ขณะนี้เหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉิน หานโม่ฉือ และอวี๋จวินซานนั่งกันอย่างพร้อมหน้าอยู่ในห้องรับรอง ณ เรือนหลักของจวนตระกูลฉิน
ด้วยฐานะจ้าวนครเมฆา อวี๋จวินซานจึงได้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในระดับเดียวกับผู้นำตระกูล บุรุษผู้แข็งแกร่งกวาดสายตามองไปโดยรอบด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกพึงพอใจกับสถานที่ที่ทั้งบุตรสาวและหลาน ๆ ของเขาเคยอาศัย
“ก่อนอื่น ตระกูลฉินของเราต้องขออภัยอย่างยิ่งในเรื่องของเทียนเอ๋อร์และเสี่ยวอวิ๋น”
ผู้เฒ่าฉินเฟินเอ่ยปากยอมรับความผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋น เขาคิดว่าในเรื่องนี้ตระกูลฉินของเขาสมควรจะรับผิดชอบ
หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนไม่ได้พบเจอกันก็คงจะไม่เกิดเรื่องราวมากมายหลายอย่างตามมา และถ้าเป็นเช่นนั้น ในตอนนี้ธิดาของจ้าวนครเมฆาก็คงได้ใช้ชีวิตอยู่ในนครบ้านเกิดอย่างปลอดภัย
“ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก”
อวี๋จวินซานส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวต่อ “อันที่จริง ข้าคิดว่าบางทีอาจจะเป็นอวิ๋นเอ๋อร์ของข้าเองเสียมากกว่าที่สร้างปัญหาให้ฉินเทียน”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของอวี๋จวินซาน ผู้นำตระกูลฉินก็ชะงักค้างพลางทอแววตางุนงง
ฉินอวี้โม่เองก็หันไปมองจ้าวนครเมฆาด้วยสายตาสงสัยเช่นกัน วาจาของเขายิ่งทำให้นางอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าเฝ้าสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่เคยหยุด หากว่ากล่าวกันตามเหตุและผลแล้ว ทั้งฉินเทียนและอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด ดังนั้นแล้วเรื่องนี้จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับ การล้างแค้นของศัตรูคู่อาฆาต หรือการลิดรอนกำลังคู่ต่อสู้เพื่อชิงดีชิงเด่นกันของคู่อริ
หลังจากตามสืบอยู่เนิ่นนาน ข้าก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรที่แน่ชัดนัก มันราวกับพวกเขาหายตัวไปในอากาศเสียดื้อ ๆ เป็นการหายไปที่ไม่มีทั้งร่องรอยและยังไร้ซึ่งเหตุผล ข้าเฝ้าคิดว่ามันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ดินแดนหวนหลิงของเรามีกลุ่มคนแปลกหน้าเข้ามามากขึ้น ตอนนั้นเองที่ทำให้ข้าเริ่มสะกิดใจ
ในดินแดนหนเหนือทุกวันนี้ นอกเหนือจากนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงแล้ว ก็ยังมีวิหารแห่งความมืด นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ และนครหมื่นอสูรที่ส่งคนของตัวเองเข้ามาในดินแดนหวนหลิง
การเข้ามาของคนจำนวนมากจากดินแดนหนเหนือดูผิดปกติจนเราไม่อาจมองข้าม พวกเราจึงส่งคนจากนครเมฆาเข้าไปสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในที่สุดเราก็ค้นพบความจริงบางอย่าง…”
สายตาทุกคู่ของทุกคนในตระกูลฉินจับจ้องไปยังอวี๋จวินซานอย่างแน่วแน่ พร้อมกันนั้นหูทั้งสองข้างก็เงี่ยฟังเรื่องราวที่แขกผู้มาเยือนเล่าด้วยความตั้งใจ เพราะจนถึงเวลานี้ พวกเขาก็ยังไม่ทราบเลยว่าคนมากมายจากดินแดนหนเหนือเข้ามาในดินแดนหวนหลิงด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่ เห็นชัดว่าจ้าวนครเมฆารู้เรื่องนี้และเขากำลังจะบอกเล่าในสิ่งที่เขารู้
“…ที่คนเหล่านั้นย่างกรายเข้ามาในดินแดนของเราครั้งนี้ เหตุผลมิใช่ใดอื่น แต่เป็นเพราะกายเทพมายาในตำนาน”
อวี๋จวินซานเปิดเผยความจริงที่เขาค้นพบโดยไม่คิดปกปิด
“กายเทพมายา !”
เมื่อได้ยินสิ่งที่อวี๋จวินซานกล่าว ผู้ฟังทั้งหลายต่างก็ตกใจกันถ้วนหน้า มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้จักกายาวิเศษที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นตำนานเล่าขานมาเป็นพันปีนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองกายเทพมายาจะทำให้พรสวรรค์ของคนผู้นั้นสูงส่งเหนือคำบรรยาย สามารถก้าวหน้าได้เร็วเหนือมนุษย์ และกลายเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้คนทั่วหล้า ทว่ากายเทพมายาได้หายสาบสูญไปกว่าพันปีแล้ว เหตุใด จู่ ๆ อวี๋จวินซานจึงกล่าวถึง ?
เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นเพียงตำนาน เหล่าสมาชิกตระกูลฉินทั้งหลายล้วนแตกตื่น เว้นแต่เพียงฉินเฟิน ฉินหยาง และหานโม่ฉือที่ทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
“ใช่ สายข่าวของนครเมฆาแจ้งมาว่าคนจากดินแดนหนเหนือเชื่อว่ากายเทพมายาอยู่ในหวนหลิง ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าคนจากดินแดนหนเหนือไปรับรู้เรื่องกายเทพมายามาได้อย่างไร เท่าที่รู้มามีเพียงว่าพอรู้เรื่องนี้ คนเหล่านั้นก็ส่งคนจำนวนมากเข้ามาในดินแดนของเรา ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะเร่งส่งคนมาค้นหากายเทพมายา บางขุมกำลังอยากจะได้ตัวผู้ครองกายเทพมายา ทว่าบางขุมกำลังก็ต้องการจะกำจัดทิ้ง”
อวี๋จวินซานหยุดวาจาไปหลังกล่าวเรื่องน่าตกใจจบลง จ้าวครองนครเมฆาไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขากวาดสายตามองเหล่าผู้อาวุโสตระกูลฉินเสมือนรอคอยว่าพวกเขาจะกล่าวอย่างไร
ผู้เฒ่าฉินเฟินและฉินหยางนั้นทำเพียงพยักหน้า พวกเขาไม่มีข้อสงสัยในคำบอกเล่าของบุรุษผู้อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย หากเรื่องของกายเทพมายาแพร่งพรายออกไป อย่าว่าแต่คนจากดินแดนหนเหนือเลยแม้แต่ในหวนหลิงเองก็คงจะเกิดความโกลาหลกันยกใหญ่
หากคนเหล่านั้นทราบว่าฉินอวี้โม่มีกายเทพมายาแล้วล่ะก็ คุณหนูสี่ของตระกูลก็คงหนีไม่พ้นที่จะถูกขุมกำลังมากมายตามล่าตัวอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่
จากเรื่องที่อวี๋จวินซานเล่ามา ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเหตุใดคนจากดินแดนที่มองหวนหลิงเป็นเพียงแผ่นดินต่ำชั้นจึงบุกรุกเข้ามามากมายเพียงนี้
“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเทียนเอ๋อร์และเสี่ยวอวิ๋นอย่างไร ? พวกเขาหายสาบสูญไปเป็นสิบปีแล้วนี่”
จนถึงตอนนี้ฉินเฟินก็ยังไม่เข้าใจแจ่มชัดนักเกี่ยวกับเหตุผลที่บุตรชายของเขาหายสาบสูญ และถึงแม้จะไม่ทราบว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหรือไม่ แต่ในเมื่ออวี๋จวินซานกล่าวออกมาเช่นนั้น นั่นแสดงว่าทั้งสองเรื่องจะต้องเกี่ยวเนื่องกันในทางใดทางหนึ่ง ผู้เฒ่าฉินเฟินจึงเอ่ยถามออกไปอย่างใคร่รู้
ความสงสัยของฉินเฟินไม่เกินการคาดเดาของอวี๋จวินซาน เขาจึงกล่าวตอบโดยไม่ลังเล
“ตามข้อมูลที่ข้าส่งคนไปสืบมา เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ที่ฉินเทียนและอวิ๋นเอ๋อร์หายตัวไปก็เป็นเพราะมีขุมกำลังบางแห่งล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของกายเทพมายา และมีบางคนบอกกว่าเสี่ยวอวิ๋นคือผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับกายเทพมายาหรือถึงกับเป็นผู้ครอบครองกายเทพมายาด้วย นี่จึงทำให้เกิดเรื่องมากมายอย่างที่เรารู้ ตอนนี้ดูเหมือนอวิ๋นเอ๋อร์จะถูกขุมกำลังแห่งหนึ่งในดินแดนหนเหนือคุมตัวเอาไว้”
อวี๋จวินซานไม่คิดปกปิดเรื่องราวใด ๆ เขาเล่าถึงข้อมูลทุกอย่างที่เขารู้มาให้ทุกคนฟัง
ทันทีที่เสียงของผู้ครองนครเมฆาสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสตระกูลฉินทั้งหลายก็นิ่งอึ้ง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ ฉินเฟินเองเมื่อได้ทราบสาเหตุของเรื่องวุ่นวายที่เกิดกับครอบครัวของบุตรชายก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ตระกูลฉินของพวกเขาก็เป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ ทว่ากลับไม่เคยสืบรู้ข้อมูลนี้เลยแม้แต่น้อย
แท้จริงแล้วเป็นคนจากดินแดนหนเหนือที่เข้ามาจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่ฝั่งฉินเทียนก็ยังคงออกตามหาตัวผู้เป็นภรรยาอยู่จนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจนักและบางเรื่องก็มีจุดน่าสงสัยไม่น้อย เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือคนจากดินแดนหนเหนือรู้ได้อย่างไรว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมีความเกี่ยวพันกับกายเทพมายา
กายเทพมายาสูญหายไปนานกว่าพันปีแล้ว เหตุใด จู่ ๆ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นถึงได้ข้องเกี่ยวกับกายเทพมายาในตำนานได้
สำหรับตัวผู้เฒ่าฉินเฟิน แม้จะทราบมาก่อนหน้านี้ว่าหลานสาวของเขามีกายเทพมายา แต่ผู้นำตระกูลฉินก็ยังอดนึกสงสัยไม่ได้ เหตุใดผู้มีกายเทพมายาต้องเป็นฉินอวี้โม่ เป็นสาวน้อยที่เกิดจากอวี๋เสี่ยวอวื๋นผู้ที่ถูกตามล่าตัวเพราะมีความเกี่ยวข้องกับกายเทพมายา เสี่ยวโม่เอ๋อร์ถือกำเนิดในยุคหลังจากการสูญหายไปของกายเทพมายานานแสนนาน ปัจจัยอะไรที่นางต้องแบกรับความยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมเรื่องยุ่งยากวุ่นวายมหาศาลเช่นนั้น โชคดีเพียงใดที่ในเวลานี้ขุมกำลังใหญ่ในดินแดนหนเหนือที่น่ากลัวเหล่านั้นไม่ได้ตัวหลานสาวของเขาไป
“หึ ๆ ๆ แต่คนที่รู้จักอวิ๋นเอ๋อร์ดีที่สุดก็คือข้า นางไม่ใช่ผู้ที่ถือครองกายเทพมายา”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของสมาชิกตระกูลฉิน อวี๋จวินซานก็แค่นหัวเราะก่อนจะกล่าว
“เป็นเพราะคนในดินแดนหนเหนือได้รับรู้ข่าวว่าอาจจะมีผู้ถือครองกายเทพมายากำเนิดขึ้นในดินแดนของเรา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงส่งคนมาที่นี่เพื่อค้นหาตัวคนผู้นั้น ยิ่งกว่านี้พวกเขายังส่งคนมาเพื่อค้นหามรดกที่เทพมายาเหลือทิ้งเอาไว้เมื่อหลายพันปีก่อน”
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่ล้ำลึกเกินสายตาและเขตอำนาจของนครเมฆา อวี๋จวินซานได้ส่งยอดฝีมือมากมายคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนจากดินแดนหนเหนือที่ถูกส่งเข้ามาทั้งหมดแล้ว หากคนเหล่านั้นสร้างความวุ่นวายใด ๆ ขึ้น คนของนครเมฆาจะส่งกำลังเข้าปราบปรามทันที
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคือผู้ฟังที่ดูสงบเยือกเย็นที่สุดในห้องนี้ พวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเลยตลอดเวลาที่ฟังอวี๋จวินซานเล่าเรื่อง แม้แต่สีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รู้ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกคนของดินแดนหนเหนือจับไปก็สั่นคลอนหัวใจของฉินอวี้โม่อยู่ไม่น้อย ชั่ววูบหนึ่งมันถึงกับทำให้นางสูญเสียความเยือกเย็นไปจนหมดสิ้นได้ ทว่าความรู้สึกเลวร้ายนั้นก็จางหายไปในพริบตา
หนุ่มสาวทั้งสองหันหน้ามองกันอยู่ชั่วขณะราวกับขอคำปรึกษา ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะกล่าวขึ้น “ท่านตา หากว่าข้าจะบอกว่าข้าคือผู้ครองกายเทพมายา ข้าไม่รู้ว่าท่านจะคิดเช่นไร”
ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าต่างก็เป็นคนที่ฉินอวี้โม่ไว้วางใจที่สุด ฉะนั้นแล้วฉินอวี้โม่จึงไม่อยากจะเก็บปัญหานี้เอาไว้คนเดียวอีกต่อไป ในเมื่อดินแดนหนเหนือส่งคนเข้ามาเพื่อตามหาผู้ครอบครองกายเทพมายา ฉะนั้นนางก็ควรจะบอกเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้เอาไว้
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เคยบอกเรื่องสำคัญนี้ให้ฉินเฟินรับทราบ ในครั้งนี้นางจำเป็นต้องบอกให้อวี๋จวินซานทราบเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมความพร้อมเอาไว้เพราะหากว่าเรื่องนี้รั่วไหลออกไป ปัญหาที่ตามมาก็จะยุ่งยากไม่น้อย
ถึงตอนนั้นถ้าจะบอกให้คนอื่นรับรู้เกรงว่าคงจะสายเกินไปแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ เจ้ามีกายเทพมายาอย่างนั้นรึ ?!”
เมื่อได้ยินวาจาเนิบช้าคล้ายไม่มั่นใจแต่กลับมั่นคงหนักแน่นของผู้เป็นหลานสาว อวี๋จวินซานก็ตกใจอย่างมาก ถึงแม้จะไม่คิดติดใจสงสัยในคำพูดของนาง ทว่าเรื่องนี้มันก็น่าตื่นตกใจสำหรับเขามาก จ้าวนครเมฆาจ้องมองใบหน้างดงามที่ละม้ายคล้ายคลึงกับธิดาของเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะกล่าว “ท่านตาน่าจะพอได้ข่าวมาบ้างว่าก่อนหน้านี้ข้าเป็นเพียงสตรีที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกขานว่า ‘ขยะไร้ค่า’ ข้าคือคนที่มิอาจฝึกฝนยุทธ์ได้ ทว่าตอนนี้พลังยุทธ์ของข้ากลับพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว พรสวรรค์ของข้าสูงขึ้นมาจนน่าประหลาด เหตุผลทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าบังเอิญได้คลายผนึกของกายเทพมายาที่อยู่ในร่างนี้”
เมื่อได้ยินคำเอ่ยอธิบายของฉินอวี้โม่ สีหน้าของอวี๋จวินซานก็กลับมาเป็นปกติ จ้าวนครเมฆาจ้องลึกลงไปในดวงตาของผู้เป็นหลานสาว ในตอนนี้เขาเริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาไม่คิดมาก่อนว่าฉินอวี้โม่จะมีกายเทพมายา แม้ว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่จะสูงผิดปกติ ทว่าเขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้
เมื่อได้รับรู้เรื่องราวน่าตกใจกะทันหัน จ้าวผู้ครองเมฆาก็แทบจะเตรียมใจไม่ทัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขาก็เกิดความกังวลใจขึ้นมามากจนมิอาจปกปิด
คนจากดินแดนหนเหนือเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อค้นหาผู้ครองกายเทพมายา หากคนเหล่านั้นทราบว่าฉินอวี้โม่มีกายเทพมายา ก็ไม่รู้เลยว่าจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจมหาศาลเพียงใดที่จะบุกมาชิงตัวหรือทำอันตรายหลานสาวของเขา
ถึงแม้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่จะไม่เป็นที่กังขาแต่นางก็ยังต้องการความช่วยเหลือ คนจากดินแดนหนเหนือแต่ละคนฝีมือสูงส่งจนไม่อาจประมาทได้ พวกเขาแต่ละคนล้วนถือครองไพ่ตายที่น่ากลัว
หากว่าพวกเขาใช้ไพ่ตายเหล่านั้น แม้แต่ตัวอวี๋จวินซานเองก็คงจะต้องปวดหัวอย่างหนักแน่
“ท่านตากับท่านปู่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ถ้าพวกเขามาที่นี่เพราะกายเทพมายาจริง เช่นนั้นข้าก็จะรับมือกับพวกเขาเอง ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่มีคนนอกรับรู้ ฉะนั้นพวกเรายังไม่จำเป็นต้องกลัว”
ฉินอวี้โม่พยายามปรับเปลี่ยนอารมณ์ของคนรอบข้าง นางกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้มเพื่อคลายความกังวลของพวกเขา
อวี๋จวินซานและฉินเฟินพยักหน้า ฉินอวี้โม่พูดถูก พวกเขาจะมัวตื่นตระหนกไปก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเรื่องนี้ ฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือต้องช่วยกันปกปิดมันต่อไป พร้อมกับพยายามพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
แม้ว่าคนจากดินแดนหนเหนือจะไม่ธรรมดา แต่พวกเขาเองก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกลูกหลานของตนได้โดยง่าย ถ้าใครหรือคนกลุ่มใดต้องการจะพาตัวฉินอวี้โม่ไป มันผู้นั้นก็จำเป็นจะต้องข้ามศพของฉินเฟินและอวี๋จวินซานไปเสียก่อน
“ท่านตา ถ้าท่านแม่ถูกขุมกำลังใหญ่ในดินแดนหนเหนือจับตัวไปอย่างที่ท่านเล่า ขุมกำลังที่จับตัวท่านแม่ไปก็สมควรจะรับรู้นานแล้วว่านางไม่ใช่ผู้ครองกายเทพมายา แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่ถูกปล่อยตัวมาอีกล่ะเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่เบี่ยงประเด็นของเรื่องนี้ คุณหนูสี่เลือกถามถึงผู้เป็นมารดาแทน
“เหอะ ต่อให้พวกมันรู้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ไม่เกี่ยวข้องกับกายเทพมายาก็เถอะ แต่พวกมันก็คงไม่ปล่อยตัวนางง่าย ๆ หรอก หากให้ข้าเดา มันคงจะหาวิธีกระทำการบางอย่างกับนครเมฆาของเรา แต่ไหนแต่ไรคนจากดินแดนหนเหนือไม่ชมชอบนครเมฆาเราอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าอารามต้องการจะเป็นใหญ่ในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ให้ได้ หากไม่ผิดจากที่คิด ข้าว่าพวกมันจะใช้อวิ๋นเอ๋อร์เป็นเครื่องต่อรองและข่มขู่เรา”
อวี๋จวินซานกล่าวถึงข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ยิ่งยวด แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่าเรื่องจะเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่ แต่มันก็พอจะมีความเป็นไปได้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเห็นด้วยกับการคาดการณ์ของท่านตา
อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองสูงสุดแห่งนครเมฆาและคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ไม่ได้รับรู้เลยว่า ในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่เขากล่าวมามีส่วนถูกต้องอยู่หลายส่วน และความจริงดังกล่าวจะได้ประจักษ์แก่สายตาของพวกเขาในอนาคต
หลายปีก่อน ขุมกำลังในดินแดนหนเหนือใช้วิธีการบางอย่างตรวจสอบจนพบร่องรอยของกายเทพมายาในตัวฉินอวี้โม่ ทว่าพวกเขากลับคิดว่าผู้ครองกายเทพมายาคืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เป็นมารดาของนาง ด้วยเหตุนี้คนเหล่านั้นจึงส่งกำลังออกมาตามจับตัวนางไป
แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเขาก็ค้นพบว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ใช่ผู้ครองกายเทพมายา อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบก่อนหน้านี้ของพวกเขาย่อมไม่มีทางผิดพลาด ดังนั้นแล้วกลุ่มคนปริศนาจึงกักตัวนางเอาไว้เพื่อสืบสวนหาความสัมพันธ์ระหว่างกายเทพมายาที่ตรวจสอบได้กับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
หลังจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไป ฉินเทียนก็รีบตามหาตัวผู้เป็นภรรยาอย่างบ้าคลั่ง แต่เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอ ดังนั้นแล้วเขาจึงไปหลบซ่อนเพื่อเก็บตัวฝึกฝนและแอบซ่องสุ่มกำลังอยู่ในดินแดนอ้างว้างไปพร้อมกับการพัฒนาดินแดนแห่งนั้น บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลฉินกำลังพยายามทำให้ตนมีพลังและอำนาจเพียงพอที่จะไปช่วยเหลือสตรีผู้เป็นที่รักของเขา
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวของมารดาที่ท่านตาบอกเล่าเข้ากับเรื่องราวของบิดาตามที่หานโม่ฉือเคยบอก ตอนนี้ในที่สุดเหตุผลและข่าวคราวเรื่องการหายตัวไปของบุพการีทั้งสองก็เริ่มคลี่คลายลงแล้ว และมันก็ช่วยคลายข้อสงสัยในหัวใจของฉินอวี้โม่ลงไปได้มาก
ทว่าในเวลานี้ยังมีอีกเรื่องที่นางยังไม่เข้าใจนัก นั่นคือ ความยิ่งใหญ่ของกายเทพมายานั้นต้องมหาศาลสักแค่ไหน เหตุใดผู้คนในดินแดนหนเหนือที่เก่งกาจเลอเลิศจึงให้ค่ากับกายเทพมายามากถึงเพียงนั้น ? แล้วเหตุใดคนจำนวนมากถึงต้องออกมาตามหามัน หรือว่ากายวิเศษนี้จะมีความลับใหญ่หลวงที่นางยังไม่เคยรู้ซ่อนอยู่ ?
.