คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 226 งานเลี้ยงของนครเมฆา

“ฮิ ๆ เจ้าก็คือหานโม่ฉือที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์พูดถึงบ่อย ๆ สินะ”

เหวินชิงหยวนมองสำรวจทั่วตัวหานโม่ฉือก่อนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ชายาจ้าวนครเมฆาได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ของหลานสาวและบุรุษตระกูลหานผู้นี้มาบ้างแล้ว ในฐานะผู้เป็นยาย ตัวนางเองก็อยากจะเห็นว่าชายหนุ่มที่หลานสาวเลือกมาเคียงข้างกายเป็นคนเช่นไร

ต้องบอกเลยว่าหานโม่ฉือเป็นบุรุษรูปงามที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นโดยแท้ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับแนวหน้าของแผ่นดินได้แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาแม้แต่อวี๋จวินซานก็ยังมิอาจมองข้าม

อย่างไรก็ตามเหวินชิงหยวนไม่ได้สนใจในด้านความแข็งแกร่งของเขามากนัก สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดก็คือบุรุษผู้นี้สามารถดูแลหลานสาวเพียงคนเดียวของนางได้มากน้อยเพียงใด

ขอเพียงเขาเหมาะสมกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์และดูแลนางได้ เรื่องความแข็งแกร่งหรือพรสวรรค์ล้วนไม่ใช่สิ่งจำเป็นในความคิดของสตรีอาวุโสผู้นี้

“โม่ฉือยินดีที่ได้พบท่านยายขอรับ”

ถึงแม้หานโม่ฉือจะมีนิสัยเงียบขรึมเย็นชาและไม่ชอบสมาคมกับผู้คนมากนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหวินชิงหยวนสตรีสูงศักดิ์แห่งนครเมฆา บุรุษน้ำแข็งก็ยังแสดงถึงความเคารพอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

ด้วยว่าเหวินชิงหยวนคือท่านยายของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือจึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่สำคัญสำหรับตนเช่นกัน

“เอาล่ะ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าเอาเวลาไปเดินเที่ยวเล่นชมเมืองให้สนุกจะดีกว่า ที่นี่มีคนมากมายแล้ว เสี่ยวโม่เอ๋อร์เจ้าพาโม่ฉือออกไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”

เหวินชิงหยวนยิ้มก่อนจะบอกกับผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสอง

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม

ฉินอวี้โม่เองก็ต้องการจะไปดูด้วยว่าคนจากนครไป๋อวิ๋นได้รับการจัดแจงที่พักเรียบร้อยดีหรือไม่หรือมีสิ่งใดขาดเหลือที่นางจะช่วยได้บ้าง

ขุมกำลังต่าง ๆ จากนครไป๋อวิ๋นนั้น ถูกจัดให้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของนครเมฆาร่วมกันกับยอดฝีมือจากจักรวรรดิชิงเฟิง

เดิมที ทางนครเมฆาตั้งใจจะจัดให้แขกคนสำคัญเข้าพักกันภายในจวนอันกว้างใหญ่ของจ้าวนคร ทว่าเนื่องจากคนจากจักรวรรดิไป๋อวิ๋นไม่ต้องการพักร่วมกับคนจากอารามจึงขอให้ทางนครเมฆาจัดแจงสถานที่พักให้ใหม่เพื่อความสบายใจและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งครานี้คนจากจักรวรรดิชิงเฟิงเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นแขกจากทั้งสองจักรวรรดิใหญ่จึงได้ที่พักที่แยกออกไป

แน่นอนว่าอวี๋จวินซานไม่อยากฝืนใจผู้มาร่วมงาน จึงปล่อยให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ

เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินมาถึงโรงเตี๊ยมกลางนครที่เป็นที่พักของคนจากจักรวรรดิของตนก็เป็นตอนที่ห้องพักทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยและหลายคนก็แยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง

คุณหนูสี่ตระกูลฉินคิดว่าผู้นำตระกูลฉินอาจจะมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับนาง หลังจากเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ นางจึงเข้าไปยังห้องพักของผู้เฒ่าฉินเฟินพร้อมกับหานโม่ฉือ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ โม่ฉือพวกเจ้ามาแล้วรึ ”

บุรุษผู้เฒ่ารอคอยการมาถึงของหลานสาวและว่าที่หลานเขยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่เดินเข้ามาจึงกล่าววาจาและยิ้มทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น

ฉินอวี้โม่พยักหน้า “ท่านปู่ เวลานี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใดเจ้าคะ ?”

ผู้นำตระกูลอาวุโสเข้าใจสิ่งที่ฉินอวี้โม่ถามได้ในทันที เขาจึงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ท่านลุงสามของเจ้าเป็นผู้ดูแลและจัดให้เขาอยู่ในจุดที่จับตาดูได้ง่าย เขาคงไม่สามารถก่อเรื่องอะไรได้ หรือหากเขาทำเราจะรับรู้ในทันที”

ในสถานการณ์ที่ยังไม่ทราบตัวตนและจุดประสงค์แท้จริงของฉินเทียนตัวปลอม พวกเขาทั้งหมดก็สมควรจะจับตามองดูคนผู้นี้อย่างใกล้ชิด

“ท่านปู่ช่วยบอกข้าได้ไหมเจ้าคะ ว่าเหตุใดเขาถึงมากับพวกท่านได้ ?”

ฉินอวี้โม่สงสัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางรู้สึกประหลาดใจอย่างมากในตอนที่ทราบว่าฉินเทียนตัวปลอมเดินทางมายังนครเมฆาร่วมกับตระกูลฉิน

ฉินเฟินยิ้มอ่อนก่อนจะเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉินอวี้โม่ฟัง

“เช่นนั้นก็แสดงว่าเขามาหาท่านปู่ถึงตระกูลฉินด้วยตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ ?”

หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าของฉินเฟินและเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็เริ่มครุ่นคิดหาเหตุผลและปะติดปะต่อเบาะแสต่าง ๆ

หลายปีที่ผ่านมาฉินเทียนตัวปลอมเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็แทบไม่เคยติดต่อกับตระกูลใหญ่ที่อยู่ในไป๋อวิ๋นเลย ทว่าครั้งนี้เขากลับกล้าไปเยือนตระกูลฉินด้วยตัวเอง ไม่ผู้ใดก็อดคิดไม่ได้ว่าคนผู้นี้น่าจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ดีเป็นแน่

“แม้ว่าข้าจะทำการสืบมาหลายปี แต่กลับยังไม่ได้เบาะแสใด ๆ เป็นชิ้นเป็นอัน นอกเสียจากเรื่องที่ว่าเขาเป็นตัวปลอม ในเมื่อเขากล้าบุกเข้าถ้ำเสือ เสืออย่างเราก็จะไม่ยอมพลาดโอกาสปล่อยให้หลุดมือไปเช่นกัน ตั้งแต่ก้าวเข้าจวน คนผู้นั้นก็แสดงความจำนงอยากมางานชุมนุมเมฆาเป็นอันดับแรก นั่นแสดงว่าเขาคงต้องการอะไรบางอย่างที่นี่ ข้าจึงไม่ปฏิเสธที่จะให้เขาตามมาด้วย”

ผู้เฒ่าฉินเฟินเอ่ยอธิบายถึงเหตุผลที่เขายินยอมให้ฉินเทียนตัวปลอมติดตามมายังงานชุมนุมใหญ่แห่งนี้ให้ฉินอวี้โม่ฟัง

“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านปู่”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบเมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้เป็นปู่

ไฉนเลยนางจะไม่เข้าใจความคิดดังกล่าว เพราะเวลานี้นางเองก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกัน

หลังจากสนทนากับผู้นำตระกูลอยู่สักพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ขอตัวกลับออกไป

“โม่เอ๋อร์ พวกเราเดินเล่นกันเถิด”

หานโม่ฉือยิ้มให้ฉินอวี้โม่พลางเอ่ยคำชวน

นับว่าผ่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาได้มีโอกาสจับจูงมือของฉินอวี้โม่และพากันเดินเล่นอย่างสงบสุข ไหน ๆ ในตอนนี้ทั้งสองคนก็อยู่ในอารมณ์ที่ดีและพอจะมีเวลาอยู่เล็กน้อย บุรุษน้ำแข็งจึงถือโอกาสอันหายากนี้รีบออกปากชวน

แน่นอนว่าคุณหนูโฉมงามไม่ปฏิเสธ

สองคู่รักหนุ่มสาวจูงมือกันเดินเล่นอยู่ในนครเมฆาด้วยอารมณ์สดใส และเมื่อเดินจนทั่วทั้งสองก็ตัดสินใจออกไปเที่ยวชมด้านนอกเมือง

“โม่เอ๋อร์ ข้าเกรงว่าในงานชุมนุมเมฆาครั้งนี้อาจจะไม่ปลอดภัยอย่างที่เจ้าคิด คนจากดินแดนหนเหนือพุ่งเป้าหมายไปที่กายเทพมายาของเจ้าอย่างชัดเจน ดังนั้นเราต้องระวังให้มาก”

หานโม่ฉือที่กอบกุมมือฉินอวี้โม่อยู่อดกล่าวเตือนนางในเรื่องนี้ไม่ได้

ถึงแม้จะมีตัวเขาคอยปกป้องนางไม่ห่าง แต่ก็ยังมิอาจประมาทศัตรูได้

ครั้งนี้มีคนจากดินแดนหนเหนือเดินทางเข้ามาในหวนหลิงมากกว่าที่คาดเอาไว้ พวกเขาที่อยู่ในที่แจ้งก็ย่อมเสียเปรียบอีกฝ่ายที่สุ่มอยู่ในที่มืด หากไม่ระวังให้ดีคงไม่พ้นต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น

เท่าที่รู้คร่าว ๆ มิใช่เพียงอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรเท่านั้นที่เข้ามาในหวนหลิง เพราะนอกจากนี้แล้วก็ยังมีนครหมื่นอสูร นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ วิหารทมิฬ อีกทั้งขุมกำลังใหญ่น้อยอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

และจุดประสงค์ที่ทุกขุมกำลังเดินทางเข้ามาก็ด้วยเป้าหมายหนึ่งเดียวคือกายเทพมายาเหมือนกันทั้งหมด

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะนับว่าแข็งแกร่งมากแต่ก็ยังมิอาจวางใจ แม้ว่าตัวหานโม่ฉือจะพร้อมสละทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เรื่องนางครอบครองกายเทพมายาถูกเปิดเผยออกไป ทุกขุมกำลังในดินแดนหนเหนือก็คงพร้อมจะเคลื่อนไหวเต็มตัว ถึงตอนนั้นต่อให้สละกระทั่งชีวิตของตัวเอง บุรุษน้ำแข็งก็คงปกป้องคนรักเอาไว้ไม่ได้

ด้วยว่าขุมกำลังเหล่านั้นถือเป็นระดับแนวหน้าในดินแดนหนเหนือ พวกเขาล้วนแข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ใด  ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละขุมกำลังก็ย่อมมีไพ่ตายอันน่าหวาดหวั่น ยิ่งถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ หรือแม้แต่อวี๋จวินซานก็ยังยากจะร่วมกันรับมือได้

ในตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือ ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ความลับเรื่องกายเทพมายาเปิดเผยออกไป  บางเรื่องเมื่อปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วและคิดจะแก้ไขภายหลังก็อาจส่งผลเสียหายที่มากกว่า หรือบางทีก็อาจจะสายจนเกินกว่าจะทำสิ่งใดได้

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี สตรีผู้ครองกายเทพมายามีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแล้ว

หากคนจากดินแดนหนเหนือมาเพื่อกายเทพมายานี้จริง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ไม่นึกหวาดหวั่น อีกฝ่ายมีไพ่ตายน่ากลัวตัวนางเองก็มีเช่นกันและนางก็มั่นใจว่ามันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ด้อยกว่า

ไม่ว่าจะเป็นมังกรทองหานอวี้หรือเทพอสูรซิวก็ล้วนเป็นไพ่ตายที่น่ากลัวของฉินอวี้โม่ โดยเฉพาะซิวที่เป็นถึงเทพอสูรในตำนานผู้ครอบครองพลังอันลึกลับสุดจะหยั่งถึงได้ อสูรทั้งสองคือไพ่ตายที่มีแต่ฉินอวี้โม่ผู้เดียวเท่านั้นที่ทราบถึงความน่ากลัว

ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในตัวซิวมาก ขอเพียงมีซิวอยู่ด้วยทุกปัญหาย่อมมีหนทางแก้ไขได้

ภายในพริบตาวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดวันก่อนงานชุมนุมเมฆาหนึ่งวันก็มาถึง

ในวันนี้ทุกคนที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานต่างก็มาถึงนครเมฆากันเกือบจะครบหมดแล้ว ก่อนที่งานชุมนุมจอมยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบประวัติศาสตร์กว่าพันปีของดินแดนจะเริ่มขึ้น ในฐานะเจ้าภาพ ทางนครไป๋อวิ๋นได้เตรียมงานเลี้ยงเพื่อให้ทุกขุมกำลังได้พบปะสนทนาและสานสัมพันธ์อันดีต่อกันเอาไว้ในคืนนี้

แน่นอนว่าแขกทุกคนที่เข้าร่วมงาน ในฐานะตัวแทนของขุมกำลังตนเองต่างก็ไม่คิดจะพลาดงานเลี้ยงนี้

หากจะกล่าวแล้ว งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงเดียวที่ทุกขุมกำลังของดินแดนหวนหลิงจะมารวมตัวกันอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างมาก ภายในงานมีโอกาสแห่งการเจรจาติดต่อหรือพบปะกับทุกขั้วอำนาจรอคอยอยู่ให้ไขว่คว้า โดยเฉพาะการจะได้ผูกมิตรกับนครเมฆาขุมกำลังอันแข็งแกร่ง นี่เองคือเหตุผลที่ไม่มีผู้ใดยอมพลาดงานเลี้ยงนี้

ตั้งแต่ที่เกิดสงครามของนครไป๋อวิ๋นเมื่อครั้งก่อน ทั้งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและจักรวรรดิชิงเฟิงต่างก็เจริญสัมพันธไมตรีและได้ผูกมิตรอันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในงานเลี้ยงก่อนวันชุมนุมเมฆาปิงเสวียนได้มีโอกาสออกไปร่วมโต๊ะอาหารและสนทนากับหลิวซิวหยาและเหล่าสหายรุ่นน้องอย่างสนิทสนม

ในช่วงหลายวันนี้แม้แต่ขุมกำลังลึกลับที่เก็บตัวเงียบมาเนิ่นนานอย่างวิหารแห่งความมืดก็ดูจะแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อขุมกำลังอื่น ๆ มากขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะฝั่งไป๋อวิ๋น ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะวิหารแห่งความมืดเป็นศัตรูกับอารามมาช้านาน และด้วยหลักการที่ว่า ‘ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรที่ยอดเยี่ยม’ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาใกล้ชิดกับขุมกำลังฝ่ายไป๋อวิ๋นเพื่อผูกไมตรี

วิหารแห่งความมืดเองก็มีสาขาหลักอยู่ที่ดินแดนหนเหนือเช่นเดียวกันกับอาราม ซึ่งวิหารสาขาหลักนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม –วิหารทมิฬ

วิหารทมิฬและอารามโชติช่วงอยู่ในขั้วอำนาจที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอาราม วิหารแห่งความมืดจึงต้องจับตามองยอดฝีมือสาวผู้โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขานผู้นี้เป็นพิเศษ รวมถึงหาทางผูกไมตรีเอาไว้

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าน้อยอู่ซิงได้ยินชื่อของแม่นางฉินและคุณชายหานมานานแล้ว พวกท่านทั้งสองต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งแห่งหวนหลิง วันนี้ได้พบพวกท่านถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”

บุรุษที่กำลังกล่าวทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ในขณะนี้มีนามว่า— ‘อู่ซิง’ เขาเป็นตัวแทนจากวิหารทมิฬแห่งดินแดนหนเหนือ อู่ซิงผู้นี้เดินตรงเข้ามาหาคุณหนูตระกูลฉินและบุรุษน้ำแข็งตระกูลหานด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวทักทายอย่างสุภาพ

แม้ว่ากิริยาถ่อมตัวจนเกินเหตุนั้นจะดูคล้ายมีเจตนาเข้ามาตีสนิทอย่างโจ่งแจ้ง แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้วคนจากดินแดนหนเหนือผู้นี้ก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นด้วยความที่เป็นคนจากดินแดนหนเหนือความไม่ถือของเขาต่อคนในหวนหลิงก็ยิ่งทำให้น่าคบหา

“พี่อู่ซิงเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดาจากดินแดนเบื้องล่าง ไฉนเลยจะเทียบกับผู้มีพรสวรรค์จากดินแดนเทพมายาได้”

ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวตอบด้วยความอ่อนน้อมไม่ต่างกัน แม้จะคิดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้ายและทราบดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะเข้ามาผูกมิตร แต่อดีตนักฆ่าสาวก็ยังไม่กล้าไว้วางใจคนแปลกหน้ามากนัก อย่างไรเสียเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็สมควรต้องระวังตัวเป็นพิเศษ

กายเทพมายาของนางเป็นที่หมายปองของทุกคน ไม่มีทางรู้เลยว่าขุมกำลังไหนจะมีท่าทีอย่างไรหากทราบว่านางคือผู้ถือครองกายเทพมายา ยิ่งบัดนี้ฉินอวี้โม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไม่น้อยก็ยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายกว่าผู้อื่น

“หึ ๆ ๆ แม่นางฉินถ่อมตัวเกินไปแล้ว พรสวรรค์ระดับนี้ต่อให้ไปดินแดนหนเหนือก็ยังโดดเด่นได้ ยิ่งได้ทรัพยากรของดินแดนเราคอยสนับสนุน แม่นางคงจะก้าวหน้าขึ้นไปอยู่หัวแถวของจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ได้แน่”

อู่ซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขารับรู้ได้ในทันทีว่าฉินอวี้โม่มีท่าทีระวังตัวต่อตน กระนั้นเขาก็ยังอยากจะผูกไมตรีกับนาง เขาไม่สนใจว่าสตรีผู้นี้จะมีทัศนคติอย่างไร

พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออาจเรียกได้เต็มปากว่า ‘เหนือมนุษย์’ ต่อให้เปรียบเทียบกับคนจากดินแดนหนเหนืออย่างพวกเขาก็ยังไม่เป็นรอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย

เขาไม่มีข้อสงสัยเลยว่า อีกสิบปีหลังจากนี้ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะเติบโตจนสามารถเทียบชั้นได้กับยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสของวิหารทมิฬในดินแดนเทพมายาได้เลย

“แม่นางฉินโปรดวางใจ วิหารทมิฬหาใช่อารามโชติช่วง พวกเราไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย วิหารทมิฬมิเคยเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในของดินแดนหวนหลิง ข้าเพียงแต่เห็นว่าพวกท่านทั้งสองมีพรสวรรค์โดดเด่นจึงเข้ามาหา หมายผูกไมตรี ข้าไม่มีเจตนาจะชวนพวกท่านมาเข้าร่วมกับวิหารทมิฬแม้แต่น้อย เพียงหวังว่าพวกท่านทั้งสองจะรับข้าไว้เป็นสหายสักคนเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทางคล้ายอยากหนีห่างของอีกฝ่าย อู่ซิงจึงกล่าวออกมาตรง ๆ โดยไม่ปกปิดเจตนา

เมื่อได้ยินวาจาที่ฟังดูจริงใจของตัวแทนจากวิหารทมิฬ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า หากเทียบกับคนของอารามโชติช่วงแล้วคนของวิหารทมิฬดูเป็นคนดีราวกับพ่อพระเลยก็มิปาน กิริยาท่าทางและคำพูดของพวกเขาช่างน่าดูน่าฟังยิ่งนัก

“เหอะ อู่ซิง หากว่าเจ้าอยากจะสร้างผลงานให้วิหารทมิฬก็จงทำไป แต่อย่าบังอาจพาดพิงและเหยียดหยามอารามโชติช่วงของเรา !”

เหยาปิงที่ลอบฟังอยู่ไม่ไกล เมื่อได้ยินสิ่งที่อู่ซิงกล่าวเขาก็รีบเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยต่อว่าอย่างไม่สบอารมณ์ทันที ที่สำคัญเขารู้สึกว่าท่าทางประจบประแจงของอีกฝ่ายมันช่างขัดหูขัดตาน่าขยะแขยงจนเหลืออด

“ข้าเพียงแต่เอ่ยตามความจริงเท่านั้น แม้นามว่า ‘อารามโชติช่วง’ ของพวกเจ้าจะฟังดูเป็นขุมกำลังฝ่ายธรรมะน่านับถือ แต่ทุกคนล้วนทราบดีว่าที่ผ่านมาพวกเจ้าทำเรื่องเลวทรามบัดซบอะไรไว้บ้าง ถึงขุมกำลังอื่นอาจจะไม่กล้าออกปากเช่นนี้ แต่พวกเราวิหารทมิฬไม่เคยกลัวพวกเจ้า”

อู่ซิงไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย วิหารทมิฬและอารามโชติช่วงเป็นศัตรูกันมาช้านาน เรื่องนี้เป็นที่รู้ชัดแจ้งยิ่งกว่าอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก อู่ซิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้า ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาไม่เคยมีข้อพิสูจน์ว่าฝ่ายใดเป็นต่อฝ่ายใดเป็นรอง แม้แต่ตัวเขาเองก็ข้องใจและอยากจะประลองกับคนของอารามโชติช่วงให้รู้ดำรู้แดงไปเลยเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำพูดถากถางของอู่ซิง ใบหน้าของเหยาปิงก็บูดบึ้งในทันใด

“เหอะ ! เหยาปิง ในเมื่อวิหารแห่งความมืดอยากจะเป็นสหายกับสตรีต่ำต้อยผู้นั้นนักก็ปล่อยไป แต่อู่ซิง ข้าขอเตือนเอาก่อนไว้นะว่าเวลานี้อารามมีบัญชีแค้นต้องสะสางกับฉินอวี้โม่ ถึงตอนนั้นหากพวกเจ้าเข้ามาแทรกแซงพวกเราจะบดขยี้ให้เละ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย !”

เมื่อมองเห็นสถานการณ์อันคุกรุ่น หลงจื้อที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักก็เดินตามเข้ามาแล้วกล่าววาจาคล้ายข่มขู่

“หลงจื้ออย่าเพิ่งสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นจะดีกว่า ข้าได้ยินว่าช่วงนี้นิกายหงส์มังกรของพวกเจ้าก็มีปัญหาภายในไม่น้อย คิดหรือว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า !”

อู่ซิงไม่สนใจหลงจื้อเช่นกัน

นิกายหงส์มังกรถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่มีอิทธิพลมากในดินแดนหนเหนือ หลายปีมานี้นิกายนี้รับอสูรมายาเข้ามาเป็นสมาชิกมากเป็นพิเศษ ทว่าถึงแม้จะได้ผู้มีพรสวรรค์มากมายมาร่วมด้วยและทำให้พลังอำนาจเติบโตขึ้นอย่างเท่าทวี แต่กลับมีผลให้เกิดปัญหาภายในมากขึ้นเท่าตัวด้วยเช่นกัน

นิกายหงส์มังกรเป็นพันธมิตรที่ดีกับอารามโชติช่วง แน่นอนว่าสำหรับวิหารทมิฬแล้วคนจากนิกายนี้ก็ถือเป็นศัตรู

“เหอะ ! ปากดีนักนะ ไว้รอพวกเรากลับไปถึงดินแดนเทพมายาเมื่อไหร่ ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้า เตรียมตัวเอาไว้ด้วย !”

หลงจื้อแค่นเสียงข่มขู่ด้วยโทสะ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 226 งานเลี้ยงของนครเมฆา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 226 งานเลี้ยงของนครเมฆา

“ฮิ ๆ เจ้าก็คือหานโม่ฉือที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์พูดถึงบ่อย ๆ สินะ”

เหวินชิงหยวนมองสำรวจทั่วตัวหานโม่ฉือก่อนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ชายาจ้าวนครเมฆาได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ของหลานสาวและบุรุษตระกูลหานผู้นี้มาบ้างแล้ว ในฐานะผู้เป็นยาย ตัวนางเองก็อยากจะเห็นว่าชายหนุ่มที่หลานสาวเลือกมาเคียงข้างกายเป็นคนเช่นไร

ต้องบอกเลยว่าหานโม่ฉือเป็นบุรุษรูปงามที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นโดยแท้ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็สามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับแนวหน้าของแผ่นดินได้แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาแม้แต่อวี๋จวินซานก็ยังมิอาจมองข้าม

อย่างไรก็ตามเหวินชิงหยวนไม่ได้สนใจในด้านความแข็งแกร่งของเขามากนัก สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดก็คือบุรุษผู้นี้สามารถดูแลหลานสาวเพียงคนเดียวของนางได้มากน้อยเพียงใด

ขอเพียงเขาเหมาะสมกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์และดูแลนางได้ เรื่องความแข็งแกร่งหรือพรสวรรค์ล้วนไม่ใช่สิ่งจำเป็นในความคิดของสตรีอาวุโสผู้นี้

“โม่ฉือยินดีที่ได้พบท่านยายขอรับ”

ถึงแม้หานโม่ฉือจะมีนิสัยเงียบขรึมเย็นชาและไม่ชอบสมาคมกับผู้คนมากนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหวินชิงหยวนสตรีสูงศักดิ์แห่งนครเมฆา บุรุษน้ำแข็งก็ยังแสดงถึงความเคารพอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี

ด้วยว่าเหวินชิงหยวนคือท่านยายของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือจึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่สำคัญสำหรับตนเช่นกัน

“เอาล่ะ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าเอาเวลาไปเดินเที่ยวเล่นชมเมืองให้สนุกจะดีกว่า ที่นี่มีคนมากมายแล้ว เสี่ยวโม่เอ๋อร์เจ้าพาโม่ฉือออกไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”

เหวินชิงหยวนยิ้มก่อนจะบอกกับผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสอง

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม

ฉินอวี้โม่เองก็ต้องการจะไปดูด้วยว่าคนจากนครไป๋อวิ๋นได้รับการจัดแจงที่พักเรียบร้อยดีหรือไม่หรือมีสิ่งใดขาดเหลือที่นางจะช่วยได้บ้าง

ขุมกำลังต่าง ๆ จากนครไป๋อวิ๋นนั้น ถูกจัดให้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของนครเมฆาร่วมกันกับยอดฝีมือจากจักรวรรดิชิงเฟิง

เดิมที ทางนครเมฆาตั้งใจจะจัดให้แขกคนสำคัญเข้าพักกันภายในจวนอันกว้างใหญ่ของจ้าวนคร ทว่าเนื่องจากคนจากจักรวรรดิไป๋อวิ๋นไม่ต้องการพักร่วมกับคนจากอารามจึงขอให้ทางนครเมฆาจัดแจงสถานที่พักให้ใหม่เพื่อความสบายใจและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งครานี้คนจากจักรวรรดิชิงเฟิงเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน ดังนั้นแขกจากทั้งสองจักรวรรดิใหญ่จึงได้ที่พักที่แยกออกไป

แน่นอนว่าอวี๋จวินซานไม่อยากฝืนใจผู้มาร่วมงาน จึงปล่อยให้พวกเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ

เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินมาถึงโรงเตี๊ยมกลางนครที่เป็นที่พักของคนจากจักรวรรดิของตนก็เป็นตอนที่ห้องพักทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยและหลายคนก็แยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง

คุณหนูสี่ตระกูลฉินคิดว่าผู้นำตระกูลฉินอาจจะมีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับนาง หลังจากเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์ นางจึงเข้าไปยังห้องพักของผู้เฒ่าฉินเฟินพร้อมกับหานโม่ฉือ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ โม่ฉือพวกเจ้ามาแล้วรึ ”

บุรุษผู้เฒ่ารอคอยการมาถึงของหลานสาวและว่าที่หลานเขยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นทั้งคู่เดินเข้ามาจึงกล่าววาจาและยิ้มทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น

ฉินอวี้โม่พยักหน้า “ท่านปู่ เวลานี้คนผู้นั้นอยู่ที่ใดเจ้าคะ ?”

ผู้นำตระกูลอาวุโสเข้าใจสิ่งที่ฉินอวี้โม่ถามได้ในทันที เขาจึงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ท่านลุงสามของเจ้าเป็นผู้ดูแลและจัดให้เขาอยู่ในจุดที่จับตาดูได้ง่าย เขาคงไม่สามารถก่อเรื่องอะไรได้ หรือหากเขาทำเราจะรับรู้ในทันที”

ในสถานการณ์ที่ยังไม่ทราบตัวตนและจุดประสงค์แท้จริงของฉินเทียนตัวปลอม พวกเขาทั้งหมดก็สมควรจะจับตามองดูคนผู้นี้อย่างใกล้ชิด

“ท่านปู่ช่วยบอกข้าได้ไหมเจ้าคะ ว่าเหตุใดเขาถึงมากับพวกท่านได้ ?”

ฉินอวี้โม่สงสัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางรู้สึกประหลาดใจอย่างมากในตอนที่ทราบว่าฉินเทียนตัวปลอมเดินทางมายังนครเมฆาร่วมกับตระกูลฉิน

ฉินเฟินยิ้มอ่อนก่อนจะเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉินอวี้โม่ฟัง

“เช่นนั้นก็แสดงว่าเขามาหาท่านปู่ถึงตระกูลฉินด้วยตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ ?”

หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าของฉินเฟินและเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็เริ่มครุ่นคิดหาเหตุผลและปะติดปะต่อเบาะแสต่าง ๆ

หลายปีที่ผ่านมาฉินเทียนตัวปลอมเก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็แทบไม่เคยติดต่อกับตระกูลใหญ่ที่อยู่ในไป๋อวิ๋นเลย ทว่าครั้งนี้เขากลับกล้าไปเยือนตระกูลฉินด้วยตัวเอง ไม่ผู้ใดก็อดคิดไม่ได้ว่าคนผู้นี้น่าจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ดีเป็นแน่

“แม้ว่าข้าจะทำการสืบมาหลายปี แต่กลับยังไม่ได้เบาะแสใด ๆ เป็นชิ้นเป็นอัน นอกเสียจากเรื่องที่ว่าเขาเป็นตัวปลอม ในเมื่อเขากล้าบุกเข้าถ้ำเสือ เสืออย่างเราก็จะไม่ยอมพลาดโอกาสปล่อยให้หลุดมือไปเช่นกัน ตั้งแต่ก้าวเข้าจวน คนผู้นั้นก็แสดงความจำนงอยากมางานชุมนุมเมฆาเป็นอันดับแรก นั่นแสดงว่าเขาคงต้องการอะไรบางอย่างที่นี่ ข้าจึงไม่ปฏิเสธที่จะให้เขาตามมาด้วย”

ผู้เฒ่าฉินเฟินเอ่ยอธิบายถึงเหตุผลที่เขายินยอมให้ฉินเทียนตัวปลอมติดตามมายังงานชุมนุมใหญ่แห่งนี้ให้ฉินอวี้โม่ฟัง

“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านปู่”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบเมื่อได้ยินคำอธิบายของผู้เป็นปู่

ไฉนเลยนางจะไม่เข้าใจความคิดดังกล่าว เพราะเวลานี้นางเองก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกัน

หลังจากสนทนากับผู้นำตระกูลอยู่สักพักใหญ่ ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ขอตัวกลับออกไป

“โม่เอ๋อร์ พวกเราเดินเล่นกันเถิด”

หานโม่ฉือยิ้มให้ฉินอวี้โม่พลางเอ่ยคำชวน

นับว่าผ่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาได้มีโอกาสจับจูงมือของฉินอวี้โม่และพากันเดินเล่นอย่างสงบสุข ไหน ๆ ในตอนนี้ทั้งสองคนก็อยู่ในอารมณ์ที่ดีและพอจะมีเวลาอยู่เล็กน้อย บุรุษน้ำแข็งจึงถือโอกาสอันหายากนี้รีบออกปากชวน

แน่นอนว่าคุณหนูโฉมงามไม่ปฏิเสธ

สองคู่รักหนุ่มสาวจูงมือกันเดินเล่นอยู่ในนครเมฆาด้วยอารมณ์สดใส และเมื่อเดินจนทั่วทั้งสองก็ตัดสินใจออกไปเที่ยวชมด้านนอกเมือง

“โม่เอ๋อร์ ข้าเกรงว่าในงานชุมนุมเมฆาครั้งนี้อาจจะไม่ปลอดภัยอย่างที่เจ้าคิด คนจากดินแดนหนเหนือพุ่งเป้าหมายไปที่กายเทพมายาของเจ้าอย่างชัดเจน ดังนั้นเราต้องระวังให้มาก”

หานโม่ฉือที่กอบกุมมือฉินอวี้โม่อยู่อดกล่าวเตือนนางในเรื่องนี้ไม่ได้

ถึงแม้จะมีตัวเขาคอยปกป้องนางไม่ห่าง แต่ก็ยังมิอาจประมาทศัตรูได้

ครั้งนี้มีคนจากดินแดนหนเหนือเดินทางเข้ามาในหวนหลิงมากกว่าที่คาดเอาไว้ พวกเขาที่อยู่ในที่แจ้งก็ย่อมเสียเปรียบอีกฝ่ายที่สุ่มอยู่ในที่มืด หากไม่ระวังให้ดีคงไม่พ้นต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น

เท่าที่รู้คร่าว ๆ มิใช่เพียงอารามโชติช่วงและนิกายหงส์มังกรเท่านั้นที่เข้ามาในหวนหลิง เพราะนอกจากนี้แล้วก็ยังมีนครหมื่นอสูร นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ วิหารทมิฬ อีกทั้งขุมกำลังใหญ่น้อยอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

และจุดประสงค์ที่ทุกขุมกำลังเดินทางเข้ามาก็ด้วยเป้าหมายหนึ่งเดียวคือกายเทพมายาเหมือนกันทั้งหมด

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะนับว่าแข็งแกร่งมากแต่ก็ยังมิอาจวางใจ แม้ว่าตัวหานโม่ฉือจะพร้อมสละทุกอย่างเพื่อปกป้องนาง ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เรื่องนางครอบครองกายเทพมายาถูกเปิดเผยออกไป ทุกขุมกำลังในดินแดนหนเหนือก็คงพร้อมจะเคลื่อนไหวเต็มตัว ถึงตอนนั้นต่อให้สละกระทั่งชีวิตของตัวเอง บุรุษน้ำแข็งก็คงปกป้องคนรักเอาไว้ไม่ได้

ด้วยว่าขุมกำลังเหล่านั้นถือเป็นระดับแนวหน้าในดินแดนหนเหนือ พวกเขาล้วนแข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ใด  ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละขุมกำลังก็ย่อมมีไพ่ตายอันน่าหวาดหวั่น ยิ่งถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือ หรือแม้แต่อวี๋จวินซานก็ยังยากจะร่วมกันรับมือได้

ในตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือ ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ความลับเรื่องกายเทพมายาเปิดเผยออกไป  บางเรื่องเมื่อปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วและคิดจะแก้ไขภายหลังก็อาจส่งผลเสียหายที่มากกว่า หรือบางทีก็อาจจะสายจนเกินกว่าจะทำสิ่งใดได้

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี สตรีผู้ครองกายเทพมายามีแผนการบางอย่างอยู่ในใจแล้ว

หากคนจากดินแดนหนเหนือมาเพื่อกายเทพมายานี้จริง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ไม่นึกหวาดหวั่น อีกฝ่ายมีไพ่ตายน่ากลัวตัวนางเองก็มีเช่นกันและนางก็มั่นใจว่ามันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ด้อยกว่า

ไม่ว่าจะเป็นมังกรทองหานอวี้หรือเทพอสูรซิวก็ล้วนเป็นไพ่ตายที่น่ากลัวของฉินอวี้โม่ โดยเฉพาะซิวที่เป็นถึงเทพอสูรในตำนานผู้ครอบครองพลังอันลึกลับสุดจะหยั่งถึงได้ อสูรทั้งสองคือไพ่ตายที่มีแต่ฉินอวี้โม่ผู้เดียวเท่านั้นที่ทราบถึงความน่ากลัว

ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในตัวซิวมาก ขอเพียงมีซิวอยู่ด้วยทุกปัญหาย่อมมีหนทางแก้ไขได้

ภายในพริบตาวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดวันก่อนงานชุมนุมเมฆาหนึ่งวันก็มาถึง

ในวันนี้ทุกคนที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานต่างก็มาถึงนครเมฆากันเกือบจะครบหมดแล้ว ก่อนที่งานชุมนุมจอมยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบประวัติศาสตร์กว่าพันปีของดินแดนจะเริ่มขึ้น ในฐานะเจ้าภาพ ทางนครไป๋อวิ๋นได้เตรียมงานเลี้ยงเพื่อให้ทุกขุมกำลังได้พบปะสนทนาและสานสัมพันธ์อันดีต่อกันเอาไว้ในคืนนี้

แน่นอนว่าแขกทุกคนที่เข้าร่วมงาน ในฐานะตัวแทนของขุมกำลังตนเองต่างก็ไม่คิดจะพลาดงานเลี้ยงนี้

หากจะกล่าวแล้ว งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงเดียวที่ทุกขุมกำลังของดินแดนหวนหลิงจะมารวมตัวกันอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงมีความสำคัญอย่างมาก ภายในงานมีโอกาสแห่งการเจรจาติดต่อหรือพบปะกับทุกขั้วอำนาจรอคอยอยู่ให้ไขว่คว้า โดยเฉพาะการจะได้ผูกมิตรกับนครเมฆาขุมกำลังอันแข็งแกร่ง นี่เองคือเหตุผลที่ไม่มีผู้ใดยอมพลาดงานเลี้ยงนี้

ตั้งแต่ที่เกิดสงครามของนครไป๋อวิ๋นเมื่อครั้งก่อน ทั้งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและจักรวรรดิชิงเฟิงต่างก็เจริญสัมพันธไมตรีและได้ผูกมิตรอันแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ในงานเลี้ยงก่อนวันชุมนุมเมฆาปิงเสวียนได้มีโอกาสออกไปร่วมโต๊ะอาหารและสนทนากับหลิวซิวหยาและเหล่าสหายรุ่นน้องอย่างสนิทสนม

ในช่วงหลายวันนี้แม้แต่ขุมกำลังลึกลับที่เก็บตัวเงียบมาเนิ่นนานอย่างวิหารแห่งความมืดก็ดูจะแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อขุมกำลังอื่น ๆ มากขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะฝั่งไป๋อวิ๋น ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะวิหารแห่งความมืดเป็นศัตรูกับอารามมาช้านาน และด้วยหลักการที่ว่า ‘ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรที่ยอดเยี่ยม’ ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาใกล้ชิดกับขุมกำลังฝ่ายไป๋อวิ๋นเพื่อผูกไมตรี

วิหารแห่งความมืดเองก็มีสาขาหลักอยู่ที่ดินแดนหนเหนือเช่นเดียวกันกับอาราม ซึ่งวิหารสาขาหลักนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม –วิหารทมิฬ

วิหารทมิฬและอารามโชติช่วงอยู่ในขั้วอำนาจที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด เมื่อรู้ว่าฉินอวี้โม่ถือเป็นศัตรูตัวฉกาจของอาราม วิหารแห่งความมืดจึงต้องจับตามองยอดฝีมือสาวผู้โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขานผู้นี้เป็นพิเศษ รวมถึงหาทางผูกไมตรีเอาไว้

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าน้อยอู่ซิงได้ยินชื่อของแม่นางฉินและคุณชายหานมานานแล้ว พวกท่านทั้งสองต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งแห่งหวนหลิง วันนี้ได้พบพวกท่านถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”

บุรุษที่กำลังกล่าวทักทายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออยู่ในขณะนี้มีนามว่า— ‘อู่ซิง’ เขาเป็นตัวแทนจากวิหารทมิฬแห่งดินแดนหนเหนือ อู่ซิงผู้นี้เดินตรงเข้ามาหาคุณหนูตระกูลฉินและบุรุษน้ำแข็งตระกูลหานด้วยรอยยิ้มพร้อมกล่าวทักทายอย่างสุภาพ

แม้ว่ากิริยาถ่อมตัวจนเกินเหตุนั้นจะดูคล้ายมีเจตนาเข้ามาตีสนิทอย่างโจ่งแจ้ง แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้วคนจากดินแดนหนเหนือผู้นี้ก็น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นด้วยความที่เป็นคนจากดินแดนหนเหนือความไม่ถือของเขาต่อคนในหวนหลิงก็ยิ่งทำให้น่าคบหา

“พี่อู่ซิงเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดาจากดินแดนเบื้องล่าง ไฉนเลยจะเทียบกับผู้มีพรสวรรค์จากดินแดนเทพมายาได้”

ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวตอบด้วยความอ่อนน้อมไม่ต่างกัน แม้จะคิดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้ายและทราบดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะเข้ามาผูกมิตร แต่อดีตนักฆ่าสาวก็ยังไม่กล้าไว้วางใจคนแปลกหน้ามากนัก อย่างไรเสียเวลานี้ ฉินอวี้โม่ก็สมควรต้องระวังตัวเป็นพิเศษ

กายเทพมายาของนางเป็นที่หมายปองของทุกคน ไม่มีทางรู้เลยว่าขุมกำลังไหนจะมีท่าทีอย่างไรหากทราบว่านางคือผู้ถือครองกายเทพมายา ยิ่งบัดนี้ฉินอวี้โม่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไม่น้อยก็ยิ่งทำให้ตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายกว่าผู้อื่น

“หึ ๆ ๆ แม่นางฉินถ่อมตัวเกินไปแล้ว พรสวรรค์ระดับนี้ต่อให้ไปดินแดนหนเหนือก็ยังโดดเด่นได้ ยิ่งได้ทรัพยากรของดินแดนเราคอยสนับสนุน แม่นางคงจะก้าวหน้าขึ้นไปอยู่หัวแถวของจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ได้แน่”

อู่ซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขารับรู้ได้ในทันทีว่าฉินอวี้โม่มีท่าทีระวังตัวต่อตน กระนั้นเขาก็ยังอยากจะผูกไมตรีกับนาง เขาไม่สนใจว่าสตรีผู้นี้จะมีทัศนคติอย่างไร

พรสวรรค์ของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออาจเรียกได้เต็มปากว่า ‘เหนือมนุษย์’ ต่อให้เปรียบเทียบกับคนจากดินแดนหนเหนืออย่างพวกเขาก็ยังไม่เป็นรอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย

เขาไม่มีข้อสงสัยเลยว่า อีกสิบปีหลังจากนี้ทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะเติบโตจนสามารถเทียบชั้นได้กับยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสของวิหารทมิฬในดินแดนเทพมายาได้เลย

“แม่นางฉินโปรดวางใจ วิหารทมิฬหาใช่อารามโชติช่วง พวกเราไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย วิหารทมิฬมิเคยเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในของดินแดนหวนหลิง ข้าเพียงแต่เห็นว่าพวกท่านทั้งสองมีพรสวรรค์โดดเด่นจึงเข้ามาหา หมายผูกไมตรี ข้าไม่มีเจตนาจะชวนพวกท่านมาเข้าร่วมกับวิหารทมิฬแม้แต่น้อย เพียงหวังว่าพวกท่านทั้งสองจะรับข้าไว้เป็นสหายสักคนเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อเห็นท่าทางคล้ายอยากหนีห่างของอีกฝ่าย อู่ซิงจึงกล่าวออกมาตรง ๆ โดยไม่ปกปิดเจตนา

เมื่อได้ยินวาจาที่ฟังดูจริงใจของตัวแทนจากวิหารทมิฬ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า หากเทียบกับคนของอารามโชติช่วงแล้วคนของวิหารทมิฬดูเป็นคนดีราวกับพ่อพระเลยก็มิปาน กิริยาท่าทางและคำพูดของพวกเขาช่างน่าดูน่าฟังยิ่งนัก

“เหอะ อู่ซิง หากว่าเจ้าอยากจะสร้างผลงานให้วิหารทมิฬก็จงทำไป แต่อย่าบังอาจพาดพิงและเหยียดหยามอารามโชติช่วงของเรา !”

เหยาปิงที่ลอบฟังอยู่ไม่ไกล เมื่อได้ยินสิ่งที่อู่ซิงกล่าวเขาก็รีบเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยต่อว่าอย่างไม่สบอารมณ์ทันที ที่สำคัญเขารู้สึกว่าท่าทางประจบประแจงของอีกฝ่ายมันช่างขัดหูขัดตาน่าขยะแขยงจนเหลืออด

“ข้าเพียงแต่เอ่ยตามความจริงเท่านั้น แม้นามว่า ‘อารามโชติช่วง’ ของพวกเจ้าจะฟังดูเป็นขุมกำลังฝ่ายธรรมะน่านับถือ แต่ทุกคนล้วนทราบดีว่าที่ผ่านมาพวกเจ้าทำเรื่องเลวทรามบัดซบอะไรไว้บ้าง ถึงขุมกำลังอื่นอาจจะไม่กล้าออกปากเช่นนี้ แต่พวกเราวิหารทมิฬไม่เคยกลัวพวกเจ้า”

อู่ซิงไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย วิหารทมิฬและอารามโชติช่วงเป็นศัตรูกันมาช้านาน เรื่องนี้เป็นที่รู้ชัดแจ้งยิ่งกว่าอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก อู่ซิงจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้า ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาไม่เคยมีข้อพิสูจน์ว่าฝ่ายใดเป็นต่อฝ่ายใดเป็นรอง แม้แต่ตัวเขาเองก็ข้องใจและอยากจะประลองกับคนของอารามโชติช่วงให้รู้ดำรู้แดงไปเลยเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำพูดถากถางของอู่ซิง ใบหน้าของเหยาปิงก็บูดบึ้งในทันใด

“เหอะ ! เหยาปิง ในเมื่อวิหารแห่งความมืดอยากจะเป็นสหายกับสตรีต่ำต้อยผู้นั้นนักก็ปล่อยไป แต่อู่ซิง ข้าขอเตือนเอาก่อนไว้นะว่าเวลานี้อารามมีบัญชีแค้นต้องสะสางกับฉินอวี้โม่ ถึงตอนนั้นหากพวกเจ้าเข้ามาแทรกแซงพวกเราจะบดขยี้ให้เละ ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย !”

เมื่อมองเห็นสถานการณ์อันคุกรุ่น หลงจื้อที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักก็เดินตามเข้ามาแล้วกล่าววาจาคล้ายข่มขู่

“หลงจื้ออย่าเพิ่งสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นจะดีกว่า ข้าได้ยินว่าช่วงนี้นิกายหงส์มังกรของพวกเจ้าก็มีปัญหาภายในไม่น้อย คิดหรือว่าข้าจะกลัวพวกเจ้า !”

อู่ซิงไม่สนใจหลงจื้อเช่นกัน

นิกายหงส์มังกรถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่มีอิทธิพลมากในดินแดนหนเหนือ หลายปีมานี้นิกายนี้รับอสูรมายาเข้ามาเป็นสมาชิกมากเป็นพิเศษ ทว่าถึงแม้จะได้ผู้มีพรสวรรค์มากมายมาร่วมด้วยและทำให้พลังอำนาจเติบโตขึ้นอย่างเท่าทวี แต่กลับมีผลให้เกิดปัญหาภายในมากขึ้นเท่าตัวด้วยเช่นกัน

นิกายหงส์มังกรเป็นพันธมิตรที่ดีกับอารามโชติช่วง แน่นอนว่าสำหรับวิหารทมิฬแล้วคนจากนิกายนี้ก็ถือเป็นศัตรู

“เหอะ ! ปากดีนักนะ ไว้รอพวกเรากลับไปถึงดินแดนเทพมายาเมื่อไหร่ ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้า เตรียมตัวเอาไว้ด้วย !”

หลงจื้อแค่นเสียงข่มขู่ด้วยโทสะ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

.

Options

not work with dark mode
Reset