แม้ว่าจะถูกกระบวนท่าที่รุนแรงของฉินอวี้โม่เข้าไปจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าหลิงซานก็ยังไม่อยู่ในจุดที่อันตรายถึงชีวิต
จ้าวอารามล้วงเอาโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วกลืนมันลงไปทันที หลังจากนั้นอาการบาดเจ็บของเขาก็ทุเลาลงอย่างช้า ๆ
หลิงซานค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นก่อนจะเช็ดเลือดที่มุมปาก สองตาจับจ้องฉินอวี้โม่ด้วยความอาฆาต
ฉินอวี้โม่น่ากลัวยิ่งนัก
เดิมทีเขาคิดว่าพลังที่เทียบเท่าขอบเขตจ้าวพิภพนี้เพียงพอจะจัดการฉินอวี้โม่ได้อย่างไร้อุปสรรค ไม่คิดเลยว่าแม้จะมีพลังที่เหนือกว่ามาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสตรีประหลาดผู้นี้ เขากลับยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบหนักหน่วง
กระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง อย่าว่าแต่จอมยุทธ์จ้าวพิภพเลย เพราะต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะรับมือเองก็ยังยากจะต้านทานได้โดยง่าย
“หลิงซาน จำได้หรือไม่ ครั้งก่อนข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน”
ฉินอวี้โม่จ้องมองหลิงซาน ขณะเดียวกันจิตสังหารอันรุนแรงก็ปะทุออกจากร่าง หลิงซานผู้นี้ยั่วยุนางครั้งแล้วครั้งเล่า และในอนาคตดูเหมือนว่าอารามของเขาก็จะยังคงตามราวีนางไม่คิดเลิกรา ไม่ใช่เพียงแต่ตัวนางเท่านั้นที่เดือดดาล แต่ทั้งครอบครัวและคนรอบข้างของนางก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่ หากวันนี้ปล่อยให้คนผู้นี้หนีรอดไปได้ ภายภาคหน้านางจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
“เหอะ ข้าสู้เจ้าไม่ได้แล้วอย่างไร การต่อสู้ในวันนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้าเท่านั้น ถึงเจ้าจะชนะข้าได้ แต่ยอดฝีมือจากดินแดนหนเหนือคนอื่นก็ยังอยู่ อย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องพ่ายแพ้ !”
หลิงซานกวาดตามองทั่วทั้งสนามรบพลางสาดวาจาเย็นชากลับไปไม่เกรงกลัว
การต่อสู้ในวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเขากับนางเพียงสองคน
ถึงแม้ฉินอวี้โม่เอาชนะเขาได้ แต่ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างมังกรดึกดำบรรพ์ก็ยังคงอาละวาดอยู่ จะอย่างไรฝ่ายพวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่ามาก
“หึ วันนี้ใครจะแพ้ชนะยังไม่รู้แน่ แต่ที่แน่ ๆ เจ้าคงไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวเสียงเยือกเย็น นางไม่สนใจสิ่งที่หลิงซานกล่าว
ด้วยอาชีพนักฆ่า เมื่อตัดสินใจจะสังหารผู้ใดแล้วก็ไม่ควรลังเล สถานการณ์ทางด้านหานโม่ฉือยังอันตรายอยู่มาก นางต้องรีบจบการต่อสู้ของตัวเองและไปช่วยทางนั้นให้เร็วที่สุด
เมื่อได้ฟังประโยคล่าสุดจากสตรีผู้น่าหวาดหวั่น ใบหน้าของหลิงซานก็แข็งค้างไป ในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองตกอยู่ในวิกฤตแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบสนอง ร่างบางของฉินอวี้โม่ก็มาปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง
เพราะยังบาดเจ็บอยู่ทำให้พลังในการต่อสู้ของจ้าวอารามถดถอยลงไปมาก แม้จะสัมผัสได้ถึงอันตรายแต่ก็ไร้ซึ่งพลังจะใช้ป้องกัน
— ปัง ! —
พริบตานั้น หลิงซานถูกฝ่ามือของฉินอวี้โม่ซัดจนกระเด็นไปไกลก่อนจะตกกระแทกพื้น
— พรวด ! —
ผู้นำแห่งอารามหวนหลิงกระอักเลือดจำนวนมากอีกครา ใบหน้าของเขาในตอนนี้ซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านจ้าวอาราม !”
ทันใดนั้นเสียงของลั่วเฉินก็ดังขึ้นจากจุดที่ไกลออกไป
“ลั่วเฉินรีบเข้ามาช่วยข้า สกัดนางเอาไว้ !”
เสียงเรียกจากโอรสแห่งอารามเปรียบประดุจเสียงแห่งความหวังของหลิงซาน เขารีบก้าวถอยหลังพลางหันไปมองทิศทางที่ลั่วเฉินอยู่แล้วตะโกนสั่ง
เมื่อเห็นลั่วเฉินปรากฏตัว คิ้วเรียวของฉินอวี้โม่ก็ขมวดมุ่น
สำหรับลั่วเฉินผู้นี้ ฉินอวี้โม่ยังมีความรู้สึกดี ๆ ในฐานะที่เขาเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนราชสำนักหลงเหลืออยู่
แม้ว่าบุรุษแข็งแกร่งผู้นี้จะถือครองตำแหน่งโอรสแห่งอาราม แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยมองเขาเป็นศัตรูเลยสักครั้ง
ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งยังอยู่ในโรงเรียนราชสำนัก ลั่วเฉินมีโอกาสตั้งมากมายที่จะสังหารฉินอวี้โม่ได้ ทว่าเขากลับไม่ยอมลงมือ
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาที่เขาต้องจากโรงเรียนที่เขารักไป คุณหนูตระกูลฉินสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าปนอาวรณ์ในใจของเขา
“รุ่นน้องอวี้โม่ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ลั่วเฉินกล่าวทักทายฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเช่นเคย
ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้เขามาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ล่าช้ากว่าคนอื่น ๆ ในขุมกำลัง ตัวเขาเพิ่งจะมาถึงนครเมฆาเมื่อครู่นี้เอง
เมื่อได้ยินคำทักทายของลั่วเฉิน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าเขาก่อนจะกล่าว “โอรสแห่งอารามโปรดอย่าขวางทางข้า ในฐานะที่เป็นอดีตศิษย์ร่วมสถาบัน ข้าไม่อยากสังหารท่าน”
ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการฆ่าลั่วเฉิน ตัวนางไม่เคยมีความแค้นใด ๆ กับเขา อีกทั้งคนผู้นี้ยังถือเป็นศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ เป็นนักเรียนร่วมสถาบันเดียวกัน
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ลั่วเฉินก็ยิ้มแล้วกล่าว “ขอให้ข้าได้พูดอะไรบางอย่างกับเขาก่อน ถ้าเจ้าอยากจะสังหารเขา เจ้าสามารถทำได้ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรอก”
สิ้นประโยคนั้น โอรสแห่งอารามก็ไปปรากฏตัวข้างกายหลิงซานทันที
ฉินอวี้โม่ไม่คิดจะหยุดเขา คุณหนูตระกูลฉินเพียงมองตามเขาไปในทิศทางที่หลิงซานอยู่พร้อมกับขมวดคิ้ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่นางกลับรู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ปกติ
“ลั่วเฉินช่วยข้าขวางนางเร็วเข้า !”
เมื่อเห็น คนของตนเองเข้ามาใกล้ หลิงซานก็รีบการสั่งการทันที น้ำเสียงที่ใช้ฟังดูกระวนกระวายยิ่งยวด
ตอนนี้จ้าวอารามเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจในตอนที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเปี่ยมล้นจากร่างของฉินอวี้โม่ หากลั่วเฉินไม่ปรากฏตัว ป่านนี้เขาก็คงจะกลายเป็นศพไปแล้ว
ตอนนี้มีเพียงคนตรงหน้าผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งฉินอวี้โม่ การใช้ลั่วเฉินถ่วงเวลาศัตรูไว้แล้วหนีไปเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ลั่วเฉินที่ปรากฏตัวข้างหลงซานส่งยิ้มให้บุรุษอาวุโสผู้เป็นจ้าวอาราม
— ฉึก ! —
เกิดเสียงคล้ายอาวุธคมกริบเสียบแทงเนื้ออสูรดังขึ้นครั้งหนึ่ง ในเวลาเดียวกันหลิงซานก็จ้องมองลั่วเฉินด้วยตาที่เบิกกว้าง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว สับสน คับแค้น และไม่ยินยอม …เสียงที่ดังขึ้นนั้นเกิดจากกระบี่ในมือของโอรสแห่งอารามส่วนสิ่งที่ถูกเขาเสียบทะลุก็ไม่ใช่เนื้ออสูรมายาแต่เป็นร่างของจ้าวอาราม…
ฉินอวี้โม่ที่คอยจับตาดูคนทั้งคู่อยู่ก็เบิกตากว้างเช่นกัน นางตกใจอย่างมากเมื่อเห็นลั่วเฉินใช้กระบี่แทงทะลุอกของหลิงซาน
“หลิงซาน ข้าช่วยเจ้าแล้วนะ หลังจากนี้ก็หลับให้สบาย ไม่มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายอีกแล้ว !”
แม้ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยจะคล้ายปลอบประโลม แม้น้ำเสียงที่ออกมาจะอ่อนโยนคล้ายขับกล่อม แต่แววตาของลั่วเฉินที่ใช้จ้องมองจ้าวอารามในตอนนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังและแรงอาฆาต มือที่ใช้กำกระบี่ของเขาสั่นราวกับกำลังพยายามยับยั้งความโกรธ
“หึ ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือคนที่ลงมือสังหารพ่อแม่ข้าแล้วพาข้ามาอยู่ที่อาราม หลายปีมานี้ที่ข้ายอมอดทนอยู่ใต้อำนาจของขุมกำลังน่าขยะแขยงของเจ้าและตั้งใจฝึกฝนก็เพราะหวังว่าสักวันจะได้ล้างแค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ก็เท่านั้น”
หลิงซานประทับใจในพรสวรรค์ของลั่วเฉินตั้งแต่แรกเห็นและอยากจะนำตัวเขามาอยู่อารามด้วย
อย่างไรก็ตาม บิดามารดาของลั่วเฉินนั้นไม่ยินยอม พวกเขารู้สึกว่าอารามอาจจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักสำหรับการเติบโตของบุตรชายอันเป็นที่รัก ที่สำคัญพวกเขาไม่รู้สึกถึงความปรารถนาดีของหลิงซานผู้นี้เลย
เรื่องนี้ทำให้หลิงซานโกรธเคืองอย่างยิ่ง เขาลงมือสังหารสามี-ภรรยาแซ่ลั่วในทันที ก่อนจะพาทารกน้อยลั่วเฉินมาฟูมฟักไว้ที่อารามและคอยอบรมฝึกฝน หลิงซานเลี้ยงดูทารกที่เขาชิงตัวมาประดุจบุตรในอุทร และด้วยความเฉิดฉายเกินกว่าผู้ใดของลั่วเฉิน ในที่สุดจ้าวอารามก็แต่งตั้งให้เป็นโอรสแห่งอาราม
ในตอนนั้นลั่วเฉินยังมีอายุไม่ถึงสองปีเลยด้วยซ้ำ หลิงซานจึงคิดว่าเขาไม่น่าจะจดจำสิ่งใดได้ แต่หารู้ไม่ว่าหลังจากเติบใหญ่จนรู้ความ ลั่วเฉินก็พยายามสืบเรื่องนี้อย่างลับ ๆ
เพราะอาศัยอยู่ในอารามจึงไม่เป็นที่สะดุดตา และยิ่งเป็นที่วางใจของจ้าวอารามจึงไม่มีผู้ใดสงสัยถึงสิ่งที่เขาทำ ในที่สุดลั่วเฉินก็ได้รู้ความจริงเรื่องของบิดามารดา เวลานั้นเขาความรู้สึกเกลียดชังหลิงซานอย่างมาก ทว่าแม้จะเกลียดคนผู้นั้นจนเข้ากระดูกดำแต่ก็จำเป็นต้องอดทนเอาไว้ เขาในตอนนั้นยังอ่อนแอไม่อาจทำอะไรได้ หลายปีหลังมานี้หากไม่นับช่วงที่อยู่ในโรงเรียน เหตุผลเดียวที่รั้งให้เขายอมอยู่ในอารามอย่างสงบก็เพื่อรอวันที่จะได้ล้างแค้น
ลั่วเฉินรอโอกาสนี้มาโดยตลอด เขาต้องการจะสังหารหลิงซานด้วยมือของเขาเอง เอาเลือดเนื้อคนสารเลวผู้นี้เซ่นไหว้วิญญาณบุพการี !
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลั่วเฉินกล่าว สีหน้าของหลิงซานก็เปลี่ยนไป เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะรู้เรื่องนี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็ดีกับลั่วเฉินมาก มอบทุกสิ่งอย่างให้ ไว้วางใจมาโดยตลอด แล้วเหตุใดทารกที่เขาฟูมฟักจึงชักกระบี่สังหารเขาได้ลงคอ หรือต่อให้ลั่วเฉินรู้เรื่องที่เขาฆ่าบิดามารดาที่แท้จริงไปก็เถอะ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องสังหาร ที่ผ่านมาได้รับโอกาสดี ๆ ไปมากมายมิใช่หรือ ไม่สำนึกบุญคุณที่เขามีเลยหรืออย่างไร
ขณะนี้แววตาของผู้นำแห่งอารามหวนหลิงเหลือเพียงความคับแค้นและเจ็บปวด
“ฮ่า ๆ ๆ ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร เจ้าดีกับข้ามาตลอดหลายปีก็จริง แต่อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง เจ้าอยากให้ข้าเติบโตจนกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังของอาราม หลิงซาน คนอย่างเจ้ามันไร้หัวใจ ดีกับข้าหรือ ให้ทุกอย่างกับข้าหรือ ข้ารู้สึกเสมือนเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งของเจ้าเท่านั้น !”
ลั่วเฉินแค่นยิ้มเหยียดหยาม ขณะกล่าวน้ำเสียงของเขาดังขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน ที่สำคัญมันเจือแววเจ็บปวดไม่อาจปกปิด
ตัวเขารู้ดีว่าหลิงซานผู้นี้เป็นคนประเภทไหน แม้ว่าจะดูแลเขาอย่างดีมาหลายปี แต่หลิงซานก็เห็นเขาเป็นตัวหมากโดยแท้จริง และที่คนผู้นี้ส่งเขามาโรงเรียนราชสำนักก็เพราะอยากจะให้เป็นสายลับเพื่อสืบข่าวต่าง ๆ ในแผ่นดินใหญ่ให้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ลั่วเฉินนั้นนับหลิงซานเป็นศัตรูของตัวเองนานแล้ว เขาไม่ฟังคำสั่งของจ้าวอารามที่บอกให้สืบข่าวแต่กลับใช้ช่วงนี้นั้นตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและใช้ความวิเศษของหอคอยวิญญาณในการพัฒนาตัวเอง ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่เกิดมา ช่วงเวลาที่เขารู้สึกมีความสุขและผ่อนคลายที่สุดในชีวิตก็คือช่วงที่อาศัยอยู่ในโรงเรียนราชสำนัก ได้อยู่ท่ามกลางอาจารย์ ท่ามกลางมิตรสหายที่หยิบยื่นน้ำใจไมตรีอันจริงแท้มาให้
แต่น่าเสียดายที่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นจนเขาต้องถูกเรียกตัวกลับ
เมื่อได้ยินบทสนทนาของหลิงซานและลั่วเฉิน ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดนางถึงสัมผัสได้ถึงกระแสความเศร้าจาง ๆ จากรุ่นพี่ผู้นี้อยู่ตลอด แม้จะเป็นในยามที่เขากำลังยิ้มอยู่ก็ตาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาต้องออกจากโรงเรียนราชสำนักไป ที่แท้แล้วเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เอง
“หลับให้สบายเถิด ข้าจะฝังเจ้าอย่างดีเพื่อตอบแทนที่เจ้าคอยเลี้ยงดูและให้การอบรมข้ามา ถ้าไม่มีเจ้าข้าเองก็คงไม่มีวันนี้ หลังจากเจ้าตายแล้วความแค้นทั้งหมดที่มีข้าถือว่าสูญสิ้น พวกเราถือว่าเลิกแล้วต่อกันไม่มีสิ่งติดค้างกันอีก”
ลั่วเฉินมองดูหลิงซานครั้งสุดท้ายเป็นการสั่งลา ก่อนจะซัดฝ่ามือเข้าใส่อย่างไม่ปรานี
— แกร็ง ! —
เสียงกระบี่ที่เสียบคาร่างผู้นำอารามแห่งหวนหลิงตกกระทบพื้นดังขึ้นครั้งหนึ่ง ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงไปพร้อมกับลมหายใจที่ดับสูญ
“ข้าต้องขออภัยรุ่นน้องอวี้โม่ด้วยที่ชิงสังหารศัตรูของเจ้าโดยพลการ”
ลั่วเฉินยิ้มให้ฉินอวี้โม่พลางกล่าวขอโทษ
แม้ว่าจะมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ทว่าดวงตามิอาจปิดบังความโศกเศร้าได้เลย เมื่อเห็นเช่นนั้นฉินอวี้โม่ก็เอ่ยสิ่งใดไม่ออก นางหันหลังกลับแล้วพุ่งตรงเข้าไปช่วยหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ รับมือกับมังกรดึกดำบรรพ์
ต่อหน้าลั่วเฉินในตอนนี้ อดีตนักฆ่าสาวรู้สึกว่า สำหรับนางแล้วมันเกินกว่าจะกล่าวสิ่งใดได้จริง ๆ การปล่อยให้เขาได้อยู่กับตัวเองคือวิธีการที่ดีที่สุด นางเชื่อว่าคนผู้นั้นสามารถรับมือกับความรู้สึกของตนได้อย่างแน่นอน
ในตอนนี้ หานโม่ฉือและคณะจากไป๋อวิ๋นที่กำลังรวมพลังกันรับมือกับมังกรดึกดำบรรพ์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ
ต้องบอกเลยว่ามังกรดึกดำบรรพ์ตัวนี้แข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งยวด ระดับพลังในขอบเขตจ้าวสุริยะครึ่งก้าวเป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึงได้โดยแท้
หากไม่ใช่เพราะมู่อวิ๋น หานโม่ฉือ จอมยุทธ์หลิน รวมถึงคนอื่น ๆ มีประสบการณ์ในการต่อสู้ที่โชกโชน เกรงว่าป่านนี้คงจะพ่ายแพ้ไปแล้ว
“โม่เอ๋อร์ เจ้าจัดการหลิงซานได้แล้วหรือ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัวใกล้ ๆ หานโม่ฉือก็กวาดตาสำรวจทั่วทั้งร่างบางเพื่อค้นหาอาการบาดเจ็บ เมื่อมั่นใจว่าสตรีผู้เป็นที่รักไม่ได้รับอันตรายเขาจึงเอ่ยถาม
“ใช่ ตอนนี้เขาตายไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนจะมองดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาเคร่งเครียด
เวลานี้หานโม่ฉือ มู่อวิ๋น หลินเหยียน และคนอื่น ๆ ต่างก็ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาทุกคนตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าน่าอนาถ
ทว่าในดวงตาของทุกคนยังเปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ใบหน้ามุ่งมั่นนั้นบ่งบอกชัดว่าไม่มีผู้ใดมีความคิดที่จะถอย
แต่หากพวกเขาไม่คอยสกัดมังกรดึกดำบรรพ์ไว้ ฉินอวี้โม่ก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าจะมีกี่คนที่ต้องตายด้วยน้ำมือมัน
จอมยุทธ์ระดับแนวหน้าทั้งสามปลดปล่อยนภายุทธ์ออกไปนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อค้นหาจุดอ่อนของเจ้ามังกรร้าย
แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่พบ นภายุทธ์ที่ปลดปล่อยออกไปยังไม่สามารถทำความเสียหายให้มันได้เลย
อย่างไรก็ตาม หากถูกมังกรดึกดำบรรพ์จู่โจมสักครั้ง พวกเขาก็จะบาดเจ็บสาหัสทันที
“หานอวี้ ช่วยข้าที”
ฉินอวี้โม่สั่งการออกไป หานอวี้เปลี่ยนจากรูปลักษณ์เดิมที่เป็นเกาะกลับมาเป็นมังกรทองตัวน้อยในทันที
เพียงพริบตาร่างของหานอวี้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้ามังกรดึกดำบรรพ์ เจ้ามังกรน้อยลอยตัวในระดับสายตาศัตรูตัวยักษ์ ก่อนที่มันจะขมวดคิ้วแล้วด่าทอ “ที่แท้ก็เป็นเจ้าพวกมังกรชั่วจากยุคโบราณนั่นเอง”
“มังกรทองห้าเล็บ !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันสูงส่งกว่าจากร่างของสิ่งมีชีวิตตัวนิดเดียวตรงหน้า มังกรดึกดำบรรพ์ก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงความตื่นตระหนก
แม้ว่ามังกรดึกดำบรรพ์และมังกรทองห้าเล็บจะถือเป็นมังกรที่มีสายเลือดที่สูงส่งในเผ่าพันธุ์มังกรทั้งคู่ แต่หากเทียบกันแล้วมังกรทองห้าเล็บก็ยังนับว่ามีสายเลือดที่บริสุทธิ์กว่า
หากว่าเป็นมังกรทองห้าเล็บที่มีระดับพลังใกล้เคียงกับมันแล้วล่ะก็ มังกรดึกดำบรรพ์ก็คงจะเลือกหันหลังวิ่งหนีโดยไม่คิดต่อกร แต่ทว่า…
“ฮ่า ๆ ๆ ปัดโธ่เอ๋ย ข้าก็ตกใจแทบแย่ ที่แท้เจ้ามันก็แค่ทารกมังกรทองห้าเล็บ”
เมื่อดึงสติกลับมาได้ วิญญาณสัตว์ร้ายจากบรรพกาลก็พบว่าคู่ต่อสู้ของมันเป็นเพียงตัวอ่อนมังกรเท่านั้น อสูรตัวยักษ์หัวเราะอย่างขบขันปนเหยียดหยาม เวลานี้มันไม่นึกกลัวเจ้าตัวกะเปี๊ยกที่อยู่ตรงหน้าสักนิด
‘ท่านแม่ เจ้านี่มันเป็นวิญญาณมังกรอมตะ ไม่ว่าจะโจมตีอย่างไรก็ทำอะไรมันไม่ได้ ถ้าจะทำลายมันจริง ๆ ท่านต้องใช้วิชาเพลิงที่ทรงพลังอย่างมาก ๆ’
ทันใดนั้น เสียงของหานอวี้โม่ก็ดังเข้ามาในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ วาจานั้นของมังกรน้อยทำให้คุณหนูตระกูลฉินชะงักไป
.