของนครไป๋อวิ๋นยังคงดำเนินต่อไป
มู่อวิ๋นยังคงกระหน่ำโจมตีอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งถึงจุดหนึ่งเหยาปิงก็รู้สึกว่าตนเองกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและอาจจะพ่ายแพ้ได้ทุกเวลา
อีกด้านหนึ่ง เห็นชัดว่าเหยาเหยาและเหยาชิงไข่เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ ทว่าก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด แต่จู่ ๆ ก็ดูเหมือนความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือกลับเพิ่มสูงขึ้นมาอย่างกะทันหันจนทำให้สถานการณ์พลิกผันกลายเป็นสูสี บุรุษตระกูลหานเริ่มรุกไล่พี่น้องแซ่เหยาได้โดยไม่เป็นรองแล้ว
ทางฝั่งหลิงซานและฝ่ายไป๋อวิ๋นที่นำโดยผู้เฒ่าฉินเฟินก็ยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือดรุนแรง
แม้ว่าหลิงซานจะแข็งแกร่งมาก แต่ฉินเฟินและคนอื่น ๆ ก็มีจำนวนคนที่มากกว่าและต่อสู้กันอย่างไม่ยอมถอย พวกเขาผลัดกันจู่โจมด้วยทักษะลับของตัวเอง ไม่ให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ อีกทั้งไม่ไกลกันนักกองกำลังจากอารามที่พุ่งเข้าโรมรันกับกำลังพลพิทักษ์ไป๋อวิ๋นก็ดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ครั้งนี้ต้องยกความชอบส่วนหนึ่งให้ประธานสมาคมโอสถ เพราะเขาได้นำโอสถลับของสมาคมออกมาแจกจ่ายให้ทุกคน หลังจากกินมันเข้าไปก็ทำให้พลังของทุกคนเพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
— ตูม ! —
เสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อนภายุทธ์ของเหล่ยเจิ้นกระแทกเข้าใส่หลิงซานเต็มเปา การโจมตีของเขาระเบิดม่านพลังป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้ อีกทั้งแรงกระแทกยังทำให้หลิงซานกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย
“หึ ไม่คิดเลยว่าจะเอาชนะพวกเจ้าได้ยากเย็นถึงเพียงนี้ !”
หลิงซานไม่ฝืนโจมตีต่อไป เขากระโดดถอยกลับไปตั้งหลัก ดูเหมือนเขาจะเริ่มหวาดกลัวฝ่ายผู้นำในไป๋อวิ๋นบ้างแล้ว
“หลิงซาน หากวันนี้เจ้ายังดึงดันจะทำสงครามกับพวกเรา เจ้าคงต้องเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว”
ประธานสมาคมโอสถกล่าวด้วยใบหน้ามั่นใจ
หลิงซานขมวดคิ้วมุ่นพลางหันไปมองจุดที่ลั่วเฉินอยู่ ทว่าก็ดูเหมือนการต่อสู้ของโอรสแห่งอารามคงจะไม่รู้ผลแพ้ชนะในเร็ว ๆ นี้ และเมื่อหันไปเห็นผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังพัวพันกับการจู่โจมของหลินจิ้งหง ใบหน้าของจ้าวอารามก็เปลี่ยนไปราวกับกลืนยาขมในทันที
“พวกท่านทั้งสาม ข้าว่าคงถึงเวลาที่พวกท่านต้องตัดสินใจแล้ว”
จู่ ๆ หลิงซานก็กล่าวกับพวกเหยาปิงด้วยประโยคแปลกประหลาด
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงซาน เหยาปิงก็กล่าวกับมู่อวิ๋นเสียงเย็นชา “ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะไล่ต้อนพวกเรามาถึงจุดนี้ได้”
สิ้นคำนั้น เขาก็หันไปมองยังจุดหนึ่งก่อนจะส่งเสียงเรียก “สหายจาก ‘นิกายหงส์มังกร’ โปรดออกมาช่วยเราด้วย”
ทันทีที่เสียงของเหยาปิงสิ้นสุดลง กลุ่มคนสี่คนที่ประกอบด้วยสองบุรุษสองสตรีผู้ซึ่งมีสภาวะพลังในระดับใกล้เคียงกับสามพี่น้องเหยาก็ปรากฏตัวขึ้นกลางสมรภูมิรบ
.