สีหน้าของหลิงซานเปลี่ยนไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันไม่อาจนับได้ ขณะนี้ดวงตาของเขาว่อกแว่กอยู่ไม่สุข ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ขณะนี้อ้านเยี่ยก็ยังคงไล่ทักทายฉินเฟินและจอมยุทธ์คนจากขุมกำลังฝ่ายนครไป๋อวิ๋นอย่างเป็นมิตร การกระทำนี้ถือเป็นการประกาศเลือกข้างอย่างสมบูรณ์
“วิหารแห่งความมืดเรากับอารามขัดแย้งกันมาช้านาน หากพวกท่านทุกคนอยากจะสู้กับอารามก็ขอให้รวมพวกเราเข้าร่วมด้วย พวกเราเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าในหลายปีมานี้อารามพัฒนาความแข็งแกร่งไปมากมายเพียงใดแล้ว”
อ้านเยี่ยกล่าวเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับทำให้ใบหน้าของหลิงซานบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม
“ท่านปู่ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายได้ยินว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้นจึงเร่งรีบมา ก่อนจะพบผู้เฒ่าฉินเฟินและคนอื่น ๆ จากนครไป๋อวิ๋นยืนอยู่จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
แต่เมื่อลองสังเกตให้ดีแล้วพบว่าทุกคนไม่มีร่องรอยบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บใด ๆ คุณหนูสี่ตระกูลฉินจึงโล่งใจไปได้มาก
ในตอนที่เตรียมจะกล่าวบางสิ่ง จู่ ๆ คุณหนูโฉมงามก็รู้สึกว่ามีอ้อมแขนขนาดใหญ่โอบรัดร่างนางไว้จากทางด้านหลัง
ฉินอวี้โม่ไม่ดิ้นรนขัดขืน นางทำเพียงแต่ปล่อยให้คนด้านหลังกระทำการอุกอาจได้อย่างสบายใจ นั่นเพราะหญิงสาวรับรู้ได้จากกลิ่นอายในทันทีว่าผู้ที่เข้ามากอดนางไว้ก็คือ หานโม่ฉือ
หลังจากหลุดรอดออกจากอ้อมกอดของมนุษย์น้ำแข็งของตนแล้ว ฉินอวี้โม่ก็หันไปจ้องเขม็งยังฝ่ายศัตรูด้วยแววตากรุ่นโกรธ
“หลิงซาน เรื่องเมื่อสามเดือนก่อนที่นครไป๋อวิ๋นพวกเรายังต้องการคำอธิบาย แต่ที่นี่และเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่สมควรจะเปิดศึก รอให้ถึงงานชุมนุมเมฆาแล้วใช้โอกาสนั้นประลองฝีมือ หรือหากเจ้าและข้าไร้วาสนาจะได้ประมือกันในงานใหญ่ หลังงานชุมนุมสิ้นสุด เราก็มาสู้กันตัวต่อตัว ถึงตอนนั้นจะได้สะสางทุกอย่างให้มันจบไป !”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสียงเข้มขณะที่สายตายังคงจับจ้องจ้าวอารามด้วยความเคืองโกรธ จิตสังหารอันแรงกล้าทะลักทลายออกมาจากร่างบาง
หลังจากจบสงครามที่นครไป๋อวิ๋นครานั้น คนเหล่านี้ยังคอยตามราวีตระกูลฉินรวมถึงเหล่าสหายของฉินอวี้โม่ไม่หยุดหย่อน เห็นทีว่านางคงต้องรีบสะสางเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นไปในครั้งนี้เสียแล้ว
“ข้าเองก็ต้องการเช่นนั้นอยู่แล้ว !”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลิงซานก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าบิดเบี้ยว แววแห่งความเคืองแค้นทวีขึ้นในดวงตาทั้งสอง อย่างไรก็ตามจ้าวอารามก็พยายามกัดฟันกดข่มอารมณ์ก่อนจะเอ่ยตอบรับคำของฉินอวี้โม่
“แม่นางก็คือฉินอวี้โม่ผู้โด่งดังในแผ่นดินใหญ่ใช่หรือไม่ ?”
เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่ อ้านเยี่ยก็เดินตรงเข้ามาก่อนจะกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของวิหารแห่งความมืดมานาน ไม่คิดว่าประมุขของขุมกำลังอันยิ่งใหญ่จะเยาว์วัยเช่นนี้ หากเทียบกันแล้วจ้าวอารามอายุมากเกินไปแล้วจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มทักทายผู้นำแห่งขุมกำลังลึกลับที่เพิ่งที่เคยได้พบหน้า ทว่าก็ยังไม่ลืมที่จะเหน็บแนมผู้นำจากขุมกำลังฝ่ายศัตรู
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้มันแน่นอน วิหารแห่งความมืดเราไม่ใช่ขุมกำลังหัวโบราณ อีกทั้งเราไม่เคยทำตัวน่าหัวเราะให้ผู้ใดเยาะเย้ยถากถางได้เช่นบางขุมกำลัง”
อ้านเยี่ยกล่าวก่อนจะหันไปมองหลิงซานด้วยรอยยิ้มเย้ย
เมื่อได้ยินวาจาเย้ยหยันของสองผู้เยาว์ที่เขาแสนชิงชัง จ้าวอารามก็กัดฟันกรอด นี่มันไม่ต่างจากใช้ฝ่ามือฟาดหน้าเขาตรง ๆ เลยแม้แต่น้อย
“ทุกคนเข้าไปในนครเมฆากันเถิด ห้องหับเรือนพักได้ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ขอเชิญทุกท่านเข้าไปพักผ่อนก่อน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางกล่าวกับเหล่ายอดฝีมือจากไป๋อวิ๋น
มู่อวิ๋นและคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขายังไม่ต้องการปะทะกับอารามตอนนี้ หากอยากจะสะสางทุกอย่างโดยแท้จริง ในอนาคตก็ยังมีโอกาสอีกมาก
“นี่พวกเจ้าคิดจะหนีโดยที่ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะอย่างนั้นรึ ?”
หลงจื้อโพล่งวาจาขึ้นมาหมายจะขัดขวางฝ่ายตรงข้าม
“คนจากดินแดนหนเหนือ อย่าโอหังคิดว่าพวกเรากลัวเจ้า เพียงแต่ตอนนี้งานใหญ่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทุกคนสมควรได้พักผ่อนและเตรียมตัว หากเก่งจริงพวกเจ้าก็ต้องเอาชนะเราได้ต่อหน้ายอดฝีมือมากมายจากทั่วทั้งใต้หล้าที่มาในงาน แต่หากเจ้ายังดึงดันอยากจะสะสางทุกอย่างในตอนนี้ ข้าก็ยินดีจะสนองให้ !”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลงจื้อ หลินเหยียนก็กล่าวโต้กลับไปเสียงแข็งกร้าว
วาจานั้นของจอมยุทธ์พเนจรทำให้ใบหน้าของทั้งหลงจื้อและหลิงซานอึดอัดเป็นอย่างมาก
“ไม่มีผู้ใดบอกพวกเจ้าหรือว่าข้าไม่อนุญาตให้มีสงครามเกิดขึ้นก่อนงานสำคัญของนครเมฆาเรา !”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันทรงอำนาจและดุดันก็ดังขึ้นขัด ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะสัมผัสได้ว่าอวี๋จวินซานปรากฏตัวขึ้นข้างกาย
“ท่านตา”
ฉินอวี้โม่เอ่ยทักทายอวี๋จวินซานที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม
ช่วงหลายวันมานี้อวี๋จวินซานมีงานยุ่งมากทำให้สองตาหลานแทบไม่ได้พูดคุยกันเลย
“ที่ข้าเชิญพวกเจ้ามาในงานชุมนุมเมฆาก็เพราะเห็นแก่หน้าของพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ามาเพราะต้องการจะรังแกหลานสาวคนเดียวของข้าก็ขอให้พวกเจ้าระวังตัวกันเอาไว้ด้วย”
อวี๋จวินซานส่งยิ้มให้หลานสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองหลงจื้อและกลุ่มคนจากอารามด้วยสายตาเย็นชา ขณะเดียวกันผู้นำแห่งนครเหนือม่านเมฆก็ลอบปลดปล่อยสภาวะพลังเข้ากดดันอีกฝ่ายอย่างลับ ๆ
“พวกเราไปกันเถอะ !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรงของจ้าวผู้ครองนครอันยิ่งใหญ่ สีหน้าของหลงจื้อก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด
หากที่แห่งนี้จะมีคนที่สามารถกดดันเขาได้โดยไม่ต้องต่อสู้ก็คงมีเพียงบุรุษนามอวี๋จวินซานผู้เดียวเท่านั้น
ความแข็งแกร่งของอวี๋จวินซานสูงส่งจนยากจะเอื้อมถึง หากหลงจื้อต้องเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ เขาคิดว่าตนไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย
หลิงซานและคนจากอารามพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูนครไป ก่อนจากจ้าวอารามไม่ลืมหันมาสาดสายตาเคียดแค้นให้แก่ฉินอวี้โม่ทิ้งท้าย
เมื่อเห็นการจากไปของฝ่ายผู้หาเรื่อง คนจากนครไป๋อวิ๋นต่างพากันแย้มยิ้มสาแก่ใจ ทว่าก็ไม่มีใครเอ่ยคำ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์…”
เสียงหนึ่งดังเข้าหูของฉินอวี้โม่ เสียงนั้นทำให้นางชะงักไปชั่วครู่
มันเป็นเสียงที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ทันทีที่หันหน้าไป คุณหนูสี่ตระกูลฉินก็พบใบหน้าและท่าทางอันคุ้นเคย คนผู้นี้ยืนปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่มาจากไป๋อวิ๋น
คุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่านิ่งอึ้งไปในทันที ทว่าก็รีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว บุรุษผู้นี้ไม่ใช่บิดาของนางแต่เป็นฉินเทียนตัวปลอมที่เคย ‘เลี้ยงดู’ …ไม่สิ… ‘เก็บนางไว้ในจวน’ มาเมื่อครั้งก่อนหน้า อารมณ์อันหลากหลายของสตรีผู้ที่เคยถูกคนผู้นี้ทำร้ายจิตใจเริ่มเดือดพล่านและปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ เช่นนั้นพวกเราเข้าไปในนครไป๋อวิ๋นกันก่อนเถิด”
ผู้เฒ่าฉินเฟินกล่าวตัดบท ก่อนจะหันไปยิ้มอย่างมีเลศนัยให้ฉินอวี้โม่
ทั้งสองคนพยักหน้าให้กัน ก่อนที่ผู้นำตระกูลฉิน อธิการโรงเรียนราชสำนักและผู้นำขุมกำลังต่าง ๆ ในไป๋อวิ๋นจะพาคนของตนเดินเข้าไปในนครเมฆา
หลงเหลือไว้เพียงฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ อวี๋จวินซานและฉินเทียนตัวปลอมที่ด้านนอกเท่านั้น
“ฉินเทียน เจ้ากล้ามากที่โผล่หน้ามาให้ข้าเห็นที่นี่ !”
แน่นอนว่าจ้าวนครเมฆานั้นทราบว่าบุรุษผู้กำลังเล่นบทโหยหาตรงหน้าคือบุตรเขยตัวปลอม ทว่าเขาก็ยังแสร้งทำเป็นโกรธและเดินเข้าไปหาบุรุษจอมลวงอย่างเกรี้ยวกราด
“ท่านพ่อตา ข้าผิดไปแล้ว”
‘ฉินเทียน’ กล่าวออกไปด้วยความเสียใจ ทว่าในดวงตากลับไม่มีแววแห่งความเสียใจใด ๆ ปรากฏให้เห็น
“อย่ามาเรียกข้าว่าพ่อตา คืนอวิ๋นเอ๋อร์มาให้ข้า แล้วไสหัวไป !”
แท้จริงแล้ว อวี๋จวินซานยังคงโกรธเคืองเรื่องที่บุตรสาวต้องพรากจากอกไปอยู่บ้าง
แต่หากคนผู้นี้คือฉินเทียนตัวจริง เขาก็อาจจะไม่เดือดดาลมากถึงเพียงนี้ ทว่าบุรุษผู้นี้คือฉินเทียนตัวปลอมซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น จึงเป็นธรรมดาที่จ้าวนครเมฆาจะโกรธแค้นมากเมื่อเห็นหน้าเขา
“ท่านพ่อข้าเสียใจจริง ๆ ที่อวิ๋นเอ๋อร์หายตัวไป แต่ท่านเชื่อข้า ข้าจะตามหานางให้พบ”
ฉินเทียนตัวปลอมยังคงตีหน้าเศร้าเอ่ยคำมั่น
“เหอะ ! ข้าจะไม่พูดถึงอวิ๋นเอ๋อร์ก็ได้ แต่เรื่องของเสี่ยวโม่เอ๋อร์เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าหลายปีมานี้เจ้าดูแลนางอย่างไร !”
อวี๋จวินซานตะคอกเสียงอย่างเกรี้ยวกราด ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้ไปง่าย ๆ
“ท่านพ่อ นี่เป็นความบกพร่องของข้าเอง วันนี้ที่ข้ามานครเมฆาก็เพื่อขอโทษเสี่ยวโม่เอ๋อร์และท่านพ่อ ขอให้พวกท่านอภัยให้ข้าด้วย”
‘ฉินเทียน’ เอ่ยปากอย่างสำนึกผิดก่อนจะเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ในฐานะบิดา ข้ารู้ดีว่าข้าไร้ความสามารถ มิอาจเป็นบิดาที่ดี และไม่ได้เลี้ยงดูเจ้าอย่างที่ควรเป็น แต่อย่างไรสายเลือดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าอาจจะตำหนิข้าหรือไม่ให้อภัยข้าก็ได้ แต่เรื่องที่เจ้าเป็นลูกข้าก็ไม่มีวันแปรเปลี่ยน วันนี้ข้าเพียงแต่อยากบอกว่าพ่อของเจ้าผู้นี้สำนึกผิดแล้วลูกรัก”
เมื่อได้ยินคำพูดของ ‘ฉินเทียน’ ตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้ว
หากเป็นฉินเทียนตัวจริงยืนอยู่ต่อหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนเช่นนี้กับนาง ฉินอวี้โม่ก็คงซาบซึ้งใจมาก หรือบางทีนางอาจจะกอดเขาอย่างตื่นเต้นและมีความสุข
อย่างไรก็ตามคนผู้นี้คือฉินเทียนตัวปลอมซึ่งต่างออกไป เมื่อได้เห็นหน้าเขาในใจนางก็มีแต่ความขยะแขยง
ตั้งแต่ได้ทราบว่าเขาคือบิดาตัวปลอม เยื่อใยบางแสนบางที่ยังหลงเหลืออยู่น้อย ๆ ในความเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดและบุตรในอุทรก็สูญสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว สำหรับนางคนผู้นี้เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่ประสงค์ดีและน่ารังเกียจเหลือประมาณเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็ยังคงต้องกดเก็บเอาความรู้สึกที่แท้จริงทุกอย่างซ่อนลึกไว้ในใจก่อน
ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาเป็นฉินเทียนตัวปลอม แต่ฉินอวี้โม่ก็จำต้องเล่นไปตามน้ำ เพราะยังไม่มีผู้ใดทราบถึงจุดประสงค์ที่เขามายังนครเมฆา
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าปล่อยวางไม่ถือสาอีกแล้ว ข้าไม่ตำหนิท่านพ่อในเรื่องนั้น ข้าเข้าใจว่าที่ผ่านมาข้าคงทำให้ท่านต้องเจอเรื่องยากลำบาก เพราะมีบุตรสาวไร้สามารถ หากท่านรักข้าจากใจจริงข้าเองก็ซาบซึ้งใจ”
แม้ว่าจะพูดออกมาต่อหน้าฉินเทียนตัวปลอม แต่คำพูดนี้ ส่วนหนึ่งคุณหนูสี่ตระกูลฉินตั้งใจจะกล่าวให้ฉินเทียนตัวจริง
ฉินอวี้โม่ไม่เคยคิดตำหนิบิดาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของนางแม้แต่น้อย ที่ผ่านมานางได้รู้แล้วว่าเขากำลังมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และรู้ว่าทั้งบิดาและมารดาของนางรักนางมากเพียงใดถึงได้พยายามทำทุกสิ่งอย่างให้นางปลอดภัยจนถึงวันนี้ ดังนั้นวาจาที่คุณหนูตระกูลกล่าวจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันแสนซึ้งใจถึงขั้นทำให้ฉินเทียนตัวปลอมหลงเชื่อโดยสนิทใจได้
“เป็นเช่นนั้นได้ก็วิเศษยิ่งนัก ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าวางใจได้เลย ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”
‘ฉินเทียน’ กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่อาจจะปกปิดความตื่นเต้นในใจไว้ได้เลย
ฉินอวี้โม่แสร้งยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นคล้ายการแสยะยิ้มเสียงมากกว่า
หากรู้จุดประสงค์และรู้ถึงตัวตนที่อยู่เบื้องหลังคนผู้นี้เมื่อไหร่ นางจะกระชากหน้ากากจอมปลอมนี้ออก จะทำให้คนน่ารังเกียจเผยโฉมหน้าที่แท้จริงก่อนจะหาทางจัดการอย่างสาสม
“เหอะ แม้ว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์จะให้อภัย แต่เจ้าก็อย่าคิดว่าจะพาเสี่ยวโม่เอ๋อร์ไปจากข้าได้ ข้าไม่เคยยอมรับคนอย่างเจ้าเป็นบุตรเขย !”
อวี๋จวินซานสาดวาจาเย็นชา ก่อนจะหันไปหาฉินอวี้โม่ “เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าพาโม่ฉือล่วงหน้าไปพบกับท่านยายและลุง ๆ ของเจ้าก่อน”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำ นางเองก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว
“ท่านพ่อ ข้าต้องไปพบท่านยายก่อน ส่วนท่านก็หาทางไปหาท่านปู่ก่อนเถอะนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ฉินเทียนตัวปลอม ก่อนจะบอกให้เขาตามไปสมทบกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลฉิน
“เจ้าไปเถิด”
‘ฉินเทียน’ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าประตูนคร แววตาและใบหน้าที่เคยอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นอาฆาตมาดร้ายในบัดดล อดีตนักฆ่าสาวแย้มยิ้มอย่างเย็นชา หานโม่ฉือที่อยู่ข้างกายกุมมือบางแน่นขึ้นก่อนจะหันมาส่งรอยยิ้มให้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าน้อย ๆ เพื่อบ่งบอกว่านางเข้าใจทุกสิ่งอย่าง ก่อนที่หนึ่งผู้อาวุโสและสองหนุ่มสาวจะมุ่งตรงไปยังที่ตั้งตำหนักของชายาจ้าวนคร
ทันทีที่ร่างของคนทั้งสามลับหายจากสายตาไป ใบหน้าของฉินเทียนตัวปลอมก็แปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น รอยยิ้มแสนชั่วร้ายที่ฉายแววเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้า
‘คนโง่เขลาต่อให้นานแค่ไหนก็ยังคงโง่เขลา’ บุรุษผู้แอบอ้างนามว่าฉินเทียนมาเกือบยี่สิบปีคิดในใจก่อนจะหันมองโดยรอบอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเห็นเขาก็เดินไปยังทิศทางหนึ่ง
…
“คนผู้นั้นมีจุดประสงค์อะไรถึงได้มาที่นครเมฆา ?”
อวี๋จวินซานมองฉินอวี้โม่พลางเอ่ยคำถามด้วยความสงสัย
ฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้มาที่นครเมฆาอย่างกะทันหัน ไม่มีใครทราบว่าเขาวางแผนเลวร้ายใดไว้กันแน่
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ “ท่านตา เรื่องนี้พวกเราเองก็ไม่ทราบ แม้ว่าท่านปู่จะตามสืบเรื่องนี้มานานหลายปี แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับตัวตนของคนผู้นี้ ยกเว้นเรื่องที่เขาไม่ใช่ท่านพ่อของข้าเท่านั้น ดังนั้น ถ้าเราอยากจะรู้ถึงจุดประสงค์จริง ๆ ของเขาก็มีทางเดียวคือต้องรอให้เขาจนมุมแล้วเผยโฉมหน้าออกมาเอง”
หลายปีที่ผ่านมาฉินเฟินทำการสืบเกี่ยวกับคนผู้นี้อย่างลับ ๆ แต่ทว่ากลับไม่ได้ข้อมูลใด ๆ ที่เป็นประโยชน์
หากต้องการรู้ว่าคนผู้นี้คือใคร ผู้ใดอยู่เบื้องหลัง และเขามีจุดประสงค์อะไรก็จำเป็นต้องรอให้เขาโผล่หางออกมาทั้งหมดเสียก่อน
จ้าวนครเมฆาพยักหน้า แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าควรทำเช่นไร
“ท่านตา ข้าทราบว่าท่านยุ่งมากจึงไม่อยากรบกวนเวลา ข้าจะเป็นผู้พาโม่ฉือไปพบท่านยายและพวกท่านลุงเองเจ้าค่ะ”
งานชุมนุมเมฆาใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ในฐานะเจ้าภาพและเป็นประธานใหญ่ของงาน อวี๋จวินซานจึงยุ่งเป็นอย่างมาก ฉินอวี้โม่รู้ดีและไม่อยากรบกวนเวลาของผู้เป็นตานานเกินไป
อวี๋จวินซานพยักหน้าและไม่กล่าวสิ่งใดมาก เขาเปลี่ยนทิศทางเดินเพื่อมุ่งไปยังจุดที่เป็นที่ตั้งของตำหนักจ้าวนครทันที
หลังจากยืนส่งจ้าวนครเมฆาด้วยรอยยิ้ม ฉินอวี้โม่ก็จับมือหานโม่ฉือและพาเขาเข้าไปพบเหวินชิงหยวนในตำหนัก
.