เดิมทีฉินอวี้โม่ตั้งใจจะไม่ถือสาหาความวาจาของอวี๋เฟิง นางหมายใจว่าจะขอหลีกเลี่ยง ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับอันธพาลอย่างเขา ทว่าคนน่ารังเกียจผู้นี้กลับกล้าเหยียดหยามบิดาของนาง …หากอยากหาที่ตายนัก นางก็จะสงเคราะห์ให้ !
ในชีวิตก่อน ฉินอวี้โม่ที่เป็นนักฆ่ามีชีวิตอันเดียวดาย ‘เธอ’ ไม่เคยสัมผัสกับความอบอุ่นของการมีครอบครัวเลยสักครั้ง มาถึงชีวิตนี้ เมื่อเริ่มได้พบเจอบุคคลร่วมสายเลือด พี่ชาย พี่สาว ปู่ ย่า ตา ยาย ได้รับรู้ว่าบิดามารดาทุ่มเททุกสิ่ง เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อให้นางมีชีวิตรอด รวมถึงมิตรสหายที่คอยเกื้อหนุนจุนเจือ มอบมิตรภาพและความหวังดีมาให้ คนในครอบครัวและคนรอบข้างจึงมีน้ำหนักในใจฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
อย่าว่าแต่รังแกบุคคลที่นางรัก แม้แต่การล่วงเกินพวกเขาด้วยวาจาก็ทำให้นางรู้สึกโกรธเคืองไม่อาจทนได้แล้ว แล้วตอนนี้คนนิสัยย่ำแย่ผู้นี้กำลังด่าทอบิดาของนางต่อหน้า นี่ยังไม่รวมกับการที่เขาเหยียดหยามพวกนางว่าเป็นคนไร้ค่าและทำให้นครเมฆาเสื่อมเสีย การถูกเหยียดหยามซ้ำ ๆ ถูกสาดถ้อยคำด่าทอครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ยากจะทนได้
“จริงอยู่ที่มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าเสียเวลาสนทนากับคนโง่เขลา’ แต่เจ้ากล้ามาเหยียดหยามบิดาและสหายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกเสียวันนี้ เกรงว่าคนโง่งมไร้ปัญญาอย่างเจ้าจะหลงคิดไปเองว่าตนเป็นใหญ่ในนครเมฆา จนทำให้ผู้อื่นมาดูหมิ่นตระกูลของมารดาข้าได้ !”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย็นชา จิตสังหารอันเข้มข้นพวยพุ่งออกมาจากร่าง ใบหน้างดงามเรียบนิ่งแต่ทว่ากลับมองดูน่าขนลุกชวนใจสะท้าน
การจะสังหารคนผู้นี้เสียที่นี่ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือนครเมฆาและคนตรงหน้าก็เป็นถึงหลานชายของผู้มีตำแหน่งใหญ่ในแผ่นดิน อีกทั้งแม้ว่าฉินอวี้โม่จะเป็นเชื้อสายของผู้ครองนคร แต่ก็ยังมีข้อกังขาเรื่องสายเลือด หากนางสังหารอวี๋เฟิงไป เกรงว่าตัวนางก็คงจะมีจุดจบที่ไม่ดีเช่นกัน
ทว่าวันนี้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นนางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะสั่งสอนบทเรียนให้กับคนตรงหน้า ให้เขาได้รู้ว่าแมลงเม่าที่บังอาจล้อเล่นกับไฟมีจุดจบอย่างไร
“ฮ่า ๆ ๆ ตัวเจ้าน่ะรึอยากจะสั่งสอนข้า ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ อวี๋เฟิงก็หัวเราะลั่นก่อนจะเบะปากเหยียดหยามไม่แยแส เขาไม่เชื่อว่าคนจากแผ่นดินเบื้องล่างอย่างสตรีตรงหน้าจะทำอะไรเขาได้
เป็นความจริงที่ว่าในนครเมฆาจะมียอดฝีมือที่มีระดับพลังสูงกว่าขอบเขตราชันทูตสวรรค์อยู่หลายคน และคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็มีมาก อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นเพียงสตรีวัยไม่ถึงสิบแปดปีจากดินแดนนอกนครเมฆาอันต่ำต้อย ต่อให้เขาเหลือพลังเพียงครึ่งเดียว นางก็ยังไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
“ต่อให้กลับไปฝึกมาใหม่อีกร้อ–”
— ฟุ่บ ! —
ทว่ายังไม่ทันที่วาจาเหยียดหยามอีกประโยคจะจบลง อวี๋เฟิงก็รู้สึกว่ามีเงาร่างหนึ่งตรงเข้ามาหา พลันฝ่ามืออันทรงพลังก็ฟาดปะทะที่ใบหน้าเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
— เพี๊ยะ ! —
อวี๋เฟิงถูกฝ่ามือของฉินอวี้โม่ฟาดจนหน้าหัน กรามและศีรษะทั้งหมดสั่นสะเทือน ร่างของหลานชายผู้อาวุโสสามแห่งนครเมฆากระเด็นไปในอากาศแล้วตกลงกระแทกพื้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนที่อวี๋เฟิงรู้สึกตัว เขาก็นอนกองอยู่ที่พื้นแล้วและพบว่าใบหน้าซีกหนึ่งของตนชาด้านไร้ความรู้สึก
เขาคือจอมยุทธ์ราชันทูตสวรรค์ เป็นไปได้อย่างไรกันที่เขาจะพลาดท่าเสียทีให้กับสตรีอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่เป็นเพียงคนนอกนคร เพราะคนเบื้องล่างนั่น ต่อให้ยอดฝีมือราชันทูตสวรรค์ระดับเดียวกันก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้
“นายน้อย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ ?”
เหล่าคนรับใช้ที่อวี๋เฟิงพามาด้วยเองก็ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ในตอนที่พวกเขารู้ตัวก็พบว่านายน้อยของตัวเองร่วงลงมากระแทกพื้นเสียแล้ว ทุกคนมองไปยังร่างของอวี๋เฟิงด้วยสีหน้าปั้นยาก ก่อนจะเริ่มวิ่งเข้าไปแล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ฮึ่ย~ พวกโง่ ไม่มีตารึ โดนซัดกระแทกพื้นขนาดนี้มันจะไม่เป็นอะไรได้ยังไงเล่า ?!”
อวี๋เฟิงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดพลางลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ฝ่ามือของฉินอวี้โม่เมื่อครู่จู่โจมเข้ามาในตอนที่เขายังไม่ทันตั้งตัว แต่นั่นก็เป็นเพียงฝ่ามือธรรมดา การโจมตีที่ไร้พลังมายาเช่นนั้นไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยนิสัยถือตัวไม่ยอมเสียหน้า การถูกตบกระเด็นเช่นนี้นับว่าหยามศักดิ์ศรีบุรุษผู้สูงส่งของอวี๋เฟิงยิ่งนัก นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้ ตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่ ในนครเมฆาแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำกับเขาถึงเพียงนี้ สตรีต่ำศักดิ์ไร้ค่าถือดีอย่างไรถึงได้กล้าใช้ฝ่ามือสกปรกตบหน้าเขา นี่เท่ากับรนหาที่ตาย !
“เจ้ากล้าลงมือกับข้า เจ้ามันสมควรตาย !”
อวี๋เฟิงมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวด้วยเสียงแค้นเคือง
เมื่อเห็นอวี๋เฟิงโกรธจนหน้าดำคล้ำ ฉินอวี้โม่ก็แย้มยิ้มสะใจพลางใช้หางตาแลมองคนตรงหน้าด้วยความดูแคลน
เห็นเช่นนี้นางก็มั่นใจยิ่งขึ้นว่าคนผู้นี้เป็นพวกโง่งมโดยแท้
เมื่อครู่เขาไม่ได้สำนึกเลยว่าเป็นเพราะนางยั้งมือให้ หากว่านางลงมืออย่างจริงจังเขาก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะมายืนทำกิริยาน่าตายอยู่เช่นนี้ได้
ตัวเขาเองก็เป็นถึงจอมยุทธ์ทูตสวรรค์ที่ระดับพลังไม่ใช่น้อย ๆ เรื่องแค่นี้กลับดูไม่ออก คนผู้นี้ถูกความยโสในจิตใจบดบังปัญญาไปจนหมดสิ้น
“เจ้าโง่ !”
เยว่ชิงเฉิงแค่นเสียงสาดคำเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้ นางไม่คิดเลยว่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นสูงของนครเมฆาจะโง่งมได้ขนาดนี้ นี่ทำให้นางนึกถึงหวังรั่วจวินแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที
คนผู้นี้ก็เหมือนกับหวังรั่วจวินที่เที่ยวระรานผู้คนและกำลังหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่รู้อะไรเลย เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนที่กำลังหาเรื่องอยู่นั้นเป็นบุคคลที่ไม่ควรจะยั่วยุมากที่สุดแล้ว …‘หากมีโอกาสนางก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าจุดจบของอวี๋เฟิงนั้นจะเหมือนกับคุณชายอันธพาลแห่งนครไป๋อวิ๋นหรือไม่’
“บัดซบ ! เจ้าพวกคนนอกต้อยต่ำ วันนี้ข้าผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าการยั่วยุนายน้อยแห่งนครเมฆาจะได้รับผลเช่นไร !”
อวี๋เฟิงกำหมัดแน่น ชนชั้นสูงอย่างเขาไม่เคยถูกหยามเกียรติมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน ทว่าวันนี้เขากลับถูกกลุ่มคนไร้ค่าตรงหน้าดูหมิ่นหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนว่าคนหยิ่งยโสอย่างเขาไม่มีทางทนได้
อวี๋เฟิงเรียกอสูรมายาออกมาทันที
สมกับที่เป็นถึงลูกหลานของตระกูลผู้ครองนครเมฆาอันยิ่งใหญ่ พวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีเลิศโดยแท้จริง เห็นได้จากอสูรคู่ใจของเขาที่เป็นถึงอสูรสวรรค์ระดับราชันเผ่าพันธุ์นักล่า–วิฬารหางสั้น
วิฬารหางสั้นตัวนี้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับวิฬารหางสั้นในดินแดนต้องห้ามที่ฉินอวี้โม่เคยพบเจอมาแล้วไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่าพวกมันทั้งคู่คืออสูรร่วมสายพันธุ์ ทว่าวิฬารหางสั้นที่คุณหนูตระกูลฉินพบในดินแดนต้องห้ามนั้นเป็น ‘อสูรระดับจักรพรรดิสวรรค์’ ขณะที่ตัวตรงหน้าเป็นเพียง ‘อสูรสวรรค์ระดับราชัน’ เท่านั้น
“เจ้าแมวน้อยตัวนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
หงส์แดงปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่โดยไม่ต้องรอคำสั่ง มันจ้องมองวิฬารหางสั้นของอวี๋เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
สหายเก่าของมันในดินแดนต้องห้ามเองก็เป็นวิฬารหางสั้นเช่นกัน และพวกมันก็เคยประมือกันมาหลายคราแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับวิฬารหางสั้นที่เป็นเพียงระดับราชันเช่นนี้ จักรพรรดิอสูรสายพันธุ์หงส์แดงจึงไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย
อสูรสวรรค์ตรงหน้ามีระดับที่ต่ำกว่า ฉะนั้นนางหงส์จึงไม่เห็นมันอยู่ในสายตา
“เหอะ !”
อวี๋เฟิงหมดความอดทนแล้ว เขาปลดปล่อยสภาวะพลังทั้งหมดตรงเข้ากดดันฉินอวี้โม่ พริบตาต่อมาร่างของหลานชายผู้อาวุโสสามก็พุ่งทะยานเข้าจู่โจมสตรีที่เขารังเกียจ
ฉินอวี้โม่ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าไปรับมืออวี๋เฟิงตรง ๆ
ดูเหมือนว่าหมัดของบุรุษอันธพาลผู้อยู่ร่วมเครือญาติจะเบาดั่งปุยนุ่น เมื่อเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย ทว่าสตรีอดีตนักฆ่าก็ไม่คิดจะออมมือกับคนโง่เช่นนี้ การใช้กำลังสั่งสอนเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด หากว่านางยอมถอยให้คนผู้นี้ ต่อไปอีกฝ่ายก็จะคิดเองอีกว่านางเป็นเพียงลูกแกะที่รังแกได้ง่าย ๆ
หงส์แดงดูจะสนุกอยู่ไม่น้อย มันเข้าไปพัวพันอยู่กับวิฬารหางสั้นที่ระดับต่ำกว่าด้วยรอยยิ้ม ทั้งจิกตี หลอกล่อ หยอกล้อ ถึงแม้ลูกไก่จะแพ้ทางแมว แต่หากเป็นหงส์แดงในตำนานไม่มีวันพ่ายแก่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ เป็นแน่
อสูรสาวผู้มีนิสัยใจร้อนตรงไปตรงมาพุ่งเข้ารุกไล่อีกฝ่ายอย่างหนักในทันทีตั้งแต่เริ่มสู้
และด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากเข้ามาเป็นอสูรในพันธสัญญาของฉินอวี้โม่ทำให้ไม่ใช่เพียงได้เปรียบจากการที่เคยรับมือกับวิฬารหางสั้นที่มีพลังสูงกว่า แต่หงส์แดงยังมีระดับพลังอันเหนือชั้นกว่าคู่ต่อสู้อย่างแทบจะเรียกว่าเทียบไม่ติด ภาพที่ปรากฏออกมาจึงไม่ต่างจากผู้ใหญ่รังแกเด็กเลยแม้แต่น้อย
ทางด้านอวี๋เฟิง เดิมทีคิดว่าตนเองเหนือกว่าฉินอวี้โม่มาก แต่เมื่อเริ่มสู้กันได้เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็พบว่าตนเองคิดผิดมหันต์
อยู่ต่อหน้าฉินอวี้โม่อย่าว่าแต่เป็นฝ่ายได้เปรียบเลย แค่ความเร็วในการเคลื่อนไหวเขาก็ไม่อาจเทียบเคียงแล้ว บุรุษผู้คิดว่าตนสูงส่งตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่ว่องไวกว่าเขามากนัก อีกทั้งความแข็งแกร่งและพลังมายายังมีมากกว่าเขาด้วย
ไม่นานนักอวี๋เฟิงก็ถูกบังคับให้กลายเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว เขาไม่มีโอกาสได้โต้กลับเลยสักครั้ง
“อย่าคิดว่าตัวเองเกิดในนครเมฆาแล้วจะดีเลิศกว่าใครในโลก แท้จริงแล้วตัวเจ้านั้นไม่มีค่าอะไรเลย แม้ว่าพวกเราจะเกิดที่ดินแดนภายนอกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องด้อยกว่าเจ้า อวี๋เฟิง จงจำเอาไว้ ต่อไปอย่าดูหมิ่นผู้ใดด้วยชาติกำเนิด !”
ฉินอวี้โม่ตวาดเสียงเย็นชาก่อนจะส่งฝ่ามือซัดเข้าใส่อีกฝ่ายอีกครั้ง
ครั้งนี้ฉินอวี้โม่ใช้พลังมากขึ้นกว่าเดิม ฝ่ามือนี้นางใส่พลังเข้าไปถึงเจ็ดส่วน
อวี๋เฟิงถูกฝ่ามือของฉินอวี้โม่กระแทกเข้ากลางอกจนร่างกระเด็นถอยหลังออกไปไกล คุณชายผู้สูงส่งกระอักเลือดกลางอากาศแล้วตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ในเวลานี้ ใบหน้าของอวี๋เฟิงซีดลงไปถนัดตา เขามองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่หวาดกลัว ไม่อยากเชื่อ และตื่นตะลึง
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเด็กสาวอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดที่เติบโตจากดินแดนแสนแร้นแค้นด้านนอกถึงได้แข็งแกร่งกว่าตัวเขาเองที่เกิดและเติบใหญ่ในนครอันอุดมสมบูรณ์ด้วยพลังมายานี้ได้
เป็นที่ทราบกันอย่างแน่ชัดว่าพรสวรรค์ของทุกคนในนครเมฆาสูงส่งโดดเด่นเหนือผู้ใดในแผ่นดินหวนหลิง สตรีผู้นี้มาจากดินแดนภายนอก เต็มที่ก็ควรจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ทูตสวรรค์ธรรมดาเท่านั้น แต่นี่นางกลับเหนือชั้นกว่าเขาได้
อวี๋เฟิงจินตนาการไม่ออกเลยว่ามีเงื่อนไขใดบ้างที่จะทำให้สตรีอายุสิบเจ็ดจากโลกภายนอกมีระดับพลังเข้าถึงขอบเขตราชันทูตสวรรค์ได้เร็วถึงเพียงนี้
“พวกโง่ ถึงขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังมัวยืนเฉยอยู่อีกเรอะ ?! รีบเข้าไปจัดการพวกมันเร็วเข้าสิ !”
อย่างไรก็ตาม อวี๋เฟิงก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าฝ่ามือของฉินอวี้โม่จะทำให้เขาบาดเจ็บได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับสาหัส นั่นแสดงว่าสุดกำลังของนางคงมีอยู่เพียงเท่านี้ อวี๋เฟิงเริ่มกระหยิ่มยิ้มย่อง พรรคพวกของเขามีจำนวนมากกว่า และแต่ละคนก็มีฝีมือสูงส่ง หากทั้งสองกลุ่มปะทะกัน อย่างไรฝ่ายเขาก็ต้องเอาชนะได้
เหล่าคนที่กล้าหยามเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจะต้องได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด หลานชายของผู้อาวุโสสามรีบตะโกนสั่งการเหล่าคนรับใช้ที่พามาด้วยทันที
วันนี้เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าใครจะมองว่าใช้คนมากรังแกคนน้อย ขอเพียงสั่งสอนพวกฉินอวี้โม่ได้ก็ถือว่าเพียงพอ
บ่าวรับใช้ของอวี๋เฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหันมามองหน้ากันแล้วพุ่งเข้าจู่โจมหลานสาวของจ้าวนครเมฆาในทันที
ตั้งแต่เมื่อครู่ พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของฉินอวี้โม่แล้ว หากจะสู้ตัวต่อตัว เกรงว่าคงจะมีแต่เสียทีให้นาง ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือกระจายกำลังเข้าปิดล้อมสตรีผู้นั้นไว้และแบ่งคนไปจัดการเหล่าสหายเพื่อทำลายสมาธินาง
มีสามคนที่มุ่งตรงเข้าหากลุ่มของฉีอวี้เพื่อเล่นงานพวกเขา ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือเล่นงานฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วแน่น เหล่าสหายของนางนั้นแม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่หากเทียบกับคนของนครเมฆาแล้วพวกเขายังด้อยกว่ามาก ในกลุ่มนั้นมีเพียงหลินซิวหยาคนเดียวที่อยู่ในขอบเขตทูตสวรรค์ ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือล้วนอยู่ในขอบเขตมายาบรรพชน
ขณะที่สามคนที่บุกเข้าไปหาพวกเขา แต่ละคนคือจอมยุทธ์ทูตสวรรค์ ยิ่งกว่านั้นก็ยังน่าจะมีประสบการณ์การต่อสู้สูง
ในตอนที่กำลังคิดจะเข้าไปช่วยพวกพ้อง จู่ ๆ คุณหนูตระกูลฉินก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังจากยอดฝีมือสองคนที่มีระดับพลังไม่ธรรมดากำลังพุ่งตรงเข้ามาใกล้
“อวี๋เฟิง นี่เจ้ากำลังทำอะไร !”
เสียงอันนุ่มนวลทว่ากรุ่นโกรธเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะเห็นร่างของสองบุรุษที่น่าจะมีอายุในรุ่นราวคราวเดียวกับหลินซิวหยาปรากฏขึ้นข้าง ๆ กลุ่มของฉีอวี้
บุรุษทั้งสองมีหน้าตาและรูปลักษณ์ที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ หากมิใช่ว่าคนหนึ่งสวมชุดขาวส่วนอีกคนสวมชุดดำก็เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดแยกแยะตัวตนของพวกเขาได้ ทั้งสองมีใบหน้าหล่อเหลาสบายตา บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจและอยากเข้าไปผูกมิตร
ทันทีที่ได้เห็นสองบุรุษผู้มาใหม่ ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาตัวตนของทั้งสองได้
พวกเขาทั้งคู่คือบุตรของลุงสามอวี๋เสี่ยวไห่ พวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝด แฝดผู้พี่มีนามว่า– ‘อวี๋หยาง’ มีนิสัยเงียบขรึมยิ้มยาก ส่วนผู้น้องอ่อนโยนนุ่มนวลมีนามว่า– ‘อวี๋ปิง’
สองคนนั้นคือลูกพี่ลูกน้องของฉินอวี้โม่
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของพี่น้องฝาแฝด ฉีฉีก็อุทานอย่างมีความสุข
“พี่หยาง พี่ปิง !”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ดูเหมือนว่านางจะรู้จักมักคุ้นกับทั้งอวี๋หยางและอวี๋ปิงเป็นอย่างดี
“เป็นน้องน้อยฉีเอ๋อร์นั่นเอง ข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้ามาหลายปีแล้วนะ เจ้าโตเป็นสาวถึงขนาดนี้แล้วหรือ ?”
อวี๋ปิงที่จดจำฉีฉีได้เช่นกันใช้มือสัมผัสศีรษะของนางอย่างนุ่มนวลพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หยางมององค์ชายฉีอวี้ก่อนจะพยักหน้าให้เขาแทนการกล่าวทักทาย
“ฉีอวี้เจ้าก็เหมือนกันทำไมไม่มาเยี่ยมพวกเราบ้างเลย ไม่ได้เจอกันนานดูเหมือนเจ้าจะก้าวหน้าไปมากเลยนะ”
อวี๋ปิงหันไปกล่าวทักทายฉีอวี้ก่อนจะตบไหล่เขาเบา ๆ ด้วยท่าทีสนิทสนมคุ้นเคย
หากนับตามลำดับเครือญาติแล้ว ฉีอวี้ ฉีฉี และพี่น้องฝาแฝดอวี๋เป็นญาติที่ห่างออกไปเล็กน้อย ทว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสี่กลับถือว่าดีมาก ยิ่งกว่านั้น ในวัยเด็กทั้งสององค์หญิงองค์ชายแห่งไป๋อวิ๋นได้ใช้เวลาในนครเมฆามากพอสมควรทำให้ได้ใกล้ชิดกับพี่ชายฝาแฝดทั้งสอง
“ดีใจที่ได้พบท่านพี่ทั้งสอง”
องค์ชายฉีอวี้ยิ้มพลางกล่าวทักทาย
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ อวี๋เฟิงรังแกพวกเจ้าใช่ไหม ?”
อวี๋ปิงกล่าวถาม เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังมายาอยู่ทางด้านนี้ และคิดว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นจึงรีบเข้ามาดู
“ชิ คนหน้าไม่อายเหยียดหยามว่าพวกเราเป็นพวกคนนอกต่ำต้อย และยังบอกว่าบิดาของพี่อวี้โม่เป็นขยะอีกด้วย”
องค์หญิงน้อยพยักหน้าก่อนจะกล่าวฟ้องพี่ชายทั้งสองด้วยอารมณ์โมโห
“พี่อวี้โม่ ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉีฉี อวี๋ปิงก็ผงะไปก่อนที่ใบหน้าของเขาจะค่อย ๆ ฉายแววแห่งความตื่นเต้น
แม้แต่อวี๋หยางที่รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยใบหน้านิ่งเฉยและฉายแววเย็นชามาตั้งแต่ต้นก็ยังปรากฏอาการตื่นเต้นให้เห็นในดวงตา
พวกเขาทั้งสองหันหน้าไปมองสตรีที่ฉีฉีกล่าวถึงด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจปกปิด
นี่ก็คือบุตรสาวของท่านอาหญิงผู้หายสาบสูญไปนาน นางคือหนึ่งในคุณหนูของตระกูลที่พวกเขาอยากจะเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว
แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่พวกเขาก็ยังได้ยินได้ฟังเรื่องราวของอาหญิงคนงามอยู่ตลอด และเฝ้ารอให้อาหญิงและลูกพี่ลูกน้องหญิงชายผู้เป็นบุตรธิดาของท่านอากลับมายังนครเมฆาเสมอมาด้วย
เมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่กับตาทั้งคู่จึงปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
นี่ก็คือน้องสาวของพวกเขา คุณหนูเล็กของตระกูล
ด้วยความกะทันหันนี้ ทำให้ทั้งอวี๋หยางและอวี๋ปิงได้แต่นิ่งอึ้งอย่างตื่นเต้นดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกมา…
.