คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 214 สำนึก

ขณะนี้ที่ด้านหน้าเรือนรับรองของจวนตระกูลฉินมีสมาชิกในตระกูลจำนวนหนึ่งมารวมตัวกัน ทุกคนขมวดคิ้วพลางจ้องมองบุรุษหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาขุ่นเคือง บุรุษผู้หนึ่งชี้นิ้วไปที่หวังรั่วจวินพร้อมกับเปิดปากด่าทอ

“หวังรั่วจวินผู้นี้โอหังนัก ก่อนหน้านี้กล้าหาเรื่องคุณหนูสี่ของเรา เคยว่าร้ายนางให้เสียหาย แถมยังกีดกันไม่ยอมให้นางเข้าไปในสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเมื่อครั้งก่อน ที่ต้องมีสภาพอย่างวันนี้ก็เป็นเพราะทำตัวเอง”

“ก่อนหน้านี้ ในตอนที่ถูกหาเรื่อง คุณหนูสี่เคยลั่นวาจาต่อหน้าพวกเขาว่าถ้าจะให้นางไปเหยียบสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอีกครั้ง หวังรั่วจวินและชวี่เซียวต้องมาคุกเข่าขอขมานางก่อน ตอนนั้นคนตระกูลหวังผู้นี้ไม่คิดจะไยดี มาวันนี้เป็นอย่างไรล่ะ ? หึ ! ข้าว่าเขาคงคิดไม่ถึงหรอกว่าจะต้องมีสภาพเหมือนวันนี้”

“ว่าแต่เหตุใดถึงไม่เห็นชวี่เซียวเลยล่ะ ?”

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าให้เดา คนเห็นแก่ตัวแถมยังน่ารังเกียจอย่างชวี่เซียวคงไม่ยอมมาคุกเข่าที่นี่เป็นแน่ ข้าว่าเขาคงจะหนีไปแล้วล่ะ”

คนในตระกูลฉินส่วนมากรับรู้เรื่องราวความบาดหมาง และทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่ ณ สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไม่เห็นชวี่เซียวมา พวกเขาหลายคนจึงได้ประจักษ์กับสายตาว่าผู้อาวุโสแห่งสมาคมมีชื่อเสียงผู้นั้นน่ารังเกียจสมคำร่ำลือ

“เหอะ คนผู้นั้นหยาบช้าโดยสันดาน ข้าไม่แปลกใจเลยที่เห็นเขาไม่โผล่หัวมา”

“ถ้าเทียบกันกับหวังรั่วจวินที่อ่อนเยาว์กว่าแล้ว ถึงแม้เขาจะก้าวร้าวและจองหอง แต่ก็ยังมีความกล้าหาญสมเป็นลูกผู้ชายมากกว่า”

ด้วยเพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของชวี่เซียว กอปรกับเห็นแววตาอันแน่วแน่กับสิ่งที่นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรทำ ความเย้ยหยันในสายตาที่ใช้มองดูหวังรั่วจวินก็จางหายไปหลายส่วน ในตอนนี้หลายคนเริ่มมองถึงข้อดีของคุณชายอันธพาลผู้นี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

“นั่นไงคุณหนูสี่มาแล้ว”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัวต่อหน้าหวังรั่วจวิน ผู้คนที่ยืนรายล้อมอยู่ก็เงียบเสียง ขณะเดียวกันทุกสายตาก็จับจ้องอยู่ที่สตรีโฉมงาม พวกเขาอยากจะเห็นว่านางจะมีท่าทีอย่างไร ด้วยการที่อีกฝ่ายไม่อาจทำตามเงื่อนไขได้ครบถ้วนเช่นนี้ คุณหนูสี่จะยอมให้การช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่

เรื่องความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่กับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นเป็นที่ทราบกันจนทั่วในจวนตระกูลฉิน อีกทั้งยังมีเรื่องที่สมาคมแห่งนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือในการต่อต้านศัตรูเมื่อครั้งเมืองหลวงเกิดศึกใหญ่ ซ้ำร้ายยังด่าทอตระกูลฉินให้เสียหายและโทษว่าเป็นต้นเหตุแห่งสงคราม  ในฐานะสมาชิกของตระกูล พวกเขาทุกคนย่อมไม่พอใจสมาคมใหญ่แห่งนี้มาก ทว่าเพราะครั้งนี้เป็นเรื่องของความเป็นความตาย แต่ละคนจึงมีความคิดเห็นต่างกันออกไป บางคนอยากให้เพิกเฉยเสียจะได้หลาบจำ ทว่าบางคนก็อยากให้เมตตาช่วยเหลือ การตัดสินใจของคุณหนูสี่ต่อเรื่องนี้จึงเป็นที่สนใจอย่างยิ่งยวด

หลังจากการโขกศีรษะเป็นครั้งที่ห้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมามอง หวังรั่วจวินก็พบว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือฉินอวี้โม่

“ฉินอวี้โม่ ได้โปรดช่วยปู่ของข้าด้วย”

หวังรั่วจวินกล่าวอ้อนวอนออกไปทันทีโดยไม่ลังเล ความหยิ่งยโสที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น ในเวลานี้คุณชายตระกูลหวังดูไม่ต่างจากเด็กน้อยไร้ที่พึ่ง ไร้พิษภัย ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตบุพการีของตัวเอง

“ฉินอวี้โม่ ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ดีกับเจ้าหลายอย่าง ข้ายั่วยุเจ้าก็หลายครั้ง แต่วันนี้ข้ามาขอขมา ข้าขอโทษจากใจจริง ได้โปรดช่วยท่านปู่ของข้า ขอเพียงเจ้ายอมช่วยเรา ข้ายินดีทำทุกอย่าง”

หวังรั่วจวินมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น

ตอนนี้ทัศนคติที่เขามีต่อฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องความห่างชั้นของตัวเองกับฉินอวี้โม่เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงแม้จะมีความรู้สึก ‘ไม่อยากยอมรับความจริงเหล่านี้’ หลงเหลืออยู่ แต่ตัวเขาคงต้องปลงใจกับเรื่องนี้

“เหตุใดข้าถึงไม่เห็นชวี่เซียวเลย ?”

แม้จะรับรู้เหตุผลจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนแล้ว แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังคงถามออกไป

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าวของฉินอวี้โม่ สีหน้าของหวังรั่วจวินก็ตกต่ำลงไปในทันที คุณชายผู้เคยวางท่าอวดเบ่งไปทั่วหลบสายตาสตรีตรงหน้าอย่างไม่อาจห้าม

อย่างไรก็ตาม เขาก็เปิดปากตอบ “ชวี่เซียวไม่ยินยอมที่จะมาคุกเข่าขอขมาเจ้า ตอนนี้เขาตัดสินใจออกจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไปแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือจะไปที่ใด”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ หวังรั่วจวินก็เงยหน้ามองดูฉินอวี้โม่อีกครั้งพลางกล่าวต่อ “ฉินอวี้โม่ ถึงชวี่เซียวจะไม่มา แต่ถ้าเจ้ายอมไปช่วยท่านปู่ของข้า ข้าจะยอมทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ อย่าว่าแต่ขอขมาเลย ต่อให้ต้องเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้าข้าก็ไม่คัดค้าน”

ตอนนี้เขารู้ดีว่าทั้งตนและตระกูลหวังไม่มีสิ่งใดจะเสียแล้ว เพื่อช่วยท่านปู่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้ฉินอวี้โม่ยอมให้ความช่วยเหลือให้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังรั่วจวินก็ก้มหน้าแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นอีกหลายคราต่อหน้าฉินอวี้โม่ สิ่งที่คุณชายรองตระกูลหวังทำไม่มีความลังเลปนอยู่เลยสักนิด

เมื่อเห็นการกระทำของหวังรั่วจวิน ฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะอย่างเสียไม่ได้ ความรู้สึกย่ำแย่ที่เคยมีในใจเกี่ยวกับคนผู้นี้พลันมลายไปจนหมด

ไม่ว่าก่อนหน้านี้หวังรั่วจวินจะทำสิ่งเลวร้ายใดไว้ก็ตาม แต่การที่คุณชายจอมโอหังเช่นเขายอมทำถึงเพียงนี้เพื่อปู่ผู้เป็นที่รัก ย่อมนับว่าสมควรแก่การชื่นชม หวังรั่วจวินมีหัวใจที่รักพวกพ้องในสมาคมและวงศ์ตระกูลของตัวเองโดยแท้

ด้วยคุณธรรมดังกล่าวของบุรุษผู้เคยเกเรจนเสมือนไม่อาจสั่งสอนได้ผู้นี้ ก็เพียงพอจะทำให้ฉินอวี้โม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยได้แล้ว

“เรื่องพวกนั้นไว้ค่อยหารือกันทีหลังเถอะ ตอนนี้ เจ้าช่วยพาข้าไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้แล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าว ขณะเดียวกันก็ใช้พลังมายาอ่อน ๆ แอบช่วยพยุงให้หวังรั่วจวินลุกขึ้นมา

เมื่อได้ยินประโยคล่าสุดของสตรีที่เขาพร่ำวอน หวังรั่วจวินก็ตื่นตะลึงไปชั่วครู่ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง

“ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ”

นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกล่าวคำขอบคุณซ้ำ ๆ พลันลุกขึ้นยืนแล้วรีบนำทางผู้ช่วยเหลือไปยังสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในทันที

จงหัวและหวังรั่วอีที่ติดตามมาด้วยต่างก็โล่งใจมากเช่นกัน ใบหน้าของทั้งสองกระจ่างไปด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง

จงหัวมั่นใจว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนใจแคบ แม้ว่าจะมีเรื่องขัดแย้งกับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่อย่างไรนางก็ต้องยอมช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน

“ขอบคุณแม่นางอวี้โม่มาก”

บุรุษอาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเดินมาอยู่ข้างกายคุณหนูตระกูลฉินก่อนจะส่งยิ้มให้นางพลางกล่าวขอบคุณ

“ผู้อาวุโสจงหัว นี่ถือเป็นสิ่งตอบแทนบุญคุณที่ท่านเคยช่วยเหลือข้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ นางประทับใจในอัธยาศัยไมตรีของผู้อาวุโสผู้นี้ตั้งแต่เมื่อคราแรกพบ ในตอนนั้น ไม่เพียงไร้ท่าทีเหยียดหยาม แต่เขายังวิ่งตามมาขอโทษนางแทนสมาคมอีกทั้งยังมอบกรงอสูรมายาจำนวนมากให้นางโดยไม่คิดเงิน

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ จงหัวก็ยิ้มร่าด้วยความปลาบปลื้มและตื้นตัน บุญคุณของฉินอวี้โม่ในคราวนี้เขาจดจำไว้ในใจแล้ว

ทุกคนไม่กล้าชักช้า คณะช่วยเหลือเดินทางมาถึงสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว

หวังรั่วจวินพาฉินอวี้โม่ตรงไปยังห้องที่หวังเหลียงอยู่อย่างรีบร้อน ใบหน้าของเขามีความกังวลฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นหวังรั่วจวินกลับมา ผู้อาวุโสทั้งหลายในสมาคมที่มารวมตัวกันอยู่ในห้องก็มองเขาด้วยสายตาหวั่นวิตก ทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ตามหลังเข้ามาด้วยทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอเพียงฉินอวี้โม่ยอมช่วย ความหวังที่ท่านประธานสมาคมของพวกเขาจะรอดชีวิตก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ทันทีที่เดินเข้ามา ฉินอวี้โม่ก็รู้ได้ในพริบตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เฒ่าหวังเหลียง

นางคาดว่าคงมีสิ่งใดรบกวนในขณะที่ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกำลังตั้งสมาธิสยบอสูรสวรรค์อยู่เป็นแน่ และนั่นเป็นสาเหตุทำให้จิตวิญญาณของเขาได้รับความเสียหาย โชคร้ายที่อสูรสวรรค์ตัวนี้ก็ร้ายกาจนัก มันตอบโต้หวังเหลียงอย่างรุนแรงโดยส่งพลังจิตวิญญาณเข้าต้านทานพลังจิตวิญญาณของเขา สุดท้ายหวังเหลียงจึงไม่สามารถถอนตัวออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ ในตอนนี้จิตวิญญาณของเขาค่อย ๆ ถูกกัดกินไปทีละน้อย รอคอยเพียงเวลาดับสูญเท่านั้น

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าลองดูก่อนว่าเจ้าพอจะสยบมังกรตัวนี้ได้หรือไม่ ถ้าคิดว่าทำไม่ไหวก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า แต่ถ้าพอทำได้ก็ได้โปรดช่วยท่านประธานของเราด้วย”

แม้จะร้อนรนเพียงใด แต่จงหัวก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนฉินอวี้โม่ก่อน อสูรในกรงขังเป็นถึง ‘มังกรพสุธา’ อสูรสวรรค์เผ่าพันธุ์มังกรที่นับว่ายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งไม่น้อยในหมู่อสูรระดับเดียวกัน การจะสยบมันให้ได้ย่อมต้องใช้พลังและสมาธิอย่างมหาศาล

“มังกรพสุธาตัวนี้เป็นแค่อสูรสวรรค์ธรรมดาเท่านั้น ข้าคิดว่าคงไม่มีปัญหา”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง มังกรที่อยู่ในกรงเป็นเพียงอสูรสวรรค์ธรรมดา สำหรับนางผู้เคยรับมือและทำพันธสัญญากับอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิมาแล้ว เรื่องเท่านี้ย่อมไม่ยากเย็นนัก

ผู้ฝึกสัตว์อสูรสาวที่ครอบครองกองทัพอสูรมายาขนาดย่อมเดินเข้าไปหามังกรธาตุดินก่อนจะวางฝ่ามือลงข้างกรงขังแล้วเริ่มขั้นตอนการสยบอสูร

ผู้เฒ่าหวังเหลียงต้องการจะกล่าวบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เริ่มส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปในจิตของมังกรพสุธาแล้ว เขาก็หยุดถ้อยคำของตัวเองเอาไว้แล้วคอยมองดูนางอย่างเงียบ ๆ

ไม่นานนัก ผู้ฝึกสัตว์อสูรชราก็รู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของมังกรพสุธาที่เคยต่อต้านเขาอย่างรุนแรงจางหายไปจนหมดราวกับไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเจ้ามังกรที่แสนเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ก็หมอบราบลงไปกับพื้นตรงหน้าเขา

“เฮ้อ~ !…”

หวังเหลียงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ไม่คิดเลยว่าตัวเขาจะรอดพ้นจากความตายมาได้ การยังมีลมหายใจอยู่ดูหน้าลูกหลานนับว่ามีค่าโดยแท้

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองดรุณีน้อยผู้ช่วยชีวิต เขาก็อุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง

“เจ้า… คือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ ไม่สิ ต้องเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะแล้วแน่ ๆ !”

บุรุษผู้เฒ่าชี้นิ้วอันสั่นเครือไปยังฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของท่านประธานใหญ่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

ความเร็วในการสยบอสูรสวรรค์ของฉินอวี้โม่อยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่สามารถสยบอสูรสวรรค์ได้จะต้องอยู่ในระดับราชันขึ้นไป แต่ความเร็วในระดับที่ฉินอวี้โม่ใช้ถือเป็นเรื่องน่าตกใจที่แม้แต่ผู้ฝึกสัตว์อสูรในระดับจักรพรรดิก็ยังทำไม่ได้ เห็นทีว่าความเร็วเช่นนี้คงมีแต่ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเท่านั้นจึงจะทำได้

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ผู้เฒ่าหวังเหลียงก็แทบไม่อยากเชื่อสายตา ต้องทราบก่อนว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะมีอยู่แต่เพียงในตำนานเท่านั้น

การที่เขาเคยกล่าวห้ามไม่ให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเข้ามาในสมาคมถือเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่ควรให้แพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกของใต้หล้าไปในทันที

“คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉิน ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจากใจจริงที่ยอมช่วยเหลือข้าในวันนี้”

ทว่าหวังเหลียงที่เป็นถึงผู้ปกครองสูงสุดของขุมกำลังมีชื่อเสียงนั้นดึงสติกลับมาได้อย่างว่องไว เขาโค้งคำนับฉินอวี้โม่โดยไม่สนใจลำดับอาวุโส ก่อนจะกล่าวต่อ “สิ่งที่ข้าเคยกล่าวกับเจ้าไปก่อนหน้านี้ ข้าต้องขออภัย การหยุดไม่ให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเข้ามาในสมาคมถือเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก”

เมื่อเห็นท่าทีของประธานสมาคมผู้เฒ่า ฉินอวี้โม่ก็โค้งคำนับกลับก่อนจะกล่าวตอบ “เรื่องนั้นลืมมันไปเสียเถอะเจ้าค่ะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป ที่สำคัญหลานชายของท่านก็ขอขมาข้าด้วยตัวเองแล้ว ข้าไม่คิดถือสาอะไรอีก”

เมื่อได้ฟังวาจาของฉินอวี้โม่ หวังเหลียงก็เบาใจไปหลายส่วน ใบหน้าชราระบายรอยยิ้มกว้าง ความคิดที่เคยมองฉินอวี้โม่เป็นเด็กโอหังหายไปจนหมด ตอนนี้ฉินอวี้โม่ในสายตาเขาเป็นสตรีที่น่าเทิดทูนเป็นอย่างมาก

“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนท่านประธานสมาคม”

เมื่อนึกถึงการกระทำของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของขุมกำลังนี้แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง  “ในช่วงเวลาวิกฤตของบ้านเมือง สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกลับไม่ส่งคนของตัวเองมาช่วยรับมือศัตรูและยังกล่าววาจาที่แสดงถึงความเห็นแก่ตัว เรื่องนี้ทำให้เกียรติแห่งสมาคมใหญ่ของท่านต้องมัวหมอง สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นที่ครหาไม่น้อย ข้าคิดว่ามันไม่สมควรยิ่งนัก อย่างน้อยพวกท่านก็น่าจะคิดถึงบ้านเมืองให้มากกว่านี้”

บุรุษผู้เพิ่งถูกช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่เข้าใจเรื่องที่ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทีที่แสดงถึงความงุนงงไม่เสแสร้งของผู้เฒ่าหวังเหลียง ฉินอวี้โม่ก็อึ้งไปเช่นกัน ‘นี่นางพลาดเรื่องใดไปหรือไม่ ?’ ราวกับว่าหวังเหลียงไม่ทราบเรื่องที่สมาคมของตัวเองปฏิเสธการส่งคนเข้าช่วยนครไป๋อวิ๋นเมื่อครั้งเกิดวิกฤตเลย

แม้จะไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่ด้วยความสำนึกผิด หวังรั่วจวินก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าคล้ายกลืนยาขม “คือว่า… อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเพราะข้ากับชวี่เซียวบอกเล่าข้อมูลเท็จให้ท่านปู่ได้ฟัง”

ในตอนนั้นผู้ที่รับเรื่องจากผู้อาวุโสของตระกูลฉินที่มาแจ้งข่าวเรื่องสงครามคือหวังรั่วจวินและผู้อาวุโสชวี่เซียว ด้วยความแค้นที่มีต่อฉินอวี้โม่ทำให้ทั้งสองช่วยกันบิดเบือนข้อมูลและนำเรื่องไปบอกเล่าให้ผู้เฒ่าหวังเหลียงฟังในอีกแบบหนึ่ง

ชวี่เซียวยุยงท่านประธานสมาคมว่า ตระกูลฉินเป็นผู้ล่วงเกินอารามก่อนและชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งเหตุผลที่อารามบุกมาไป๋อวิ๋นในครานี้ก็เพื่อแก้แค้นตระกูลฉินแต่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้ขุมกำลังอื่น ๆ ในไป๋อวิ๋นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่สมควรต้องแบกรับผลแห่งการกระทำที่ไม่ได้ก่อ ฉะนั้นสมาคมของพวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง ยิ่งกว่านั้นทั้งหวังรั่วจวินและชวี่เซียวยังช่วยกันกล่าวหาว่าตระกูลฉินเกรงว่าจะรับมือกับอารามไม่ได้จึงปั้นเรื่องโกหก แสร้งหาแนวร่วมเพื่อต่อกรกับศัตรู

ด้วยข้อมูลเช่นนั้น ผู้เฒ่าหวังเหลียงจึงตัดสินใจไม่ส่งคนไปช่วยเหลือตระกูลฉิน ถัดจากนั้นเขาก็รีบเร่งเข้าสู่กระบวนการเก็บตัวทำให้ไม่รับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก

แท้จริงแล้ว ในตอนนั้นมีหลายคราที่หวังรั่วจวินรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงและควรจะสารภาพความจริงกับผู้เป็นปู่ให้ได้รับทราบ ทว่าชวี่เซียวที่ถูกความแค้นบังตาได้ห้ามปราบเอาไว้

ในเวลานั้นหวังรั่วจวินยังคงมีความอิจฉาฉินอวี้โม่อยู่ในใจ เขาจึงเห็นด้วยกับชวี่เซียวอย่างไม่น่าให้อภัย จนถึงตอนนี้เขายังไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ทำให้ผู้เฒ่าประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่รู้ความจริงมาจนถึงตอนนี้

“เรื่องเป็นมาอย่างไรกัน ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หวังรั่วจวินกล่าว อีกทั้งยังมองเห็นท่าทางที่เก้อกระดากไม่กล้าสบตาของหลานชาย ผู้เฒ่าหวังเหลียงก็ถามเสียงเข้ม คิ้วชราขมวดเป็นปมแน่น

“แท้จริงแล้ว ที่อารามบุกมาในครั้งนี้มีเป้าหมายคือนครไป๋อวิ๋น แต่เป็นเพราะข้าถูกความริษยาบังตาทำให้บอกท่านปู่ไปว่าเป้าหมายของพวกเขามีเพียงตระกูลฉิน เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง”

หวังรั่วจวินกล้าวด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดจริง ๆ เขาก้มหน้าลงต่ำไม่กล้ามองตาผู้ใด

“ว่าอย่างไรนะ ?! หน็อย~ เจ้าเด็กสารเลว นี่เจ้ากล้าปิดบังเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับข้าเชียวรึ ?!”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นหวังเหลียงก็ตวาดลั่น เขาโกรธจนหน้าดำคล้ำ บุรุษชราจ้องมองหลานชายตัวดีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

หากเขารู้ความจริงเรื่องนี้ก่อน มีหรือจะไม่ส่งคนเข้าร่วมได้ ไป๋อวิ๋นคือบ้านเกิดของพวกเขาทุกคน ไม่มีวันที่เขาจะยอมให้ผู้ใดมารุกรานได้อย่างเด็ดขาด

“ท่านปู่ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้ามันเป็นคนเห็นแก่ตัว !”

หวังรั่วจวินคุกเข่าลงกับพื้นพลางกล่าวเสียงดังอย่างสำนึกผิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 214 สำนึก

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 214 สำนึก

ขณะนี้ที่ด้านหน้าเรือนรับรองของจวนตระกูลฉินมีสมาชิกในตระกูลจำนวนหนึ่งมารวมตัวกัน ทุกคนขมวดคิ้วพลางจ้องมองบุรุษหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาขุ่นเคือง บุรุษผู้หนึ่งชี้นิ้วไปที่หวังรั่วจวินพร้อมกับเปิดปากด่าทอ

“หวังรั่วจวินผู้นี้โอหังนัก ก่อนหน้านี้กล้าหาเรื่องคุณหนูสี่ของเรา เคยว่าร้ายนางให้เสียหาย แถมยังกีดกันไม่ยอมให้นางเข้าไปในสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเมื่อครั้งก่อน ที่ต้องมีสภาพอย่างวันนี้ก็เป็นเพราะทำตัวเอง”

“ก่อนหน้านี้ ในตอนที่ถูกหาเรื่อง คุณหนูสี่เคยลั่นวาจาต่อหน้าพวกเขาว่าถ้าจะให้นางไปเหยียบสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอีกครั้ง หวังรั่วจวินและชวี่เซียวต้องมาคุกเข่าขอขมานางก่อน ตอนนั้นคนตระกูลหวังผู้นี้ไม่คิดจะไยดี มาวันนี้เป็นอย่างไรล่ะ ? หึ ! ข้าว่าเขาคงคิดไม่ถึงหรอกว่าจะต้องมีสภาพเหมือนวันนี้”

“ว่าแต่เหตุใดถึงไม่เห็นชวี่เซียวเลยล่ะ ?”

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าให้เดา คนเห็นแก่ตัวแถมยังน่ารังเกียจอย่างชวี่เซียวคงไม่ยอมมาคุกเข่าที่นี่เป็นแน่ ข้าว่าเขาคงจะหนีไปแล้วล่ะ”

คนในตระกูลฉินส่วนมากรับรู้เรื่องราวความบาดหมาง และทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่ ณ สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไม่เห็นชวี่เซียวมา พวกเขาหลายคนจึงได้ประจักษ์กับสายตาว่าผู้อาวุโสแห่งสมาคมมีชื่อเสียงผู้นั้นน่ารังเกียจสมคำร่ำลือ

“เหอะ คนผู้นั้นหยาบช้าโดยสันดาน ข้าไม่แปลกใจเลยที่เห็นเขาไม่โผล่หัวมา”

“ถ้าเทียบกันกับหวังรั่วจวินที่อ่อนเยาว์กว่าแล้ว ถึงแม้เขาจะก้าวร้าวและจองหอง แต่ก็ยังมีความกล้าหาญสมเป็นลูกผู้ชายมากกว่า”

ด้วยเพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของชวี่เซียว กอปรกับเห็นแววตาอันแน่วแน่กับสิ่งที่นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรทำ ความเย้ยหยันในสายตาที่ใช้มองดูหวังรั่วจวินก็จางหายไปหลายส่วน ในตอนนี้หลายคนเริ่มมองถึงข้อดีของคุณชายอันธพาลผู้นี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

“นั่นไงคุณหนูสี่มาแล้ว”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัวต่อหน้าหวังรั่วจวิน ผู้คนที่ยืนรายล้อมอยู่ก็เงียบเสียง ขณะเดียวกันทุกสายตาก็จับจ้องอยู่ที่สตรีโฉมงาม พวกเขาอยากจะเห็นว่านางจะมีท่าทีอย่างไร ด้วยการที่อีกฝ่ายไม่อาจทำตามเงื่อนไขได้ครบถ้วนเช่นนี้ คุณหนูสี่จะยอมให้การช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่

เรื่องความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่กับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นเป็นที่ทราบกันจนทั่วในจวนตระกูลฉิน อีกทั้งยังมีเรื่องที่สมาคมแห่งนั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือในการต่อต้านศัตรูเมื่อครั้งเมืองหลวงเกิดศึกใหญ่ ซ้ำร้ายยังด่าทอตระกูลฉินให้เสียหายและโทษว่าเป็นต้นเหตุแห่งสงคราม  ในฐานะสมาชิกของตระกูล พวกเขาทุกคนย่อมไม่พอใจสมาคมใหญ่แห่งนี้มาก ทว่าเพราะครั้งนี้เป็นเรื่องของความเป็นความตาย แต่ละคนจึงมีความคิดเห็นต่างกันออกไป บางคนอยากให้เพิกเฉยเสียจะได้หลาบจำ ทว่าบางคนก็อยากให้เมตตาช่วยเหลือ การตัดสินใจของคุณหนูสี่ต่อเรื่องนี้จึงเป็นที่สนใจอย่างยิ่งยวด

หลังจากการโขกศีรษะเป็นครั้งที่ห้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมามอง หวังรั่วจวินก็พบว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือฉินอวี้โม่

“ฉินอวี้โม่ ได้โปรดช่วยปู่ของข้าด้วย”

หวังรั่วจวินกล่าวอ้อนวอนออกไปทันทีโดยไม่ลังเล ความหยิ่งยโสที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น ในเวลานี้คุณชายตระกูลหวังดูไม่ต่างจากเด็กน้อยไร้ที่พึ่ง ไร้พิษภัย ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตบุพการีของตัวเอง

“ฉินอวี้โม่ ข้ารู้ว่าข้าทำไม่ดีกับเจ้าหลายอย่าง ข้ายั่วยุเจ้าก็หลายครั้ง แต่วันนี้ข้ามาขอขมา ข้าขอโทษจากใจจริง ได้โปรดช่วยท่านปู่ของข้า ขอเพียงเจ้ายอมช่วยเรา ข้ายินดีทำทุกอย่าง”

หวังรั่วจวินมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น

ตอนนี้ทัศนคติที่เขามีต่อฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องความห่างชั้นของตัวเองกับฉินอวี้โม่เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงแม้จะมีความรู้สึก ‘ไม่อยากยอมรับความจริงเหล่านี้’ หลงเหลืออยู่ แต่ตัวเขาคงต้องปลงใจกับเรื่องนี้

“เหตุใดข้าถึงไม่เห็นชวี่เซียวเลย ?”

แม้จะรับรู้เหตุผลจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนแล้ว แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังคงถามออกไป

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าวของฉินอวี้โม่ สีหน้าของหวังรั่วจวินก็ตกต่ำลงไปในทันที คุณชายผู้เคยวางท่าอวดเบ่งไปทั่วหลบสายตาสตรีตรงหน้าอย่างไม่อาจห้าม

อย่างไรก็ตาม เขาก็เปิดปากตอบ “ชวี่เซียวไม่ยินยอมที่จะมาคุกเข่าขอขมาเจ้า ตอนนี้เขาตัดสินใจออกจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไปแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือจะไปที่ใด”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ หวังรั่วจวินก็เงยหน้ามองดูฉินอวี้โม่อีกครั้งพลางกล่าวต่อ “ฉินอวี้โม่ ถึงชวี่เซียวจะไม่มา แต่ถ้าเจ้ายอมไปช่วยท่านปู่ของข้า ข้าจะยอมทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ อย่าว่าแต่ขอขมาเลย ต่อให้ต้องเป็นสุนัขรับใช้ของเจ้าข้าก็ไม่คัดค้าน”

ตอนนี้เขารู้ดีว่าทั้งตนและตระกูลหวังไม่มีสิ่งใดจะเสียแล้ว เพื่อช่วยท่านปู่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้ฉินอวี้โม่ยอมให้ความช่วยเหลือให้ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังรั่วจวินก็ก้มหน้าแล้วโขกศีรษะลงกับพื้นอีกหลายคราต่อหน้าฉินอวี้โม่ สิ่งที่คุณชายรองตระกูลหวังทำไม่มีความลังเลปนอยู่เลยสักนิด

เมื่อเห็นการกระทำของหวังรั่วจวิน ฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะอย่างเสียไม่ได้ ความรู้สึกย่ำแย่ที่เคยมีในใจเกี่ยวกับคนผู้นี้พลันมลายไปจนหมด

ไม่ว่าก่อนหน้านี้หวังรั่วจวินจะทำสิ่งเลวร้ายใดไว้ก็ตาม แต่การที่คุณชายจอมโอหังเช่นเขายอมทำถึงเพียงนี้เพื่อปู่ผู้เป็นที่รัก ย่อมนับว่าสมควรแก่การชื่นชม หวังรั่วจวินมีหัวใจที่รักพวกพ้องในสมาคมและวงศ์ตระกูลของตัวเองโดยแท้

ด้วยคุณธรรมดังกล่าวของบุรุษผู้เคยเกเรจนเสมือนไม่อาจสั่งสอนได้ผู้นี้ ก็เพียงพอจะทำให้ฉินอวี้โม่ยอมยื่นมือเข้าช่วยได้แล้ว

“เรื่องพวกนั้นไว้ค่อยหารือกันทีหลังเถอะ ตอนนี้ เจ้าช่วยพาข้าไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรได้แล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าว ขณะเดียวกันก็ใช้พลังมายาอ่อน ๆ แอบช่วยพยุงให้หวังรั่วจวินลุกขึ้นมา

เมื่อได้ยินประโยคล่าสุดของสตรีที่เขาพร่ำวอน หวังรั่วจวินก็ตื่นตะลึงไปชั่วครู่ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง

“ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ”

นายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกล่าวคำขอบคุณซ้ำ ๆ พลันลุกขึ้นยืนแล้วรีบนำทางผู้ช่วยเหลือไปยังสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในทันที

จงหัวและหวังรั่วอีที่ติดตามมาด้วยต่างก็โล่งใจมากเช่นกัน ใบหน้าของทั้งสองกระจ่างไปด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง

จงหัวมั่นใจว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนใจแคบ แม้ว่าจะมีเรื่องขัดแย้งกับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่อย่างไรนางก็ต้องยอมช่วยพวกเขาอย่างแน่นอน

“ขอบคุณแม่นางอวี้โม่มาก”

บุรุษอาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเดินมาอยู่ข้างกายคุณหนูตระกูลฉินก่อนจะส่งยิ้มให้นางพลางกล่าวขอบคุณ

“ผู้อาวุโสจงหัว นี่ถือเป็นสิ่งตอบแทนบุญคุณที่ท่านเคยช่วยเหลือข้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบ นางประทับใจในอัธยาศัยไมตรีของผู้อาวุโสผู้นี้ตั้งแต่เมื่อคราแรกพบ ในตอนนั้น ไม่เพียงไร้ท่าทีเหยียดหยาม แต่เขายังวิ่งตามมาขอโทษนางแทนสมาคมอีกทั้งยังมอบกรงอสูรมายาจำนวนมากให้นางโดยไม่คิดเงิน

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ จงหัวก็ยิ้มร่าด้วยความปลาบปลื้มและตื้นตัน บุญคุณของฉินอวี้โม่ในคราวนี้เขาจดจำไว้ในใจแล้ว

ทุกคนไม่กล้าชักช้า คณะช่วยเหลือเดินทางมาถึงสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว

หวังรั่วจวินพาฉินอวี้โม่ตรงไปยังห้องที่หวังเหลียงอยู่อย่างรีบร้อน ใบหน้าของเขามีความกังวลฉายชัดขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นหวังรั่วจวินกลับมา ผู้อาวุโสทั้งหลายในสมาคมที่มารวมตัวกันอยู่ในห้องก็มองเขาด้วยสายตาหวั่นวิตก ทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ตามหลังเข้ามาด้วยทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอเพียงฉินอวี้โม่ยอมช่วย ความหวังที่ท่านประธานสมาคมของพวกเขาจะรอดชีวิตก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ทันทีที่เดินเข้ามา ฉินอวี้โม่ก็รู้ได้ในพริบตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เฒ่าหวังเหลียง

นางคาดว่าคงมีสิ่งใดรบกวนในขณะที่ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกำลังตั้งสมาธิสยบอสูรสวรรค์อยู่เป็นแน่ และนั่นเป็นสาเหตุทำให้จิตวิญญาณของเขาได้รับความเสียหาย โชคร้ายที่อสูรสวรรค์ตัวนี้ก็ร้ายกาจนัก มันตอบโต้หวังเหลียงอย่างรุนแรงโดยส่งพลังจิตวิญญาณเข้าต้านทานพลังจิตวิญญาณของเขา สุดท้ายหวังเหลียงจึงไม่สามารถถอนตัวออกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ ในตอนนี้จิตวิญญาณของเขาค่อย ๆ ถูกกัดกินไปทีละน้อย รอคอยเพียงเวลาดับสูญเท่านั้น

“แม่นางอวี้โม่ เจ้าลองดูก่อนว่าเจ้าพอจะสยบมังกรตัวนี้ได้หรือไม่ ถ้าคิดว่าทำไม่ไหวก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่า แต่ถ้าพอทำได้ก็ได้โปรดช่วยท่านประธานของเราด้วย”

แม้จะร้อนรนเพียงใด แต่จงหัวก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนฉินอวี้โม่ก่อน อสูรในกรงขังเป็นถึง ‘มังกรพสุธา’ อสูรสวรรค์เผ่าพันธุ์มังกรที่นับว่ายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งไม่น้อยในหมู่อสูรระดับเดียวกัน การจะสยบมันให้ได้ย่อมต้องใช้พลังและสมาธิอย่างมหาศาล

“มังกรพสุธาตัวนี้เป็นแค่อสูรสวรรค์ธรรมดาเท่านั้น ข้าคิดว่าคงไม่มีปัญหา”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง มังกรที่อยู่ในกรงเป็นเพียงอสูรสวรรค์ธรรมดา สำหรับนางผู้เคยรับมือและทำพันธสัญญากับอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิมาแล้ว เรื่องเท่านี้ย่อมไม่ยากเย็นนัก

ผู้ฝึกสัตว์อสูรสาวที่ครอบครองกองทัพอสูรมายาขนาดย่อมเดินเข้าไปหามังกรธาตุดินก่อนจะวางฝ่ามือลงข้างกรงขังแล้วเริ่มขั้นตอนการสยบอสูร

ผู้เฒ่าหวังเหลียงต้องการจะกล่าวบางสิ่ง แต่เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เริ่มส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปในจิตของมังกรพสุธาแล้ว เขาก็หยุดถ้อยคำของตัวเองเอาไว้แล้วคอยมองดูนางอย่างเงียบ ๆ

ไม่นานนัก ผู้ฝึกสัตว์อสูรชราก็รู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของมังกรพสุธาที่เคยต่อต้านเขาอย่างรุนแรงจางหายไปจนหมดราวกับไม่เคยมีมาก่อน ส่วนเจ้ามังกรที่แสนเกรี้ยวกราดก่อนหน้านี้ก็หมอบราบลงไปกับพื้นตรงหน้าเขา

“เฮ้อ~ !…”

หวังเหลียงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ไม่คิดเลยว่าตัวเขาจะรอดพ้นจากความตายมาได้ การยังมีลมหายใจอยู่ดูหน้าลูกหลานนับว่ามีค่าโดยแท้

อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปมองดรุณีน้อยผู้ช่วยชีวิต เขาก็อุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง

“เจ้า… คือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับจักรพรรดิ ไม่สิ ต้องเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะแล้วแน่ ๆ !”

บุรุษผู้เฒ่าชี้นิ้วอันสั่นเครือไปยังฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของท่านประธานใหญ่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

ความเร็วในการสยบอสูรสวรรค์ของฉินอวี้โม่อยู่ในระดับที่น่ากลัวมาก ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่สามารถสยบอสูรสวรรค์ได้จะต้องอยู่ในระดับราชันขึ้นไป แต่ความเร็วในระดับที่ฉินอวี้โม่ใช้ถือเป็นเรื่องน่าตกใจที่แม้แต่ผู้ฝึกสัตว์อสูรในระดับจักรพรรดิก็ยังทำไม่ได้ เห็นทีว่าความเร็วเช่นนี้คงมีแต่ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเท่านั้นจึงจะทำได้

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ผู้เฒ่าหวังเหลียงก็แทบไม่อยากเชื่อสายตา ต้องทราบก่อนว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะมีอยู่แต่เพียงในตำนานเท่านั้น

การที่เขาเคยกล่าวห้ามไม่ให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเข้ามาในสมาคมถือเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่ควรให้แพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกของใต้หล้าไปในทันที

“คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉิน ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจากใจจริงที่ยอมช่วยเหลือข้าในวันนี้”

ทว่าหวังเหลียงที่เป็นถึงผู้ปกครองสูงสุดของขุมกำลังมีชื่อเสียงนั้นดึงสติกลับมาได้อย่างว่องไว เขาโค้งคำนับฉินอวี้โม่โดยไม่สนใจลำดับอาวุโส ก่อนจะกล่าวต่อ “สิ่งที่ข้าเคยกล่าวกับเจ้าไปก่อนหน้านี้ ข้าต้องขออภัย การหยุดไม่ให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะเข้ามาในสมาคมถือเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดเท่าที่เคยมีมา ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก”

เมื่อเห็นท่าทีของประธานสมาคมผู้เฒ่า ฉินอวี้โม่ก็โค้งคำนับกลับก่อนจะกล่าวตอบ “เรื่องนั้นลืมมันไปเสียเถอะเจ้าค่ะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป ที่สำคัญหลานชายของท่านก็ขอขมาข้าด้วยตัวเองแล้ว ข้าไม่คิดถือสาอะไรอีก”

เมื่อได้ฟังวาจาของฉินอวี้โม่ หวังเหลียงก็เบาใจไปหลายส่วน ใบหน้าชราระบายรอยยิ้มกว้าง ความคิดที่เคยมองฉินอวี้โม่เป็นเด็กโอหังหายไปจนหมด ตอนนี้ฉินอวี้โม่ในสายตาเขาเป็นสตรีที่น่าเทิดทูนเป็นอย่างมาก

“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะเตือนท่านประธานสมาคม”

เมื่อนึกถึงการกระทำของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของขุมกำลังนี้แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง  “ในช่วงเวลาวิกฤตของบ้านเมือง สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรกลับไม่ส่งคนของตัวเองมาช่วยรับมือศัตรูและยังกล่าววาจาที่แสดงถึงความเห็นแก่ตัว เรื่องนี้ทำให้เกียรติแห่งสมาคมใหญ่ของท่านต้องมัวหมอง สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นที่ครหาไม่น้อย ข้าคิดว่ามันไม่สมควรยิ่งนัก อย่างน้อยพวกท่านก็น่าจะคิดถึงบ้านเมืองให้มากกว่านี้”

บุรุษผู้เพิ่งถูกช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่เข้าใจเรื่องที่ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทีที่แสดงถึงความงุนงงไม่เสแสร้งของผู้เฒ่าหวังเหลียง ฉินอวี้โม่ก็อึ้งไปเช่นกัน ‘นี่นางพลาดเรื่องใดไปหรือไม่ ?’ ราวกับว่าหวังเหลียงไม่ทราบเรื่องที่สมาคมของตัวเองปฏิเสธการส่งคนเข้าช่วยนครไป๋อวิ๋นเมื่อครั้งเกิดวิกฤตเลย

แม้จะไม่ค่อยอยากยอมรับ แต่ด้วยความสำนึกผิด หวังรั่วจวินก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าคล้ายกลืนยาขม “คือว่า… อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเพราะข้ากับชวี่เซียวบอกเล่าข้อมูลเท็จให้ท่านปู่ได้ฟัง”

ในตอนนั้นผู้ที่รับเรื่องจากผู้อาวุโสของตระกูลฉินที่มาแจ้งข่าวเรื่องสงครามคือหวังรั่วจวินและผู้อาวุโสชวี่เซียว ด้วยความแค้นที่มีต่อฉินอวี้โม่ทำให้ทั้งสองช่วยกันบิดเบือนข้อมูลและนำเรื่องไปบอกเล่าให้ผู้เฒ่าหวังเหลียงฟังในอีกแบบหนึ่ง

ชวี่เซียวยุยงท่านประธานสมาคมว่า ตระกูลฉินเป็นผู้ล่วงเกินอารามก่อนและชักศึกเข้าบ้าน ซึ่งเหตุผลที่อารามบุกมาไป๋อวิ๋นในครานี้ก็เพื่อแก้แค้นตระกูลฉินแต่เพียงผู้เดียว เรื่องนี้ขุมกำลังอื่น ๆ ในไป๋อวิ๋นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่สมควรต้องแบกรับผลแห่งการกระทำที่ไม่ได้ก่อ ฉะนั้นสมาคมของพวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง ยิ่งกว่านั้นทั้งหวังรั่วจวินและชวี่เซียวยังช่วยกันกล่าวหาว่าตระกูลฉินเกรงว่าจะรับมือกับอารามไม่ได้จึงปั้นเรื่องโกหก แสร้งหาแนวร่วมเพื่อต่อกรกับศัตรู

ด้วยข้อมูลเช่นนั้น ผู้เฒ่าหวังเหลียงจึงตัดสินใจไม่ส่งคนไปช่วยเหลือตระกูลฉิน ถัดจากนั้นเขาก็รีบเร่งเข้าสู่กระบวนการเก็บตัวทำให้ไม่รับรู้เรื่องราวของโลกภายนอก

แท้จริงแล้ว ในตอนนั้นมีหลายคราที่หวังรั่วจวินรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงและควรจะสารภาพความจริงกับผู้เป็นปู่ให้ได้รับทราบ ทว่าชวี่เซียวที่ถูกความแค้นบังตาได้ห้ามปราบเอาไว้

ในเวลานั้นหวังรั่วจวินยังคงมีความอิจฉาฉินอวี้โม่อยู่ในใจ เขาจึงเห็นด้วยกับชวี่เซียวอย่างไม่น่าให้อภัย จนถึงตอนนี้เขายังไม่กล้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านปู่ทำให้ผู้เฒ่าประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่รู้ความจริงมาจนถึงตอนนี้

“เรื่องเป็นมาอย่างไรกัน ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่หวังรั่วจวินกล่าว อีกทั้งยังมองเห็นท่าทางที่เก้อกระดากไม่กล้าสบตาของหลานชาย ผู้เฒ่าหวังเหลียงก็ถามเสียงเข้ม คิ้วชราขมวดเป็นปมแน่น

“แท้จริงแล้ว ที่อารามบุกมาในครั้งนี้มีเป้าหมายคือนครไป๋อวิ๋น แต่เป็นเพราะข้าถูกความริษยาบังตาทำให้บอกท่านปู่ไปว่าเป้าหมายของพวกเขามีเพียงตระกูลฉิน เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง”

หวังรั่วจวินกล้าวด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดจริง ๆ เขาก้มหน้าลงต่ำไม่กล้ามองตาผู้ใด

“ว่าอย่างไรนะ ?! หน็อย~ เจ้าเด็กสารเลว นี่เจ้ากล้าปิดบังเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับข้าเชียวรึ ?!”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นหวังเหลียงก็ตวาดลั่น เขาโกรธจนหน้าดำคล้ำ บุรุษชราจ้องมองหลานชายตัวดีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

หากเขารู้ความจริงเรื่องนี้ก่อน มีหรือจะไม่ส่งคนเข้าร่วมได้ ไป๋อวิ๋นคือบ้านเกิดของพวกเขาทุกคน ไม่มีวันที่เขาจะยอมให้ผู้ใดมารุกรานได้อย่างเด็ดขาด

“ท่านปู่ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้ามันเป็นคนเห็นแก่ตัว !”

หวังรั่วจวินคุกเข่าลงกับพื้นพลางกล่าวเสียงดังอย่างสำนึกผิด

Options

not work with dark mode
Reset