คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 208 จ้าวนครเมฆา

เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่ฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายต่างก็อ้างปากค้างเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง

ในฐานะสหายสนิทของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน เหล่าสหายอวี้โม่ทุกคนจึงล้วนทราบถึงพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของโฉมงามผู้นี้ดี ก่อนที่คุณหนูสี่จะเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ระดับพลังของนางอยู่เพียงขอบเขตมายาบรรพชนแปดดาราซึ่งก็ยังห่างไกลจากระดับทูตสวรรค์มาก

ทว่าหลังจากที่นางเข้าไปในดินแดนดังกล่าวได้ไม่ถึงสองเดือนกลับแข็งแกร่งขึ้นจนน่าตกใจ นางมิใช่แต่เพียงทะลวงพลังสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เท่านั้น แต่ยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดอีกด้วย นี่ถือเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ

ผู้เฒ่าฉินเฟินเองก็ตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นกัน ทว่านั่นก็ปะปนไปด้วยความรู้สึกแสนตื่นเต้นยินดี

เสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาพัฒนาพลังได้อย่างก้าวกระโดด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานนางจะกลายเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในหวนหลิง ในฐานะผู้เป็นปู่ ผู้นำตระกูลฉินจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

ที่สำคัญ ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ โอกาสในการตามหาฉินเทียนกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นให้พบก็จะเปิดกว้างขึ้น เรื่องนี้ทำให้สมาชิกในตระกูลฉินทั้งหมดล้วนหัวใจพองโต

“ไม่ง่ายเลยที่เราจะพบเจออัจฉริยะเช่นนี้ได้ ในรอบร้อยปีอาจมีเพียงเสี่ยวอวี้โม่ผู้เดียวเท่านั้น ดรุณีน้อยอายุสิบเจ็ดสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันทูตสวรรค์ได้แล้ว หากพูดออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อถือ”

โอวหยางเจวี๋ยกล่าวขึ้น ผู้น้ำตระกูลโอวหยางอดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบกับลูกหลานของตน หากเทียบกับฉินอวี้โม่แล้ว พรสวรรค์ของโอวหยางชิงเฟิงหรือผู้เยาว์คนอื่น ๆ ในไปอวิ๋นที่มีอายุไล่เลี่ยกันดูธรรมดาไปในทันที

ฝ่ายชาวเมืองไป๋อวิ๋นต่างก็ทึ่งในพลังของฉินอวี้โม่ แม้แต่ผู้นำตระกูลเหล่ยที่เป็นอริกับตระกูลฉินมายาวนานก็ยังอดชื่นชมนางไม่ได้

ขณะที่ในอีกทางด้านหนึ่ง สีหน้าของคนฝ่ายอารามกลับย่ำแย่ลงถนัดตา

บนใบหน้าของยอดฝีมือนิกายหงส์มังกรและสามพี่น้องเหยามีเม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดพรายออกมาให้เห็น นี่บ่งชี้ถึงความกังวลที่เกิดขึ้นในใจของพวกเขาได้ดี

ต่อให้เป็นในดินแดนหนเหนือ พรสวรรค์ระดับนี้ของฉินอวี้โม่ก็ยังถือว่าน่ากลัวมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าในเวลาอันสั้นแสนสั้นนางจะเติบโตได้มากมายถึงเพียงนี้

พวกเขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวสตรีที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาอย่างมิอาจห้าม ในตอนนี้เหล่ายอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือต่างก็จ้องมองนางด้วยสายตามุ่งร้ายหมายชีวิต เมื่อพบเจอบุคคลที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นภัยร้ายแรงในอนาคตก็สมควรกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก

— พรวด ! —

หลิงซานพ่นโลหิตออกมาจากปาก หากจะกล่าวว่าใครที่ใบหน้าดูบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดมากที่สุดในยามนี้ คนผู้นั้นก็คงเป็นผู้ปกครองอารามแห่งหวนหลิง

ตัวเขาเองไม่เคยคิดว่าฉินอวี้โม่จะพัฒนาเร็วถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้นี้ยังใช้ทักษะยุทธ์ประหลาดที่เขาไม่รู้จักหรือเคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างมาก เพราะแม้แต่วิชาไม้เด็ดของเขาก็ยังทำอะไรนางไม่ได้ ซ้ำร้ายเป็นเขาเองที่ได้รับบาดเจ็บ

ฉินอวี้โม่เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางฝึกยุทธ์ได้ไม่นาน ขณะที่หลิงซานคือจ้าวอารามและเป็นหนึ่งในยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของแผ่นดินนี้ ภาพการต่อสู้ที่ปรากฏแก่สายตาทุกผู้คนจึงน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง

ทุกคนมองดูหลิงซานกระอักเลือดออกมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ หากว่าวันนี้ฉินอวี้โม่เอาชนะจ้าวอารามได้ เรื่องนี้ก็คงกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกหลายร้อยปี

ความก้าวหน้าที่รวดเร็วขนาดนี้ทำให้แม้แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างหลินเหยียนก็ยังแอบหวาดหวั่นอยู่ในใจ หากว่าเปลี่ยนเป็นตัวเขาที่ต้องสู้กับสตรีน้อยผู้นั้น เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

“ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดว่าแค่นี้จะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นรึ ?”

หลิงซานเช็ดเลือดที่มุมปากพลางใช้สายตาอาฆาตจ้องมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

ผู้ปกครองของอารามหวนหลิงหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาก่อนจะกลืนมันเข้าไปโดยไม่ลังเล

ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าสภาวะพลังจากร่างกายของคู่ต่อสู้ตรงหน้าพุ่งขึ้นสูงในชั่วพริบตา ระดับพลังของหลิงซานทะยานขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดที่สูงเกินกว่าขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ไปแล้ว ราวกับว่าบัดนี้เขาได้ทลายโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการไม่ให้เข้าสู่ระดับถัดไปจนหมดสิ้น

‘นั่นคือโอสถสำหรับเร่งพลังในระยะสั้น ถ้าข้าจำไม่ผิดโอสถเม็ดนั้นมีชื่อเรียกว่าโอสถอนันตคุณ มันเป็นโอสถระดับสูงที่หลอมขึ้นมาได้ยากมาก นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่ายนั้นจะมีโอสถเช่นนี้อยู่ในครอบครองด้วย’

เสียงที่สงบของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนพลังที่พุ่งขึ้นสูงในชั่วพริบตาของหลิงซานมิอาจทำให้เทพอสูรรู้สึกหวาดหวั่นได้เลยแม้แต่น้อย

ฉินอวี้โม่เองก็ดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง การที่หลิงซานมีสิ่งวิเศษเก็บไว้เป็นไพ่ตายนั้นนางไม่ได้ประหลาดใจ

ตรงกันข้าม ในฐานะจ้าวอาราม หากเขาไร้ซึ่งวิชาลับหรือสิ่งส่งเสริมพลังพิเศษใด ๆ ที่จะใช้เป็นไพ่ตายในการต่อสู้เลย นั่นคงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ระดับพลังในตอนนี้ของหลิงซานจะน่ากลัวมากก็จริง แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะสามารถต่อกรกับเขาได้

“หึ ! หากเก่งนัก เจ้าลองรับเอากระบวนท่าของข้าดูอีกครั้งสิ !”

หลิงซานแค่นเสียงเย็นชา พริบตาตรงหน้าเขาก็ปรากฏก้อนแสงที่ดูคล้ายกับดาราโชติขึ้นอีกครั้ง

ทว่าในครานี้ พลังที่อัดแน่นอยู่ในก้อนแสงนั้นแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด และมันก็ดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาท นางเองก็งัดเอาวิชาที่ทรงพลังที่สุดออกมาต้านทานอีกฝ่ายเช่นกัน

แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ออกกระบวนท่า จู่ ๆ เสียงของซิวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

‘นายหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเพราะมีใครบางคนกำลังมาช่วยท่าน’

ซิวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหลิงซานกำลังพุ่งตรงมาในทิศทางนี้ด้วยความเร็วสูง ดูจากกลิ่นอายและพลัง อสูรคู่กายเทพมายาไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามหรือความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย ที่สำคัญกลิ่นอายของคนผู้นั้นยังมีความคล้ายกับฉินอวี้โม่อยู่ส่วนหนึ่ง

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวกล่าวฉินอวี้โม่ก็หยุดมือลงทันที แม้ว่าจะเห็นก้อนแสงของหลิงซานกำลังก่อตัวขึ้นทว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินกลับไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ภาพนั้นทำให้ผู้เฒ่าฉินเฟินและคนอื่น ๆ เป็นกังวลขึ้นมา

ทว่าในตอนที่พวกเขากำลังจะส่งเสียงก็ถูกหานโม่ฉือห้ามเอาไว้เสียก่อน

ดวงตาของบุรุษน้ำแข็งเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความสงสัย ทว่ามันกลับไร้ซึ่งความหวาดหวั่น เขาเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังกำลังใกล้เข้ามาเช่นกัน และเขาก็มั่นใจว่าเจ้าของกลิ่นอายนั้นไร้ซึ่งจิตสังหารอันรุนแรงหรือเจตนาทำร้ายที่มีต่อสตรีที่รักของเขา

หลิงซานเห็นฉินอวี้โม่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสะกิดใจถึงความผิดปกติ แต่เนื่องจากไม่ทราบและไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายบวกกับต้องการจบศึกให้เร็วที่สุด จ้าวอารามจึงเลิกใส่ใจความไม่ปกตินี้

กล่าวได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย นั่นเพราะผู้มีกลิ่นอายอันทรงพลังดังกล่าวจงใจปิดกั้นทั้งกลิ่นอายและสภาวะพลังของตนเองจากฝ่ายตรงข้าม

“ตายซะเถอะ !”

หลิงซานเปล่งเสียงดังก้องขณะใช้ฝ่ามือผสานอักขระและส่งก้อนแสงพุ่งเข้าหาฉินอวี้โม่ในทันที

“บัดซบ ! ใครกล้าลงมือกับหลานสาวของข้าผู้นี้ !”

ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นราวฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ก่อนที่บุรุษผู้มีสภาวะพลังอันแข็งกล้ากว่าผู้ใดในที่แห่งนี้จะปรากฏตัวขึ้นในอากาศและปัดป้องการโจมตีของหลิงซานได้อย่างง่ายดาย

“รับขยะของเจ้าคืนไปซะ !”

เสียงเดิมดังขึ้นมาก่อนที่ก้อนแสงนั้นจะย้อนกลับไปหาหลิงซานผู้เป็นเจ้าของ

หลิงซานชะงักไปในทันที เขาทราบดีว่าก้อนแสงนั้นมีพลังรุนแรงเพียงใด หากเขาประมาทอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ในพริบตา ร่างของจ้าวอารามกำลังพุ่งถอยออกไปพร้อมกับผสานม่านพลังขึ้นมาป้องกันก้อนแสงนั้นสุดกำลัง

สามพี่น้องเหยาหันมามองหน้ากันก่อนจะพุ่งเข้าไปปรากฏตัวข้างกายหลิงซานและช่วยเขาหยุดยั้งก้อนแสงนั้นเอาไว้

“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์มีนามว่าอะไร เหตุใดถึงเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ของพวกเรา ?”

หลงปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือแววยำเกรงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของอีกฝ่ายกำลังคุกคามเขาอยู่

“เหอะ คนจากดินแดนเหนือกล้าดีอย่างไรบุกรุกเข้ามาทำเรื่องเลวร้ายในหวนหลิง หากพวกเจ้าไม่รีบถอยกลับไปก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

ทันทีที่เสียงนั้นเงียบลง ร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่

บุรุษผู้มาใหม่สวมอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างและบรรยากาศรอบข้างดูสง่างามสูงส่งและองอาจน่านับถือ หากดูด้วยสายตา ใบหน้าและท่าทางของเขาคล้ายจะมีอายุประมาณสี่สิบกว่า ทว่าถึงแม้จะอยู่ในวัยกลางคนแล้วแต่ก็ดูหล่อเหลาชวนหลงใหล

นี่ทำให้ฉินอวี้โม่อึ้งงันไป กลิ่นอายของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

เมื่อบวกรวมกับวาจาที่เขาใช้กล่าวก่อนหน้านี้ คุณหนูสี่ตระกูลฉินคาดเดาได้ทันทีว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้านางในขณะนี้คือผู้ใด

บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนหวนหลิง–จ้าวผู้ครองนครเมฆา–บิดาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเป็นท่านตาของฉินอวี้โม่–อวี๋จวินซาน

“ท่านตา”

ฉินอวี้โม่เรียกขานอีกฝ่ายด้วยสรรพนามแสดงความสนิทชิดเชื้อโดยไม่ลังเล

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ ?”

แม้ว่ากลิ่นอายของสตรีน้อยตรงหน้าจะทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย อีกทั้งใบหน้ายังคล้ายคลึงกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นบุตรีของเขามาก ทว่าอวี๋จวินซานก็ยังคงถามออกไปเพื่อความมั่นใจส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ก็เพื่อปกปิดความตื่นเต้นที่มี จ้าวนครเมฆาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาผู้เป็นหลานสาวอย่างช้า ๆ

แม้ว่าฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะดูคล้ายกันถึงเจ็ดส่วน ทว่าคนทั้งคู่กลับให้บรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นดูแจ่มใสร่าเริงและขี้เล่น แต่ฉินอวี้โม่ดูสงบเยือกเย็นและเคร่งขรึมกว่า

เมื่อหลานสาวที่ถวิลหามาตลอดปรากฏอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ในอกของอวี๋จวินซานก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันแสนซับซ้อน นี่คือลูกสาวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นบุตรีที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา เขาเฝ้ารอวันที่จะได้พบหน้าหลานสาวตัวน้อยผู้นี้มานานหลายปีแล้ว รอคอยมาตั้งแต่วันที่นางลืมตาดูโลก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเขาก็จำต้องอดทนเอาไว้และคอยฟังข่าวของฉินอวี้โม่จากเหวินหย่าเท่านั้น แต่ครั้งนี้เมื่อได้ยินว่าไป๋อวิ๋นมีภัยร้ายแรงทำให้จ้าวผู้ครองนครเมฆาร้อนใจมากจนต้องรีบมาที่นี่

“เป็นข้าเองท่านตา”

ฉินอวี้โม่มองอวี๋จวินซานด้วยแววตาตื่นเต้น นางอดยิ้มออกมาไม่ได้จริง ๆ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์”

อวี๋จวินซานที่ก้าวเข้ามาประชิดตัวฉินอวี้โม่ดึงผู้เป็นหลานสาวเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่ลังเล

สำหรับสาวน้อยผู้นี้นั้น เขามีทั้งความรู้สึกผิดและความสงสารอัดแน่นในอก ทว่าความภาคภูมิใจก็มากมายไม่แพ้กัน

นางช่างเป็นหลานสาวที่สวรรค์ประทานมาโดยแท้ หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นรู้ว่าบุตรีของนางมีพรสวรรค์สูงส่งถึงเพียงนี้ก็คงจะมีความสุขเหลือล้นเช่นกัน

ในตอนนี้ทุกคนในสนามรบต่างก็งุนงงและประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อวี๋จวินซานใช้เพียงฝ่ามือก็หยุดยั้งการโจมตีของหลิงซานได้ เพียงแค่เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากพอแล้ว ทว่าหลังจากนั้นกลับพบว่าเขาถูกฉินอวี้โม่เรียกขานว่า ‘ท่านตา’ เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนมึนงงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็อดดีใจแทนคนทั้งสองไม่ได้ที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง

คิดไม่ถึงเลยว่ายอดฝีมือที่น่ากลัวผู้นี้จะเป็นท่านตาของฉินอวี้โม่ หลังจากนี้ไปสถานการณ์ในสนามรบก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเป็นแน่

ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ หลายคนในสนามรบก็ได้รับรู้ถึงสถานะและตัวตนของอวี๋จวินซาน

ผู้เฒ่าฉินเฟินปู่ของฉินอวี้โม่ รวมไปถึงจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็พอจะคาดเดาสถานะของอวี๋จวินซานออก

ผู้นำตระกูลฉินอดรู้สึกตื้นตันและดีใจแทนหลานสาวไม่ได้ ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เกิดความรู้สึก ‘ไม่ใคร่ชอบใจนัก’ ขึ้นด้วย เขาและอวี๋จวินซานดูเหมือนจะมีอายุไม่ห่างกันมากนัก แล้วเหตุใดความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจึงเหนือชั้นกว่าเขาอย่างเทียบไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงจ้าวครองนครเมฆาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใดในหวนหลิง หากเปรียบกันแล้วตระกูลฉินของเขาแทบไร้ความหมาย

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยยิ้มอย่างมีความสุข ในเมื่ออวี๋จวินซานลงทุนเดินทางมาที่นี่เพื่อพบฉินอวี้โม่ เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้ว เขาเชื่อว่า อย่างไรนครเมฆาก็คงจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหาหนักอกครั้งนี้ได้

“สามหาว ข้าถามว่าเจ้าคือใคร ?”

เดิมทีเหยาปิงก็คิดจะใช้วิธีเจรจาอย่างสันติ ทว่าอวี๋จวินซานกลับไม่ไว้หน้าทั้งยังทำเหมือนว่าไม่เห็นคนจากดินแดนหนเหนืออยู่ในสายตา บุรุษจากแผ่นดินอันสูงส่งจึงโกรธเป็นอย่างมาก

แม้ว่าจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับรูปลักษณ์ของอวี๋จวินซานอยู่บ้าง แต่เขาก็นึกไม่ออกและจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอันน่ากลัวที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของบุคคลปริศนาก็ยังทำให้พวกเขาที่มาจากดินแดนเทพมายาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

“เหอะ ! หลิงซาน ไม่ได้พบเจอกันนานหลายสิบปี อารามของเจ้าโอหังขึ้นเหลือเกินนะ”

อวี๋จวินซานไม่สนใจคนจากดินแดนหนเหนือแต่กลับหันไปหาหลิงซานพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนอำมหิต

คนผู้นี้พยายามจะสังหารหลานสาวของเขา แน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ เป็นแน่

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 208 จ้าวนครเมฆา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 208 จ้าวนครเมฆา

เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่ฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายต่างก็อ้างปากค้างเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง

ในฐานะสหายสนิทของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน เหล่าสหายอวี้โม่ทุกคนจึงล้วนทราบถึงพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของโฉมงามผู้นี้ดี ก่อนที่คุณหนูสี่จะเข้าไปในดินแดนต้องห้าม ระดับพลังของนางอยู่เพียงขอบเขตมายาบรรพชนแปดดาราซึ่งก็ยังห่างไกลจากระดับทูตสวรรค์มาก

ทว่าหลังจากที่นางเข้าไปในดินแดนดังกล่าวได้ไม่ถึงสองเดือนกลับแข็งแกร่งขึ้นจนน่าตกใจ นางมิใช่แต่เพียงทะลวงพลังสู่ขอบเขตทูตสวรรค์เท่านั้น แต่ยังก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันทูตสวรรค์ขั้นสูงสุดอีกด้วย นี่ถือเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ

ผู้เฒ่าฉินเฟินเองก็ตื่นตะลึงไม่น้อยเช่นกัน ทว่านั่นก็ปะปนไปด้วยความรู้สึกแสนตื่นเต้นยินดี

เสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาพัฒนาพลังได้อย่างก้าวกระโดด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานนางจะกลายเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในหวนหลิง ในฐานะผู้เป็นปู่ ผู้นำตระกูลฉินจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

ที่สำคัญ ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ โอกาสในการตามหาฉินเทียนกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นให้พบก็จะเปิดกว้างขึ้น เรื่องนี้ทำให้สมาชิกในตระกูลฉินทั้งหมดล้วนหัวใจพองโต

“ไม่ง่ายเลยที่เราจะพบเจออัจฉริยะเช่นนี้ได้ ในรอบร้อยปีอาจมีเพียงเสี่ยวอวี้โม่ผู้เดียวเท่านั้น ดรุณีน้อยอายุสิบเจ็ดสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชันทูตสวรรค์ได้แล้ว หากพูดออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อถือ”

โอวหยางเจวี๋ยกล่าวขึ้น ผู้น้ำตระกูลโอวหยางอดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบกับลูกหลานของตน หากเทียบกับฉินอวี้โม่แล้ว พรสวรรค์ของโอวหยางชิงเฟิงหรือผู้เยาว์คนอื่น ๆ ในไปอวิ๋นที่มีอายุไล่เลี่ยกันดูธรรมดาไปในทันที

ฝ่ายชาวเมืองไป๋อวิ๋นต่างก็ทึ่งในพลังของฉินอวี้โม่ แม้แต่ผู้นำตระกูลเหล่ยที่เป็นอริกับตระกูลฉินมายาวนานก็ยังอดชื่นชมนางไม่ได้

ขณะที่ในอีกทางด้านหนึ่ง สีหน้าของคนฝ่ายอารามกลับย่ำแย่ลงถนัดตา

บนใบหน้าของยอดฝีมือนิกายหงส์มังกรและสามพี่น้องเหยามีเม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดพรายออกมาให้เห็น นี่บ่งชี้ถึงความกังวลที่เกิดขึ้นในใจของพวกเขาได้ดี

ต่อให้เป็นในดินแดนหนเหนือ พรสวรรค์ระดับนี้ของฉินอวี้โม่ก็ยังถือว่าน่ากลัวมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าในเวลาอันสั้นแสนสั้นนางจะเติบโตได้มากมายถึงเพียงนี้

พวกเขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวสตรีที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาอย่างมิอาจห้าม ในตอนนี้เหล่ายอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือต่างก็จ้องมองนางด้วยสายตามุ่งร้ายหมายชีวิต เมื่อพบเจอบุคคลที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นภัยร้ายแรงในอนาคตก็สมควรกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก

— พรวด ! —

หลิงซานพ่นโลหิตออกมาจากปาก หากจะกล่าวว่าใครที่ใบหน้าดูบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดมากที่สุดในยามนี้ คนผู้นั้นก็คงเป็นผู้ปกครองอารามแห่งหวนหลิง

ตัวเขาเองไม่เคยคิดว่าฉินอวี้โม่จะพัฒนาเร็วถึงเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้นี้ยังใช้ทักษะยุทธ์ประหลาดที่เขาไม่รู้จักหรือเคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นอย่างมาก เพราะแม้แต่วิชาไม้เด็ดของเขาก็ยังทำอะไรนางไม่ได้ ซ้ำร้ายเป็นเขาเองที่ได้รับบาดเจ็บ

ฉินอวี้โม่เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางฝึกยุทธ์ได้ไม่นาน ขณะที่หลิงซานคือจ้าวอารามและเป็นหนึ่งในยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของแผ่นดินนี้ ภาพการต่อสู้ที่ปรากฏแก่สายตาทุกผู้คนจึงน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง

ทุกคนมองดูหลิงซานกระอักเลือดออกมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ หากว่าวันนี้ฉินอวี้โม่เอาชนะจ้าวอารามได้ เรื่องนี้ก็คงกลายเป็นตำนานเล่าขานไปอีกหลายร้อยปี

ความก้าวหน้าที่รวดเร็วขนาดนี้ทำให้แม้แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างหลินเหยียนก็ยังแอบหวาดหวั่นอยู่ในใจ หากว่าเปลี่ยนเป็นตัวเขาที่ต้องสู้กับสตรีน้อยผู้นั้น เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้

“ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดว่าแค่นี้จะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นรึ ?”

หลิงซานเช็ดเลือดที่มุมปากพลางใช้สายตาอาฆาตจ้องมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

ผู้ปกครองของอารามหวนหลิงหยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาก่อนจะกลืนมันเข้าไปโดยไม่ลังเล

ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าสภาวะพลังจากร่างกายของคู่ต่อสู้ตรงหน้าพุ่งขึ้นสูงในชั่วพริบตา ระดับพลังของหลิงซานทะยานขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึงจุดที่สูงเกินกว่าขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ไปแล้ว ราวกับว่าบัดนี้เขาได้ทลายโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการไม่ให้เข้าสู่ระดับถัดไปจนหมดสิ้น

‘นั่นคือโอสถสำหรับเร่งพลังในระยะสั้น ถ้าข้าจำไม่ผิดโอสถเม็ดนั้นมีชื่อเรียกว่าโอสถอนันตคุณ มันเป็นโอสถระดับสูงที่หลอมขึ้นมาได้ยากมาก นึกไม่ถึงเลยว่าฝ่ายนั้นจะมีโอสถเช่นนี้อยู่ในครอบครองด้วย’

เสียงที่สงบของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนพลังที่พุ่งขึ้นสูงในชั่วพริบตาของหลิงซานมิอาจทำให้เทพอสูรรู้สึกหวาดหวั่นได้เลยแม้แต่น้อย

ฉินอวี้โม่เองก็ดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง การที่หลิงซานมีสิ่งวิเศษเก็บไว้เป็นไพ่ตายนั้นนางไม่ได้ประหลาดใจ

ตรงกันข้าม ในฐานะจ้าวอาราม หากเขาไร้ซึ่งวิชาลับหรือสิ่งส่งเสริมพลังพิเศษใด ๆ ที่จะใช้เป็นไพ่ตายในการต่อสู้เลย นั่นคงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเสียยิ่งกว่า

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ระดับพลังในตอนนี้ของหลิงซานจะน่ากลัวมากก็จริง แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะสามารถต่อกรกับเขาได้

“หึ ! หากเก่งนัก เจ้าลองรับเอากระบวนท่าของข้าดูอีกครั้งสิ !”

หลิงซานแค่นเสียงเย็นชา พริบตาตรงหน้าเขาก็ปรากฏก้อนแสงที่ดูคล้ายกับดาราโชติขึ้นอีกครั้ง

ทว่าในครานี้ พลังที่อัดแน่นอยู่ในก้อนแสงนั้นแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด และมันก็ดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาท นางเองก็งัดเอาวิชาที่ทรงพลังที่สุดออกมาต้านทานอีกฝ่ายเช่นกัน

แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ออกกระบวนท่า จู่ ๆ เสียงของซิวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

‘นายหญิง ท่านไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงเพราะมีใครบางคนกำลังมาช่วยท่าน’

ซิวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหลิงซานกำลังพุ่งตรงมาในทิศทางนี้ด้วยความเร็วสูง ดูจากกลิ่นอายและพลัง อสูรคู่กายเทพมายาไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามหรือความเป็นศัตรูแม้แต่น้อย ที่สำคัญกลิ่นอายของคนผู้นั้นยังมีความคล้ายกับฉินอวี้โม่อยู่ส่วนหนึ่ง

เมื่อได้ยินสิ่งที่ซิวกล่าวฉินอวี้โม่ก็หยุดมือลงทันที แม้ว่าจะเห็นก้อนแสงของหลิงซานกำลังก่อตัวขึ้นทว่าคุณหนูสี่ตระกูลฉินกลับไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ภาพนั้นทำให้ผู้เฒ่าฉินเฟินและคนอื่น ๆ เป็นกังวลขึ้นมา

ทว่าในตอนที่พวกเขากำลังจะส่งเสียงก็ถูกหานโม่ฉือห้ามเอาไว้เสียก่อน

ดวงตาของบุรุษน้ำแข็งเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความสงสัย ทว่ามันกลับไร้ซึ่งความหวาดหวั่น เขาเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังกำลังใกล้เข้ามาเช่นกัน และเขาก็มั่นใจว่าเจ้าของกลิ่นอายนั้นไร้ซึ่งจิตสังหารอันรุนแรงหรือเจตนาทำร้ายที่มีต่อสตรีที่รักของเขา

หลิงซานเห็นฉินอวี้โม่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสะกิดใจถึงความผิดปกติ แต่เนื่องจากไม่ทราบและไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายบวกกับต้องการจบศึกให้เร็วที่สุด จ้าวอารามจึงเลิกใส่ใจความไม่ปกตินี้

กล่าวได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย นั่นเพราะผู้มีกลิ่นอายอันทรงพลังดังกล่าวจงใจปิดกั้นทั้งกลิ่นอายและสภาวะพลังของตนเองจากฝ่ายตรงข้าม

“ตายซะเถอะ !”

หลิงซานเปล่งเสียงดังก้องขณะใช้ฝ่ามือผสานอักขระและส่งก้อนแสงพุ่งเข้าหาฉินอวี้โม่ในทันที

“บัดซบ ! ใครกล้าลงมือกับหลานสาวของข้าผู้นี้ !”

ทันใดนั้นเสียงตวาดลั่นราวฟ้าผ่าก็ดังขึ้น ก่อนที่บุรุษผู้มีสภาวะพลังอันแข็งกล้ากว่าผู้ใดในที่แห่งนี้จะปรากฏตัวขึ้นในอากาศและปัดป้องการโจมตีของหลิงซานได้อย่างง่ายดาย

“รับขยะของเจ้าคืนไปซะ !”

เสียงเดิมดังขึ้นมาก่อนที่ก้อนแสงนั้นจะย้อนกลับไปหาหลิงซานผู้เป็นเจ้าของ

หลิงซานชะงักไปในทันที เขาทราบดีว่าก้อนแสงนั้นมีพลังรุนแรงเพียงใด หากเขาประมาทอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ในพริบตา ร่างของจ้าวอารามกำลังพุ่งถอยออกไปพร้อมกับผสานม่านพลังขึ้นมาป้องกันก้อนแสงนั้นสุดกำลัง

สามพี่น้องเหยาหันมามองหน้ากันก่อนจะพุ่งเข้าไปปรากฏตัวข้างกายหลิงซานและช่วยเขาหยุดยั้งก้อนแสงนั้นเอาไว้

“ไม่ทราบว่าท่านจอมยุทธ์มีนามว่าอะไร เหตุใดถึงเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ของพวกเรา ?”

หลงปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือแววยำเกรงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของอีกฝ่ายกำลังคุกคามเขาอยู่

“เหอะ คนจากดินแดนเหนือกล้าดีอย่างไรบุกรุกเข้ามาทำเรื่องเลวร้ายในหวนหลิง หากพวกเจ้าไม่รีบถอยกลับไปก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

ทันทีที่เสียงนั้นเงียบลง ร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่

บุรุษผู้มาใหม่สวมอาภรณ์สีน้ำตาลเข้ม กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างและบรรยากาศรอบข้างดูสง่างามสูงส่งและองอาจน่านับถือ หากดูด้วยสายตา ใบหน้าและท่าทางของเขาคล้ายจะมีอายุประมาณสี่สิบกว่า ทว่าถึงแม้จะอยู่ในวัยกลางคนแล้วแต่ก็ดูหล่อเหลาชวนหลงใหล

นี่ทำให้ฉินอวี้โม่อึ้งงันไป กลิ่นอายของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

เมื่อบวกรวมกับวาจาที่เขาใช้กล่าวก่อนหน้านี้ คุณหนูสี่ตระกูลฉินคาดเดาได้ทันทีว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้านางในขณะนี้คือผู้ใด

บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนหวนหลิง–จ้าวผู้ครองนครเมฆา–บิดาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเป็นท่านตาของฉินอวี้โม่–อวี๋จวินซาน

“ท่านตา”

ฉินอวี้โม่เรียกขานอีกฝ่ายด้วยสรรพนามแสดงความสนิทชิดเชื้อโดยไม่ลังเล

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ ?”

แม้ว่ากลิ่นอายของสตรีน้อยตรงหน้าจะทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย อีกทั้งใบหน้ายังคล้ายคลึงกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นบุตรีของเขามาก ทว่าอวี๋จวินซานก็ยังคงถามออกไปเพื่อความมั่นใจส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ก็เพื่อปกปิดความตื่นเต้นที่มี จ้าวนครเมฆาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาผู้เป็นหลานสาวอย่างช้า ๆ

แม้ว่าฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะดูคล้ายกันถึงเจ็ดส่วน ทว่าคนทั้งคู่กลับให้บรรยากาศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นดูแจ่มใสร่าเริงและขี้เล่น แต่ฉินอวี้โม่ดูสงบเยือกเย็นและเคร่งขรึมกว่า

เมื่อหลานสาวที่ถวิลหามาตลอดปรากฏอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ในอกของอวี๋จวินซานก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันแสนซับซ้อน นี่คือลูกสาวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นบุตรีที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา เขาเฝ้ารอวันที่จะได้พบหน้าหลานสาวตัวน้อยผู้นี้มานานหลายปีแล้ว รอคอยมาตั้งแต่วันที่นางลืมตาดูโลก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเขาก็จำต้องอดทนเอาไว้และคอยฟังข่าวของฉินอวี้โม่จากเหวินหย่าเท่านั้น แต่ครั้งนี้เมื่อได้ยินว่าไป๋อวิ๋นมีภัยร้ายแรงทำให้จ้าวผู้ครองนครเมฆาร้อนใจมากจนต้องรีบมาที่นี่

“เป็นข้าเองท่านตา”

ฉินอวี้โม่มองอวี๋จวินซานด้วยแววตาตื่นเต้น นางอดยิ้มออกมาไม่ได้จริง ๆ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์”

อวี๋จวินซานที่ก้าวเข้ามาประชิดตัวฉินอวี้โม่ดึงผู้เป็นหลานสาวเข้ามาในอ้อมแขนโดยไม่ลังเล

สำหรับสาวน้อยผู้นี้นั้น เขามีทั้งความรู้สึกผิดและความสงสารอัดแน่นในอก ทว่าความภาคภูมิใจก็มากมายไม่แพ้กัน

นางช่างเป็นหลานสาวที่สวรรค์ประทานมาโดยแท้ หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นรู้ว่าบุตรีของนางมีพรสวรรค์สูงส่งถึงเพียงนี้ก็คงจะมีความสุขเหลือล้นเช่นกัน

ในตอนนี้ทุกคนในสนามรบต่างก็งุนงงและประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

อวี๋จวินซานใช้เพียงฝ่ามือก็หยุดยั้งการโจมตีของหลิงซานได้ เพียงแค่เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากพอแล้ว ทว่าหลังจากนั้นกลับพบว่าเขาถูกฉินอวี้โม่เรียกขานว่า ‘ท่านตา’ เรื่องนี้ยิ่งทำให้ทุกคนมึนงงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็อดดีใจแทนคนทั้งสองไม่ได้ที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง

คิดไม่ถึงเลยว่ายอดฝีมือที่น่ากลัวผู้นี้จะเป็นท่านตาของฉินอวี้โม่ หลังจากนี้ไปสถานการณ์ในสนามรบก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเป็นแน่

ใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ หลายคนในสนามรบก็ได้รับรู้ถึงสถานะและตัวตนของอวี๋จวินซาน

ผู้เฒ่าฉินเฟินปู่ของฉินอวี้โม่ รวมไปถึงจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็พอจะคาดเดาสถานะของอวี๋จวินซานออก

ผู้นำตระกูลฉินอดรู้สึกตื้นตันและดีใจแทนหลานสาวไม่ได้ ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เกิดความรู้สึก ‘ไม่ใคร่ชอบใจนัก’ ขึ้นด้วย เขาและอวี๋จวินซานดูเหมือนจะมีอายุไม่ห่างกันมากนัก แล้วเหตุใดความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจึงเหนือชั้นกว่าเขาอย่างเทียบไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงจ้าวครองนครเมฆาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใดในหวนหลิง หากเปรียบกันแล้วตระกูลฉินของเขาแทบไร้ความหมาย

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยยิ้มอย่างมีความสุข ในเมื่ออวี๋จวินซานลงทุนเดินทางมาที่นี่เพื่อพบฉินอวี้โม่ เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้ว เขาเชื่อว่า อย่างไรนครเมฆาก็คงจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหาหนักอกครั้งนี้ได้

“สามหาว ข้าถามว่าเจ้าคือใคร ?”

เดิมทีเหยาปิงก็คิดจะใช้วิธีเจรจาอย่างสันติ ทว่าอวี๋จวินซานกลับไม่ไว้หน้าทั้งยังทำเหมือนว่าไม่เห็นคนจากดินแดนหนเหนืออยู่ในสายตา บุรุษจากแผ่นดินอันสูงส่งจึงโกรธเป็นอย่างมาก

แม้ว่าจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับรูปลักษณ์ของอวี๋จวินซานอยู่บ้าง แต่เขาก็นึกไม่ออกและจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอันน่ากลัวที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของบุคคลปริศนาก็ยังทำให้พวกเขาที่มาจากดินแดนเทพมายาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

“เหอะ ! หลิงซาน ไม่ได้พบเจอกันนานหลายสิบปี อารามของเจ้าโอหังขึ้นเหลือเกินนะ”

อวี๋จวินซานไม่สนใจคนจากดินแดนหนเหนือแต่กลับหันไปหาหลิงซานพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนอำมหิต

คนผู้นี้พยายามจะสังหารหลานสาวของเขา แน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ เป็นแน่

.

Options

not work with dark mode
Reset