“หลงจื้อ เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด !”
เสียงอันทรงพลังและน่าเกรงขามดังเข้าสู่โสตประสาทของทุกคนในที่แห่งนั้น พริบตาถัดมาทุกคนก็มองเห็นเงาร่างพร่าเลือนปรากฏขึ้นที่ข้างกายหลงจื้อ
“ท่านจ้าวนิกาย ตอนนี้พวกเราพบตัวผู้สืบทอดของเทพมายาแล้ว แต่ว่าการจะจัดการตามแผนนั้นไม่ง่ายเลย พวกเราจึงอยากจะขออนุญาตท่านเพื่อใช้ของสิ่งนั้นขอรับ”
หลงจื้อกล่าวกับเงาร่างเลือนรางตรงหน้าด้วยความเคารพ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะใช้บางอย่างที่เป็นสมบัติล้ำค่าหรือสิ่งของลับเฉพาะของนิกายหงส์มังกรจึงต้องขออนุญาตจากผู้นำสูงสุด
ไม่แน่ว่ามันอาจไพ่ตายอันน่าหวาดหวั่นของขุมกำลังแห่งนี้
“สาวน้อยผู้นั้นน่ะรึ ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากขณะถูกเงาร่างนั้นจ้องมอง แรงกดดันที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาคุกคามถึงจิตวิญญาณของนางจนรู้สึกเจ็บปวด
‘อย่ากลัวมัน นายหญิง นั่นเป็นเพียงภาพมายาจิตเท่านั้น มันทำอะไรท่านไม่ได้หรอก’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ทันใดนั้นเองแรงกดดันอันมหาศาลที่บีบคั้นไปทั่วทั้งกายบางก็สลายไปในชั่วพริบตา
“ฮ่า ๆ ๆ เป็นสาวน้อยที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
เงาร่างนั้นเผยรอยยิ้ม ขณะมองดูฉินอวี้โม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้มันได้เพื่อให้แน่ใจว่าจะนำตัวสตรีผู้นี้กลับมายังนิกายของเราได้สำเร็จ”
ในดินแดนหวนหลิงมีกฎแปลกประหลาดที่กีดกันคนจากดินแดนอื่น ดังนั้นแล้วยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่าจ้าวนิกายหงส์มังกรจึงไม่สามารถเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ และถึงแม้จะมาด้วยมายาจิตแต่ก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก
แม้แต่พวกหลงจื้อที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตจ้าวพิภพ หากจะเดินทางมาที่ดินแดนหวนหลิงระดับพลังของพวกเขาก็จะถูกยับยั้งเอาไว้ให้ไม่อาจเหนือกว่าขอบเขตทูตสวรรค์ได้
“ขอรับ ท่านจ้าวนิกาย !”
หลงจื้อพยักหน้า บนใบหน้าเขามีแววแห่งความเบิกบานฉายชัด
ไพ่ตายของนิกายหงส์มังกรนั้น ต่อให้ตัวแทนจากทั้งวิหารทมิฬ นครเวหาและนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกันก็ไม่มีทางต้านทานได้ ขอเพียงจ้าวนิกายของพวกเขาอนุญาตให้ใช้ พวกเขาก็มั่นใจว่าจะพาตัวฉินอวี้โม่กลับไปได้อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ สาวน้อยแล้วข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ดินแดนเทพมายา”
เงาร่างนั้นระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะหายไปจากสายตาของทุกคนพร้อมกันนั้นสภาวะพลังรวมถึงแรงกดดันทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“พี่อู่ซิง นั่นน่ะหรือจ้าวนิกายหงส์มังกร ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองอู่ซิงแล้วเอ่ยถาม
“ใช่ นั่นคือจ้าวนิกายหงส์มังกรจริง ๆ แต่เป็นเพียงร่างมายาจิตของเขาเท่านั้น มีแค่แรงกดดันแต่ไม่มีพลังใด ๆ”
อู่ซิงพยักหน้า เขาเองก็รู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย แม้จะได้สัมผัสเพียงมายาจิต แต่ก็ดูเหมือนว่าจ้าวนิกายหงส์มังกรจะแข็งแกร่งกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“เมื่อครู่ หลงจื้อกล่าวถึงของสิ่งนั้น มีใครรู้บ้างไหมว่ามันคืออะไร ?”
ขงชิงแห่งนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ย่นคิ้วพลางกล่าวถามด้วยความสงสัย หลงจื้อผู้นั้นดูมั่นใจมาก นั่นแสดงว่านิกายหงส์มังกรจะต้องมีไพ่ตายที่น่ากลัวไม่น้อย
อู่ซิงส่ายศีรษะ เขาเองก็ไม่แน่ใจ
อวิ๋นเฟิงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะรู้แล้วว่าของสิ่งนั้นที่พวกเขาพูดถึงคืออะไร”
“มันคืออะไร ?”
สิ้นประโยคนั้น ทุกคนก็หันไปมองบุรุษจากนครเวหาเป็นตาเดียว
“ข้าได้ยินท่านจ้าวนครเคยบอกว่าเหตุผลที่นิกายหงส์มังกรสามารถขยายอำนาจได้รวดเร็วก็เป็นเพราะพวกเขาครอบครองสิ่งชั่วช้าไว้มากมาย พวกเขาเก็บมันไว้ใช้เป็นไพ่ตายในการต่อสู้ และหนึ่งในนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘วิญญาณมังกรพันปี’ ”
อวิ๋นเฟินบอกเล่าในสิ่งที่เขารู้โดยไม่ลังเล
ต้องบอกเลยว่านิกายหงส์มังกรเป็นขุมกำลังที่มีไพ่ตายอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งในรูปแบบสมบัติล้ำค่า หรือเคล็ดวิชาในการต่อสู้ พวกเขาเฟ้นหาสิ่งเหล่านี้มาจากทั่วทั้งแผ่นดิน ที่สำคัญขุมกำลังที่มีสมาชิกเป็นอสูรมายานี้ไม่เคยสนใจว่าสิ่งของนั้นจะชั่วร้ายหรือต้องใช้วิธีการชั่วช้าใดเพื่อเอามาครอบครอง และวิญญาณมังกรพันปีก็คือหนึ่งในนั้น
วิญญาณมังกรพันปีที่นิกายหงส์มังกรถือครองอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นเศษเสี้ยวพลังวิญญาณที่เหลืออยู่ของ ‘มังกรดึกดําบรรพ์’ ในอดีตเมื่อครั้งที่สัตว์ร้ายแห่งบรรพกาลชนิดนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งและมีฝีมือเหนือชั้นจะไล่ล่าพวกมันและทำการผนึกวิญญาณไว้ใช้งาน ทว่าในยุคนั้นถึงแม้จะผนึกวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์ได้แต่พวกเขากลับไร้วิธีการที่จะคงสภาพวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างมหาศาลนั้นเอาไว้ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดพลังวิญญาณของสัตว์ร้ายก็ค่อย ๆ ถดถอยไปตามกาลเวลา
มังกรดึกดำบรรพ์ตัวเป็น ๆ ที่อยู่ในสมัยโบราณนั้น หากว่าโตเต็มวัยจะมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยที่สุดก็เทียบเท่ายอดฝีมือมนุษย์ผู้อยู่ใน ‘ขอบเขตนภาเซียน’ ดังนั้นแม้ว่าจะหลงเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวของวิญญาณก็ไม่อาจประมาทพลังของมันได้
เป็นที่แน่ชัดว่า วิญญาณมังกรพันปีนี้คงจะมีพลังไม่ต่ำกว่าขอบเขตจ้าวพิภพ
ยอดฝีมือมนุษย์จากดินแดนอื่นหากเข้ามาในดินแดนหวนหลิงจะถูกจำกัดพลังไว้ที่ขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์ อย่างไรก็ตามเนื่องจากมังกรดึกดำบรรพ์อยู่ในสภาพวิญญาณ พลังของมันจึงไม่ถูกกดข่มด้วยข้อจำกัดนี้
ดังนั้นแล้วนี่จึงเป็นไพ่ตายที่น่ากลัวของนิกายหงส์มังกร
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดว่าคนของนครเวหาจะมีความรู้กว้างขวางเช่นนี้”
หลงจื้อหัวเราะแล้วกล่าววาจา นี่เท่ากับการยอมรับว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเข้าใจเป็นเรื่องถูกต้อง
“แต่…น่าเสียดายที่วันนี้คือวันตายของพวกเจ้า !”
สิ้นวาจาแสนโอหัง ก้อนแสงก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของหลงจื้อ บุรุษจากนิกายหงส์มังกรหลับตาลงพร้อมกับสวดบริกรรมคาถาด้วยภาษาประหลาด ไม่นานนักทุกคนก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นล้นทะลักออกมาจากแสงก้อนในมือเขา
พริบตาต่อมาเงาร่างที่พร่าเลือนของมังกรดึกดำบรรพ์ก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศตรงหน้าหลงจื้อ
ฉินอวี้โม่จ้องมองอย่างตกตะลึง หางยาวทรงหลัง กรงเล็บแข็งแรง ขาหลังสองข้างแข็งแกร่ง หัวและปากขนาดใหญ่ที่มีเขี้ยวยาวแหลมคมจำนวนมากมาย ดวงตาสีแดงฉานที่แม้จะเป็นเพียงเงาพร่าเลือนก็สัมผัสถึงความกระหายเลือดชวนขนหัวลุก รูปร่างของเจ้าตัวนี้ไม่ต่างจากไดโนเสาร์พันธุ์ไทแรนโนซอรัสที่เรียกขานกันในโลกศตวรรษที่ 21 ของนางแม้แต่น้อย
“น้อมพบท่านมังกรดึกดำบรรพ์”
เมื่อเห็นมังกรดึกดำบรรพ์ หลงจื้อและคนอื่น ๆ ก็รีบคุกเข่าลงก่อนจะกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม
แม้ว่าจะเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่มันก็ยังปลดปล่อยแรงกดดันอันยากจะต้านทานออกมาได้ และเป็นผลให้แม้แต่หลงจื้อและพวกพ้องจากนิกายหงส์มังกรเองยังหายใจได้อย่างยากลำบาก
มังกรดึกดำบรรพ์ถือเป็นหนึ่งในมังกรที่มีสายเลือดสูงในเผ่าพันธุ์มังกร และวิญญาณมังกรดึกดำบรรพ์ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาในเวลานี้ก็ถูกจัดว่าเป็นดั่งราชาในหมู่มังกรดึกดำบรรพ์ ดังนั้นสายเลือดของมันจึงเทียบได้กับมังกรทองห้าเล็บเลยทีเดียว
“ที่เรียกข้าผู้นี้มามีธุระอะไร ?”
มังกรดึกดำบรรพ์เปิดปากถาม น้ำเสียงนั้นฟังดูติดจะรำคาญเล็กน้อย
“ท่านมังกรดึกดำบรรพ์ผู้ยิ่งใหญ่โปรดเมตตา ตอนนี้พวกเราพบตัวผู้สืบทอดของเทพมายาแล้ว ท่านเองคงรู้ถึงความพิเศษของกายเทพมายาดี ทว่ากำลังของฝ่ายนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยทำให้เราชิงตัวนางมาไม่ได้ พวกเราจึงอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน”
หลงจื้อกล่าวอย่างสุภาพ เขาเลือกใช้วาจากับมังกรดึกดำบรรพ์อย่างระมัดระวัง
“หือ พวกเจ้าพบเทพมายาคนใหม่แล้วอย่างนั้นรึ !”
ทันใดนั้นมังกรดึกดำบรรพ์ก็หันไปมองโดยรอบ ก่อนที่ดวงตาแดงฉานจะหยุดลงตรงตำแหน่งที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่ ดูเหมือนว่าวิญญาณดึกดำบรรพ์จะรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของนาง
“ฮ่า ๆ ๆ กลิ่นอายแบบนี้ เป็นเทพมายาจริง ๆ”
มังกรดึกดำบรรพ์หัวเราะออกมา คล้ายว่ากำลังพึงพอใจอย่างยิ่งยวด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งจิตใจของวิญญาณโบราณตนนี้ไว้ คือความหวังที่จะฟื้นคืนชีพ มังกรบรรพกาลกำลังเฝ้ารอวันที่มันจะถูกชุบชีวิตและกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง
เมื่อนานมาแล้วจ้าวนิกายหงส์มังกรเคยบอกกับมันว่าขอเพียงพบตัวผู้สืบทอดของเทพมายา พวกเขาสามารถใช้เลือดของนางช่วยชุบชีวิตมันได้ หลังจากการออกตามหามานานหลายปี ในที่สุดก็พบตัวผู้สืบทอดเสียที ในตอนนี้มันจึงทั้งตื่นเต้นและยินดีถึงขีดสุด
“ท่านมังกรดึกดำบรรพ์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอเพียงท่านช่วยพวกเราพาตัวนางไปที่นิกายหงส์มังกร ท่านจ้าวนิกายก็จะช่วยท่านให้ได้ฟื้นคืนชีวิตอย่างแน่นอน”
หลงจื้อจ้องมองมังกรดึกดำบรรพ์พลางเอ่ยข้อเสนอ ก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเย้ยหยัน
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้ว ต้องยอมรับเลยว่ามังกรดึกดำบรรพ์สร้างแรงกดดันอันหนักหน่วงให้นางได้อย่างแท้จริง
วิญญาณอสูรตรงหน้าจะต้องไม่ใช่อสูรที่อยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพธรรมดาสามัญ เพราะแรงกดดันที่นางสัมผัสได้แสดงให้เห็นว่า มังกรดึกดำบรรพ์ตัวนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะไปกว่าครึ่งก้าวแล้ว
เหนือขึ้นไปจากขอบเขตจ้าวพิภพคือ ‘ขอบเขตจ้าวสุริยะ’ และเหนือขั้นไปจากขอบเขตสุริยะเป็น ‘ขอบเขตเซียน’ ขอบเขตเซียนนี้แบ่งแยกย่อยได้อีกเป็นขอบเขต ‘พสุธาเซียน’ และขอบเขต ‘นภาเซียน’ รวมถึงที่สูงขึ้นไปกว่าขอบเขตเซียนทั้งสองที่ถูกเรียกว่า ‘ขอบเขตราชาเซียน’
จ้าวนิกายหงส์มังกรที่ปรากฏตัวเมื่อครู่คือยอดฝีมือระดับแนวหน้าของดินแดนหนเหนือผู้ซึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภาเซียนแล้ว ส่วนวิญญาณของมังกรดึกดำบรรพ์ที่ไม่สมบูรณ์ตรงหน้านี้ น่าจะมีพลังหลงเหลืออยู่ในระดับเทียบเคียงกับขอบเขตจ้าวสุริยะครึ่งก้าว
“ฮ่า ๆ ๆ ก็แค่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ ไม่กี่คน”
มังกรดึกดำบรรพ์ยิ้มอย่างดูแคลน
เมื่อเห็นทั้งสตรีผู้ครองกายเทพมายาและคนอื่น ๆ ในฝ่ายของนางมีพลังที่ห่างชั้นกับตัวมันมาก มันจึงไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแม้แต่น้อย
“หากเป็นเทพมายาคนก่อน ต่อให้เป็นข้าในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แต่ว่าสาวน้อยผู้นี้นับว่ายังอ่อนแออยู่มาก”
ดวงตาแสนชั่วร้ายขนาดยักษ์ของมังกรดึกดำบรรพ์จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยความเหยียดหยาม
หากเป็นเทพมายารุ่นก่อนปรากฏตัว มันก็คงจะกลัวจนไม่กล้าสู้ ทว่าตรงหน้าในตอนนี้เป็นเพียงหญิงสาวตัวน้อย ที่แสนอ่อนแอและเปราะบาง หากเทียบกับมันแล้วก็ย่อมไม่ต่างจากมดปลวกที่ยืนต่อหน้าราชาผู้ยิ่งใหญ่
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงวิญญาณที่ระดับพลังห่างไกลจากตอนยังมีชีวิตมาก แต่เพียงแค่รับมือกับมนุษย์ไม่กี่คนย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับมันสักนิด
เมื่อได้ยินวาจาของมังกรดึกดำบรรพ์ หลงจื้อก็ยิ้มอย่างมั่นใจ
เมื่อมังกรดึกดำบรรพ์กล่าวเช่นนั้นก็มั่นใจได้เลยว่าในวันนี้ภารกิจของพวกเขาต้องสำเร็จลุล่วงได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าอู่ซิงและคนอื่น ๆ จะมีไพ่ตายของตัวเองอยู่ แต่ก็ไม่มีทางเอาชนะมังกรดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะครึ่งก้าวตนนี้ได้
“คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้นิกายหงส์มังกรจะยอมทุ่มเททุกอย่างถึงขั้นเรียกใช้งานไพ่ตายที่สำคัญขนาดนี้ !”
อู่ซิงขมวดคิ้ว วิหารทมิฬของพวกเขาเองก็มอบสิ่งที่เป็นไพ่ตายให้เขาติดกายมาด้วยเช่นกัน แต่ทว่าวิญญาณมังกรพันปีอยู่เหนือความคาดหมายของเขามากเกินไป มากเสียจนไพ่ตายในมือของเขาไร้พลังที่จะต่อต้านได้
“วันนี้พวกเราเองก็ต้องทุ่มสุดตัว แม้ว่ามังกรดึกดำบรรพ์จะแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็ยังมีไพ่ตายอยู่ !”
ขงชิงกล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่น ในเมื่อเขาเลือกยืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่ วันนี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็จะต้องปกป้องนางให้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นตัวแทนจากนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ลังเลอีก
ขงชิงชักกระบี่ยาวที่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งเล่มหนึ่งขึ้นมา ขณะดึงกระบี่ออกจากฝักสีหน้าแววตาของเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก
“หรือว่านั่นก็คือกระบี่ที่เป็นอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ของนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ —— กระบี่ไร้ค่า !”
เมื่อเห็นกระบี่ยาวในมือของขงชิง อวิ๋นเฟิงก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจปนตื่นตระหนก
‘กระบี่ไร้ค่า’ คืออุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์แห่งนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ กระบี่เล่มเป็นกระบี่ในตำนานที่ตกทอดส่งต่อกันมาอย่างช้านานในขุมกำลังของพวกเขา ในสมัยโบราณมันถือเป็นกระบี่ที่สร้างชื่อจนเป็นที่โจษขานในแผ่นดิน ความโดดเด่นอย่างถึงที่สุดของมันคือความแข็งแรงและทนทานอย่างยวดยิ่ง กระบี่ไร้ค่านี้แข็งจนเรียกได้ว่าไม่อาจทำลายได้
และกระบี่เล่มนี้เองที่มีส่วนช่วยทำให้นครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในแถวหน้าของดินแดนหนเหนือได้อย่างมั่นคง
กล่าวกันว่า บรรพชนผู้ก่อตั้งนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เคยใช้กระบี่ไร้ค่ารับมือกับยอดฝีมือขอบเขตนภาเซียนสามคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่าตัวเขาด้วยตัวคนเดียวได้ในเวลาเดียวกัน นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความไร้เทียมทานของกระบี่นามประหลาดเล่มนี้อย่างชัดเจน
“ฮ่า ๆ ๆ กระบี่เล่มนี้เป็นเพียงกระบี่ที่สร้างขึ้นเลียนแบบกระบี่ไร้ค่าเท่านั้น ตัวข้าเองยังมีฝีมือไม่เพียงพอ ข้าไม่หาญกล้าอาจเอื้อมควบคุมกระบี่ไร้ค่าของจริงได้หรอก”
ขงชิงยิ้มอ่อน ในน้ำเสียงที่กล่าวถึงกระบี่นั้นเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรงชัดเจนจนสัมผัสได้
กระบี่ไร้ค่าถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตราตรึงในหัวใจของมือกระบี่ทุกคน
ในตอนที่ส่งคนมายังดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ จ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้มอบกระบี่จำลองของกระบี่ไร้ค่าให้กับขงชิงและสหายเพื่อให้เขาเอาไว้ใช้เป็นไพ่ตาย
และถึงแม้จะเป็นเพียงของเลียนแบบแต่มันก็เป็นถึงอุปกรณ์ระดับสมบัติที่ทรงพลัง
“เพียงเท่านั้นก็ดีมากแล้ว ขอเพียงทุกคนร่วมมือต่อสู้ ด้วยไพ่ตายในมือ พวกเรายังมีหวังที่จะชนะศึกนี้ได้”
อู่ซิงพยักหน้า แม้จะไม่ใช่กระบี่ไร้ค่าของจริงแต่เพียงแค่อาวุธระดับสมบัติในมือของขงชิงก็ถือว่าเพียงพอแล้ว กระบี่ชั้นดีหากอยู่ในมือของนักกระบี่ที่คู่ควรก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมกันและกัน
“ทุกท่าน นี่คือโอสถเฉพาะของวิหารทมิฬ มันจะสามารถเพิ่มพลังของพวกท่านให้เทียบเท่ากับยอดฝีมือขอบเขตจ้าวพิภพได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ นี่คือไพ่ตายของเรา ข้าหวังว่ามันจะช่วยทุกท่านได้”
เขาหยิบเอาขวดเก็บโอสถออกมาก่อนจะส่งมันให้ขงชิงและคนอื่น ๆ
โอสถนี้เป็นโอสถที่ทางวิหารทมิฬคิดสูตรและหลอมขึ้นใช้เอง มันถือเป็นหนึ่งในโอสถที่ล้ำค่ามากในแผ่นดิน แม้ว่าจะมีโอสถหลายชนิดที่สามารถเพิ่มระดับพลังได้ในระยะเวลาสั้น ๆ โดยปกติแล้วการจะเพิ่มพลังจนเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ทว่าโอสถเม็ดนี้กลับทำเรื่องอันน่าเหลือเชื่อเช่นนั้นได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าอารามโชติช่วงก็มีโอสถวิเศษในลักษณะเช่นนี้อยู่ด้วย
“หึ ๆ ๆ นครเวหาของพวกเรามีสมบัติอยู่ไม่มาก ครั้งนี้ข้าแค่นำสิ่งนี้ติดตัวมาด้วยเท่านั้น”
อวิ๋นเฟิงยิ้ม เขารับโอสถของอู่ซิงมาอย่างนอบรับไม่คิดปฏิเสธ จากนั้นตัวแทนจากนครเวหาก็ลวงเองไพ่ตายของตนออกมาจากแหวนมิติ
เมื่อเห็นสิ่งที่อวิ๋นเฟิงนำออกมา อู่ซิงและคนอื่น ๆ ก็อ้างปากค้างก่อนจะอุทานดังลั่นด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือ….”
.