อย่างไรก็ตาม อู่ซิงก็ไม่ได้สนใจวาจาข่มขู่ของหลงจื้อเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราจะรอ วิหารทมิฬของเราก็เฝ้ารอวันที่จะได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของนิกายหงส์มังกรของพวกเจ้ามานานแล้ว”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ตัวแทนจากวิหารทมิฬก็กล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้นได้ยินว่าอวิ๋นซื่อเทียนแห่ง ‘นครเวหา’ เองก็มีเรื่องบาดหมางกับพวกเจ้า เช่นนั้นข้าคงต้องเรียกนางมาด้วยแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินนามของอวิ๋นซื่อเทียน ใบหน้าของหลงจื้อก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ทว่าผู้มาจากนิกายที่รับเอาอสูรมายาเป็นสมาชิกก็ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เองก็ตกใจเช่นกัน อวิ๋นซื่อเทียนผู้นั้นมิใช่อัจฉริยะแห่งโรงเรียนราชสำนักที่จบการศึกษาไปเมื่อร้อยปีก่อนหรอกรึ ?
“พี่อู่ซิง อวิ๋นซื่อเทียนที่ท่านพูดถึงคืออวิ๋นซื่อเทียนแห่งโรงเรียนราชสำนักของดินแดนหวนหลิงใช่หรือไม่ ?”
หลินซิวหยาอดเอ่ยถามออกมาไม่ได้ เมื่อได้ยินว่าบุคคลในตำนานของโรงเรียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสองขุมกำลังใหญ่จากต่างดินแดนก็ทำให้เขาอยากรู้เป็นอย่างมาก
“ฮ่า ๆ ๆ ใช่แล้ว เป็นนางนั่นแหละ”
อู่ซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องยอมรับเลยว่าอวิ๋นซื่อเทียนคือผู้มีพรสวรรค์อันหาได้ยากในรอบพันปี เมื่อร้อยปีก่อน นางถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดนเทพมายาและแข็งแกร่งเพียงพอจะต่อกรกับวิหารทมิฬของเราทั้งหมดได้ เมื่อสิบปีก่อนนิกายหงส์มังกรท้าทายสตรีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นและได้ยั่วยุนครเวหาหลายครั้งหลายหนทำให้นางโกรธเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดอวิ๋นซื่อเทียนบุกไปถึงหุบเขาอันเป็นสถานที่ตั้งของนิกายแล้วเผาทำลายวอดวายไม่เหลือซาก ว่ากันว่าสิ่งปลูกสร้างทุกอย่างพังราบเหลือเพียงพื้นดินโล่ง ๆ บุกเข้ารังศัตรูแล้วสร้างความเสียหายมากมายมหาศาลถึงเพียงนั้น แม้แต่พวกเราทั้งขุมกำลังก็ยังไม่อาจทำได้ นี่ทำให้วิหารทมิฬของเราชื่นชมในตัวสตรีผู้นั้นมาก”
นับจากตอนนั้นจนถึงบัดนี้ อวิ๋นซื่อเทียนถือเป็นหนึ่งในตำนานแห่งดินแดนเทพมายาไปแล้ว นางมีพรสวรรค์ที่เรียกได้ว่า‘สูงส่งเหนือมนุษย์” ด้วยวิธีการอันเด็ดขาดรวมถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเกินธรรมดา สตรีผู้นี้ไม่เคยหวั่นเกรงแม้อยู่ต่อหน้าศัตรูที่ทรงพลังอำนาจ นี่เองคือเหตุผลว่าเหตุใดผู้คนในดินแดนเทพมายาจึงชื่นชมนางเป็นอย่างมาก
สำหรับวิหารทมิฬนั้น ถือเป็นขุมกำลังที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนครเวหา
ฉินอวี้โม่และเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์จากโรงเรียนราชสำนักพยักหน้า ในใจของพวกนางต่างก็นึกชื่นชมในตัวรุ่นพี่ผู้นี้
“พี่อู่ซิง ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง แต่ในครานี้พวกท่านมาทำอะไรที่ดินแดนหวนหลิงของพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่จ้องมองอู่ซิงตรง ๆ พลางกล่าวถามอย่างใคร่รู้
ในเมื่ออู่ซิงต้องการจะเป็นสหายกับนาง ฉินอวี้โม่ก็ต้องการรับรู้ทัศนคติและเจตนารมณ์ของฝ่ายวิหารทมิฬให้ชัดแจ้งเสียก่อน หากว่าทัศนคติของทั้งสองฝ่ายไม่มีสิ่งใดขัดแย้ง การจะผูกไมตรีกันไว้ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี
เมื่อได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ อู่ซิงก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย ทว่าเพียงพริบตาก็คล้ายตัดสินใจได้ “ฮ่า ๆ ๆ อันที่จริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปกปิด ในเมื่อเจ้าอยากจะทราบเช่นนั้นข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า”
อู่ซิงมองฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวต่อ “ที่พวกเรามาดินแดนหวนหลิงก็เป็นเพราะว่าพวกเราได้ข้อมูลมาว่ามี ‘ผู้สืบทอดของเทพมายา’ ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ และคนผู้นั้นก็ถือครองกายเทพมายาในตำนานอยู่ จุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อตามหาคนผู้นั้น”
เมื่อได้ยินคำตอบของอู่ซิง ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า เรื่องนี้นางได้ยินมาก่อนแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าอู่ซิงกล่าวออกมาตามความจริงโดยไม่เสแสร้งแกล้งปิดบังและมันยังช่วยยืนยันว่าวาจาของคนผู้นี้เชื่อถือได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่ทำให้นางเข้าใจในทัศนคติของขุมกำลังลึกลับนี้อย่างชัดเจน
“พวกท่านจะทำอย่างไรหากพบตัวผู้สืบทอดของเทพมายาแล้ว?”
ฉินอวี้โม่ทำทีคล้ายสงสัยแล้วเอ่ยถามออกมา
อู่ซิงมองสบนัยน์ตาสตรีรุ่นเยาว์ตรงหน้า ทันใดนั้นคนจากวิหารทมิฬก็กวาดมือครั้งหนึ่ง ก่อนที่ม่านพลังจะปรากฏขึ้นมาล้อมรอบกายเขาและคู่สนทนา ม่านพลังนี้จะทำให้คนภายนอกไม่ได้ยินเสียงพวกเขาสองคน
“เรื่องนี้คือความลับ แต่ในเมื่อข้าอยากผูกไมตรีกับเจ้า ข้าก็จะไม่ปิดบัง”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่เขาก็กล่าวต่อ “ประมุขของเราอยากจะช่วยปกป้องผู้สืบทอดของเทพมายาและผูกไมตรีกับนาง”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของอู่ซิง ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปชั่วขณะ นางไม่คิดว่าวิหารทมิฬจะมีจุดประสงค์ที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้น แน่นอนว่ายอดฝีมือผู้มาจากดินแดนเทพมายาย่อมรับรู้ได้
“ฮ่า ๆ ๆ แม้ว่าวิหารทมิฬของเราจะมีนามที่ฟังดูลึกลับชวนหวาดหวั่นก็จริง แต่เราทั้งหมดล้วนมีคุณธรรม ไม่เคยคิดก่อเรื่องผิดบาปผิดศีลธรรมใด ๆ หากเทียบกับอารามโชติช่วงแล้ว ข้ากล้าพูดเต็มปากว่าเราดีกว่าหลายเท่า ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดจึงอยากจะปกป้องผู้สืบทอดของเทพมายาและผูกมิตรกับคนผู้นั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนและถือเป็นความลับที่มิอาจเปิดเผยของวิหารทมิฬ แม้ว่าข้าอยากจะเป็นมิตรกับเจ้าเพียงใดแต่ก็คงจะเปิดเผยเรื่องนี้ไม่ได้”
อู่ซิงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของอู่ซิง ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า นางเชื่อว่าที่เขากล่าวมาเป็นความจริงทั้งหมด เพราะในเวลานี้อีกฝ่ายยังไม่ทราบว่านางคือผู้สืบทอดของเทพมายาที่กำลังตามหา ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดต้องโกหกนาง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยเรื่องที่นางคือผู้ถือครองกายเทพมายาให้อู่ซิงรับรู้ ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงคลุมเครือไม่ชัดเจน ไม่มีทางทราบว่าผู้ใดไว้ใจได้จริงหรือไม่ การไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
การสนทนาของฉินอวี้โม่และอู่ซิงดึงดูดความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดได้ยินเนื้อหาของการสนทนานี้ ผู้คนได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา ทว่าส่วนมากต่างคิดว่าตัวแทนจากวิหารทมิฬกำลังพยายามชักจูงให้สตรีผู้โดดเด่นจากดินแดนหวนหลิงเข้าเป็นพวก
“ฮ่า ๆ ๆ ท่านคืออธิการมู่อวิ๋นแห่งโรงเรียนราชสำนักใช่หรือไม่ ?”
อีกด้านหนึ่งของงาน บุรุษแปลกหน้าสองคนเดินตรงเข้ามาหามู่อวิ๋นก่อนจะกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
มู่อวิ๋นพยักหน้านอบน้อมแล้วถามกลับด้วยความสงสัย “ถูกต้องแล้ว แล้วพวกท่านคือ ?”
“หึ ๆ พวกเราทั้งสองมาจากนครเวหา ครั้งนี้ที่เรามาเยือนดินแดนหวนหลิง นอกจากเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่แล้วก็เพราะจ้าวนครของเราฝากให้พวกเรามาทักทายท่านอธิการมู่”
บุรุษสองคนนี้ คนหนึ่งนามว่า–อวิ๋นเฟิง ขณะที่อีกคนมีนามว่า–อวิ๋นหลาน ทั้งคู่เป็นตัวแทนจากนครเวหา
“แล้วจ้าวนครของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เมื่อได้ยินชื่อของนครเวหา มู่อวิ๋นก็พยักหน้าเบา ๆ แววตาระลึกถึงอดีต ดูเหมือนว่าอธิการผมสีประหลาดจะรู้จักนครเวหาและอวิ๋นซื่อเทียนผู้เป็นจ้าวนครมากกว่าที่คิด
“เอ่อ ท่านจ้าวนครสบายดีขอรับ แต่ท่านฝากข้อความบางอย่างให้มาแจ้งท่านอธิการ”
เมื่อได้ยินถ้อยคำอันแปลกประหลาด ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดแห่งโรงเรียนราชสำนักก็ตั้งใจฟังอย่างรอคอย
“จ้าวนครฝากมาบอกท่านว่า …ท่านคืออาจารย์และเป็นเสมือนบิดาตลอดชีวิต หากท่านอธิการมู่อยากจะไปที่ดินแดนหนเหนือในอนาคต ขอให้คิดเสียว่านครเวหาเป็นเสมือนบ้านของท่าน…มีเพียงเท่านี้ขอรับ”
อวิ๋นเฟิงและอวิ๋นหลานถ่ายทอดทุกคำพูดที่อวิ๋นซื่อเทียนฝากมาให้แก่มู่อวิ๋น จากนั้นทั้งสองก็หันหลังเพื่อเตรียมตัวเดินจากไป
ชาวนครเวหาทุกคนทราบดีว่าอวิ๋นซื่อเทียนนั้นเติบโตในดินแดนหวนหลิง โรงเรียนราชสำนักมีบุญคุณใหญ่หลวงที่อบรมเลี้ยงดูและกล่อมเกลานางมาจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นทุกวันนี้ นี่ทำให้สตรีผู้เป็นจ้าวนครรู้สึกซาบซึ้งใจและสำนึกในพระคุณเป็นอย่างมาก
มู่อวิ๋นผู้เป็นอธิการโรงเรียน ในยามนั้นได้สั่งสอนอวิ๋นซื่อเทียนเองกับมือ เขาเป็นยิ่งว่าอาจารย์ของนาง สำหรับอวิ๋นซื่อเทียนแล้วมู่อวิ๋นไม่ต้องจากบิดาอีกคนหนึ่ง
“เด็กคนนั้นนับถือข้าขนาดนี้เชียวหรือ”
มู่อวิ๋นยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เขาพบว่าอวิ๋นซื่อเทียนไม่ใช่เด็กธรรมดา และหนึ่งร้อยปีต่อมากาลเวลาก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง
“กลับไปบอกจ้าวนครของพวกเจ้าว่า หากข้ามีโอกาสไปเยือนดินแดนหนเหนือ ข้าจะขอรบกวนโดยไม่เกรงใจ”
มู่อวิ๋นยิ้มให้สองบุรุษจากนครเวหา อวิ๋นเฟิงและอวิ๋นหลานเมื่อได้รับฟังวาจาของบุรุษผู้ที่ท่านจ้าวนครให้ความเคารพรักก็แย้มยิ้มออกมาเช่นกัน
หลังจากสองบุรุษจากนครเวหาจากไปแล้ว มู่อวิ๋นก็อดหันไปมองฉินอวี้โม่ได้ ในตอนนี้เขาสงสัยเหลือเกินว่า ในอนาคตศิษย์น้อยตระกูลฉินผู้นี้จะกลายเป็น ‘อวิ๋นซื่อเทียนคนที่สอง’ ได้หรือไม่ หรือบางทีนางอาจจะเหนือกว่านั้นมากก็เป็นได้
“สหายน้อยอวี้โม่ ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นมาจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ยอดฝีมือของนครแห่งนี้จะมุ่งเน้นฝึกฝนเพียงทักษะกระบี่เท่านั้น มิได้ฝึกรอบด้านอย่างที่พวกเราทำ แต่พวกเขาก็ถือเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของดินแดนเทพมายา ทักษะกระบี่ของจ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเสียจนประมุขของเรายังต้องอิจฉา”
หลังจากสนทนากับอู่ซิงมาสักพัก ฉินอวี้โม่ก็คุ้นเคยกับเขาจนสนิทสนมและสามารถนับถือเอาเป็นสหายกันได้แล้ว
อู่ซิงให้เกียรติฉินอวี้โม่มาก คำเรียกว่า ‘สหายน้อย’ ที่เขาใช้ก็ฟังดูเอ็นดูน่าเป็นอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางมองดูสองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงจุดที่อู่ซิงชี้ แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล ทว่ากลิ่นอายของพวกเขาก็เฉียบคมราวกับกระบี่ที่พร้อมจะสะบั้นทุกสิ่ง…สมเป็นนักกระบี่ที่ยอดเยี่ยมโดยแท้
เมื่อเห็นเช่นนั้น อดีตนักฆ่าสาวผู้มีความสนใจในศาสตราวุธและทักษะเชิงยุทธ์หลายรูปแบบก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น นางใคร่รู้เหลือเกินว่าทักษะกระบี่ที่เหล่ายอดฝีมือผู้มุ่งมั่นอยู่แต่เพียงวิถีแห่งกระบี่ฝึกฝนมาจะเป็นเช่นไร คุณหนูผู้มีวิญญาณนักฆ่าตาเป็นประกาย ตอนนี้นางเกิดความรู้สึกสนใจคนของนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแล้ว
“ส่วนสามคนตรงนั้นมาจากเกาะวายุนิ่ง”
ถัดจากนั้น อู่ซิงก็ชี้ไปอีกยังคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ห่างออกไปพลางกล่าวแนะนำให้ฉินอวี้โม่รู้จัก ณ จุดนั้นมีบุรุษวัยกลางคนสามคนนั่งอยู่ ทั้งสามล้วนเป็นมีท่าทางภูมิฐานน่านับถือ
“เกาะวายุนิ่งเป็นขุมกำลังที่ค่อนข้างพิเศษในดินแดนเทพมายา พวกเขาปลีกตัวออกจากแผ่นดินใหญ่แต่ก็ถือเป็นขุมกำลังที่สำคัญอย่างขาดไม่ได้ เหตุผลเพราะว่าเกาะวายุนิ่งคือขุมกำลังที่มีช่างหลอมมากฝีมืออยู่นับไม่ถ้วน”
เกาะวายุนิ่งคือขุมกำลังที่โดดเด่นในด้านการหลอม ทักษะการหลอมของพวกเขามิใช่เพียงเหนือชั้น แต่ยังแปลกพิสดารไม่ธรรมดา
ภายในเกาะแห่งนี้มีช่างหลอมอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าความแข็งแกร่งด้านพลังมายาของคนในเกาะจะไม่สูงส่งมากนัก แต่ด้วยทักษะด้านนี้ที่โดดเด่นเหนือผู้ใดในใต้หล้าทำให้พวกเขามีอิทธิพลมหาศาลในดินแดนเทพมายา
เพราะแม้จะเทียบกับสุดยอดช่างหลอมจากแผ่นดินใหญ่แล้ว พวกเขาก็ยังเหนือกว่าอยู่ถึงหนึ่งหรือสองขั้น ดังนั้นเกาะวายุนิ่งจึงเป็นขุมกำลังที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องให้ความสำคัญและยำเกรงในอำนาจของพวกเขา
เมื่อได้ฟังกิตติศัพท์ด้านการหลอมของผู้คนจากเกาะวายุนิ่ง ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปด้วยความทึ่ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าขุมกำลังนี้ไม่อ่อนแออย่างแน่นอน แม้ว่ากำลังรบอาจจะไม่ได้สูงมาก แต่ทักษะการหลอมที่สูงส่งก็สามารถใช้เป็นข้อต่อรองที่ทรงพลานุภาพต่อขุมกำลังอื่น ๆ ได้
“ส่วนสองคนทางด้านนั้นมาจากนครหมื่นอสูร นครแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของอสูรมายาและมนุษย์ที่มีสายเลือดอสูร พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับนิกายหงส์มังกร ส่วนเรื่องทัศนคติของพวกเขา…เจ้าคงพอจะคาดเดาได้”
อู่ซิงชี้ไปทางบุรุษรูปร่างสูงใหญ่สองคนพลางกล่าวแนะนำให้ฉินอวี้โม่รู้จัก
นครหมื่นอสูรเป็นขุมกำลังใหญ่ ที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอสูรมายาและลูกหลานเผ่ามนุษย์ที่มีสายเลือดอสูรไหลเวียนอยู่ในกาย ชาวนครสายเลือดผสมนี้เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของนิกายหงส์มังกร
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในตอนนี้นางเริ่มเข้าใจถึงขั้วอำนาจต่าง ๆ ในดินแดนเทพมายาขึ้นมาบ้างแล้ว
จากที่อู่ซิงหายผู้มาใหม่บอกเล่ามา ขุมกำลังใหญ่ของดินแดนเทพมายาจะมีอยู่ทั้งหมดเจ็ดขุมกำลัง ได้แก่นครเวหา อารามโชติช่วง นิกายหงส์มังกร นครหมื่นอสูร วิหารทมิฬ นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และเกาะวายุนิ่ง
อารามโชติช่วง นิกายหงส์มังกรและนครหมื่นอสูรเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นและจัดเป็นหนึ่งขั้วอำนาจใหญ่ ขณะที่วิหารทมิฬนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับนครเวหาและจัดว่าอยู่ในขั้วตรงข้ามกับสามขุมกำลังพันธมิตร ส่วนนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และเกาะวายุนิ่งถือเป็นขุมกำลังที่เป็นกลาง
นอกเหนือจากขุมกำลังทั้งเจ็ดนี้แล้ว ดินแดนเทพมายายังมีสี่สมาคมใหญ่ที่ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีขุมกำลังขนาดกลางและขนาดเล็กอื่น ๆ อีกมากมาย โดยขุมกำลังเล็กทั้งหลายก็ล้วนแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของขุมกำลังใหญ่ทั้งเจ็ด และแน่นอนว่าเมื่ออำนาจถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายความวุ่นวายจากการกระทบกระทั่งกันระหว่างขุมกำลังต่างขั้วอำนาจจึงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง
กล่าวสรุปคือ ‘ดินแดนเทพมายาเป็นแผ่นดินแห่งความโกลาหลอย่างแท้จริง’
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ในดินแดนเทพมายา ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หันมามองหน้ากันก่อนจะแย้มรอยยิ้ม
ยิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลดีกับพวกนาง เมื่อสถานการณ์โกลาหล ขุมกำลังต่าง ๆ ก็จะไม่มีเวลาให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของ ‘ปลาตัวเล็ก ๆ’ อย่างคนจากดินแดนหวนหลิงและนั่นจะเปิดช่องว่างและโอกาสให้พวกนางสร้างฐานอำนาจขึ้นมาได้ง่าย
“พี่อู่ซิง ข้าได้ยินว่าในดินแดนหนเหนือมีขุมกำลังที่เรียกว่าเผ่าโบราณอยู่ด้วย ข้าอยากทราบว่าสถานะและความสำคัญของพวกเขาเป็นอย่างไรในดินแดนเทพมายา ?”
เมื่อคิดถึงเรื่องภูมิหลังของหานโม่ฉือ อีกทั้งยังเรื่องตระกูลของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดถามออกไปด้วยความใคร่รู้ไม่ได้
“พวกเจ้าคงพอรู้ใช่หรือไม่ว่า ขุมกำลังพวกนั้นถูกเรียกขานกันว่า ‘ตระกูลลับ’ หรือ ‘ตระกูลโบราณ’… ”
อู่ซิงนึกอึ้งกับคำถามของฉินอวี้โม่ไม่น้อย เพราะเผ่าโบราณถือเป็นขุมกำลังที่ลึกลับมาก แม้แต่ภายในดินแดนเทพมายาเอง เรื่องราวเกี่ยวกับขุมกำลังเหล่านี้ก็ยังเป็นปริศนาที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ พวกเขาทราบเพียงการมีอยู่แต่รู้ข้อมูลอื่นน้อยมาก
บุรุษจากดินแดนเทพมายาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ที่เป็นคนของดินแดนหวนหลิงจะมีความรู้เกี่ยวกับเผ่าโบราณในตำนานอยู่ด้วย