คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 240 ออกเดินทางสู่ดินแดนอ้างว้าง

ภายในห้องโถงใหญ่ เหล่าผู้มีตำแหน่งสำคัญในดินแดนหวนหลิงนั่งอยู่รายล้อมโต๊ะกลมขนาดยักษ์ หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ถูกจัดให้นั่งที่นั่งตรงกลางในจุดที่มองเห็นทุกอย่างชัดเจน พวกเขากำลังหารือกันในหัวข้อที่ว่าด้วยการเข้าไปยังแผ่นดินต่างแดน

“พวกเรายังไม่ทราบสถานการณ์ภายในของดินแดนทั้งสอง แต่ข้ามั่นใจว่าอันตรายที่รออยู่ในดินแดนอ้างว้างน่าจะน้อยกว่าดินแดนเทพมายา กระนั้นก็ยังไม่อาจวางใจ เพราะสถานการณ์ภายในของดินแดนอ้างว้างจะอยู่ในช่วงที่เรียกได้ว่าโกลาหล อีกทั้งขุมกำลังในดินแดนแห่งนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน จะอย่างไรก็ต้องระมัดระวังให้มาก”

มู่อวิ๋นเริ่มบอกเล่าข้อมูลที่เขารวบรวมมาได้ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ในทั้งสองดินแดน

ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ตั้งใจฟังอย่างมาก ทุกสายตาจ้องมองบุรุษผมสีประหลาด บางคนในบางครั้งก็พยักหน้าแสดงความเห็นชอบ

“ท่านอธิการ ข้าจะขอล่วงหน้าไปดินแดนอ้างว้างก่อนเพื่อตามหาท่านพ่อ หากหาตัวเขาพบและได้ทราบข่าวคราวของท่านแม่แล้ว ข้าและท่านพ่อจะได้วางแผนว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป”

ฉินอวี้โม่บอกกล่าวความคิดของนางออกไป คุณหนูสี่ตระกูลฉินมุ่งมั่นตั้งใจจะไปพบผู้เป็นบิดา

“เช่นนั้นพวกเราจะไปกับเจ้า”

เยว่ชิงเฉิงรีบเอ่ยคำอย่างไม่ลังเล

“ข้าคิดว่านั่นไม่จำเป็น ข้าจะไปดินแดนอ้างว้างพร้อมกับโม่เอ๋อร์ พวกเจ้าควรจะตามท่านอธิการไปยังดินแดนหนเหนือเพื่อจะได้หาประสบการณ์อย่างที่ตั้งใจ เมื่อไปถึงแล้วก็ช่วยรวบรวมข้อมูลสืบหาข่าวเท่าที่จะทำได้แทนพวกเราด้วย ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ตามไปสมทบให้เร็วที่สุด”

หานโม่ฉือคัดค้านแล้วแจกแจง ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้ว

“แต่ข้าคิดว่าพวกเจ้าอยากจะอยู่กันลำพังสองต่อสองมากกว่าละมั้ง”

หลิงจิ้งหงหรี่ตาลงพลางยกยิ้มล้อเลียน ขณะที่ปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหยอกเย้าสหาย อย่างไรก็ตามในใจจริงแท้แล้วเขาเห็นด้วยกับคำพูดของหานโม่ฉือทุกประการ

“ข้าเห็นด้วยกับโม่ฉือ แม้ว่ายอดฝีมือในดินแดนหนเหนือจะแข็งแกร่งกว่าดินแดนอ้างว้าง แต่ดินแดนอ้างว้างก็ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความวุ่นวาย มีแต่อันตรายในทุกฝีก้าว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราเวลานี้ หากเข้าไปในดินแดนแสนอลหม่านและน่ากลัวนั่นก็คงไม่พ้นพบเจอปัญหา ทั้งอวี้โม่และโม่ฉือต่างก็ฝีมือสูง หากไปกันสองคนจะทำงานได้สะดวกกว่า ส่วนพวกเราควรล่วงหน้าไปดินแดนหนเหนือก่อน ไปดูลาดเลา สังเกตการณ์ และเตรียมความพร้อมกันที่ดินแดนหนเหนือ”

ตามที่พอจะทราบข้อมูลมา ดินแดนอ้างว้างเป็นดินแดนแห่งความโกลาหลวุ่นวายอย่างสุดกู่ ถ้าพวกเขาใช้คนจำนวนมากเดินทางไปที่นั่นพร้อมกัน นอกจากจะทำให้ล่าช้าและไม่สะดวกแล้ว การเคลื่อนพลของคนกลุ่มใหญ่ก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจให้ถูกเพ่งเล็งได้โดยง่าย หากฉินอวี้โม่ไปกับหานโม่ฉือเพียงสองคน การจะเคลื่อนไหวหรือแทรกซึมเข้าไปในจุดใดจะทำได้สะดวกและง่ายกว่ามาก

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ฉินเทียนกำลังสร้างฐานอำนาจอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงในนั้นอย่างแน่นอน การจะตามหาตัวเขาให้เจอก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของคนทั้งสอง

เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายสนิทของฉินอวี้โม่นั้น แม้ว่าใจจะไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็ยอมรับว่านี่คือวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว พวกเขาจึงไม่โต้แย้งและตกลงใจจะไปดินแดนหนเหนือ เป็นเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเลวร้าย ที่สำคัญพวกเขาจะถือเอาโอกาสนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และฝึกฝนตัวเองในแผ่นดินที่มีพลังมายาเข้มข้น เพื่อจะได้ไม่ถูกฉินอวี้โม่ทิ้งห่างมากเกินไป

“พวกเราทุกคนที่มาหารือกันในวันนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีใจจะช่วยเหลือผู้นำนครตัวน้อยของเรา และใจส่วนหนึ่งก็คงต้องการมองหาประสบการณ์และโชควาสนาใหม่ ๆ แต่การจะเข้าไปตามหามารดาของฉินอวี้โม่ในต่างดินแดนไม่ใช่เรื่องง่าย หรือบางทีอาจจะกินเวลายาวนาน กอปรกับนี่เป็นครั้งแรกที่คนจากดินแดนหวนหลิงจะเข้าไปในดินแดนเทพมายาพร้อมกันจำนวนมาก

สำหรับข้าถือเอาว่าครั้งนี้คือภารกิจ ภารกิจนี้เป็นเสมือนก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งยวด แต่นั่นไม่ใช่เพราะการได้ผจญภัยหรือช่วยเหลือผู้คน แต่มันคือการบุกเบิกครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของเราไปอย่างสิ้นเชิง ข้าจึงอยากจะเสนอให้พวกเราค่อย ๆ ก่อร่างฐานอำนาจขึ้นในดินแดนเทพมายาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความมั่นคงสำหรับหวนหลิงของเราในอนาคต ครั้งนี้ก่อนที่เสี่ยวอวี้โม่และเสี่ยวโม่ฉือจะตามมาสมทบ ข้าจะพยายามวางรากฐานให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

มู่อวิ๋นเสนอความคิดเห็นของตนออกไป ตัวเขาอยากจะทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้วเพราะเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับความมั่นคงของดินแดนหวนหลิง หลังจากคนจากดินแดนหนเหนือบุกรุกเข้ามาในคราก่อน มู่อวิ๋นก็คิดว่าพวกเขาสมควรจะลงหลักปักฐานที่นั่นด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวคือความมั่นคงของหวนหลิง

“พวกเราจะไปพร้อมกับอธิการมู่อวิ๋น”

ฉินเฟินผู้เป็นตัวแทนของตระกูลฉินกล่าวขึ้นมา เขาตัดสินใจจะช่วยผู้ปกครองของโรงเรียนราชสำนักทำภารกิจนี้

“แต่ในตอนนี้แผนการสร้างนครมายายังอยู่ในช่วงที่สำคัญมาก เราจะปล่อยให้ที่นี่ขาดผู้นำไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราควรจะหาผู้ที่ไว้ใจได้คอยดูแลดินแดนหวนหลิงเอาไว้ในช่วงนี้ด้วย”

มู่อวิ๋นกล่าวขึ้น ก่อนจะหันไปมองทางอวี๋จวินซานด้วยรอยยิ้ม

อธิการโรงเรียนราชสำนักทราบดีว่าอวี๋จวินซานเองก็อยากจะไปดินแดนหนเหนือเช่นกัน เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวที่รัก แต่ทว่าเรื่องของการป้องกันหวนหลิงเองก็สำคัญอย่างยิ่ง

และอวี๋จวินซานก็คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินนี้ อีกทั้งยังมีอำนาจเป็นที่เคารพยำเกรงของทุกคน เขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะคอยกำกับดูแลหวนหลิงและพิทักษ์รักษานคราแห่งใหม่ที่กำลังจะแล้วเสร็จนี้

“ได้ เช่นนั้นข้าจะอยู่ดูแลดินแดนหวนหลิง หากแผนการสร้างฐานอำนาจในดินแดนหนเหนือเกิดความผิดพลาด ก็ขอให้ทุกท่านรับกลับมา ไม่ว่าอย่างไรหวนหลิงก็คือบ้านของทุกคน”

อวี๋จวินซานแม้จะจำใจแต่ก็กล่าวรับคำอย่างแน่วแน่

หลังจากหารือเรื่องกำลังคนที่จะไปยังดินแดนหนเหนือได้แล้ว มู่อวิ๋นก็เสนอให้กำหนดวันเดินทาง ซึ่งก็คืออีกสามวันข้างหน้า ในช่วงสามวันนี้จะเป็นเวลาให้ทุกคนได้เตรียมตัวและร่ำลาคนรัก  เครือญาติหรือสหายก่อนจะออกเดินทางครั้งสำคัญ

….

หานโม่ฉือกลับไปที่จวนตระกูลหานเพื่อพูดคุยกับบิดาบุตรธรรมหานปิ่งเซียนก่อนเป็นอันดับแรก

“โม่ฉือเจ้าไปเถอะ เรื่องดินแดนหวนหลิงเจ้าวางใจได้ พวกเราจะคอยปกป้องดูแลอย่างดีที่สุด”

แม้จะรู้ดีว่าบุตรชายบุญธรรมกำลังจะไปดินแดนอ้างว้างที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่หานปิ่งเซียนก็ไม่คิดจะหยุดเขา

“ข้าทราบดีว่าเรื่องของบิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าเป็นเรื่องที่หนักหน่วงราวกับแบกขุนเขาสำหรับเจ้า หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเองก็แบกรับแรงกดดันเอาไว้มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้รีบร้อน และจงระวังตัวให้มาก รอให้เจ้าแข็งแกร่งเพียงพอแล้วค่อยไปที่ตระกูลหานแห่งดินแดนเทพมายา หากขาดเหลือสิ่งใดก็ติดต่อมา พวกเราจะสนับสนุนเจ้าทุกวิถีทาง”

หานปิ่งเซียนลูบไหล่บุตรชายบุญธรรมที่เขาเลี้ยงดูมาแต่เล็กพลางกล่าวกำชับให้เขาระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้าของหานโม่ฉือ แต่ความรู้สึกที่มีต่อบุรุษหนุ่มผู้นี้มิได้ต่างจากบุตรชายในอุทรของเขาเลย

“ขอท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะระวังตัว”

หานโม่ฉือพยักหน้าพลางเอ่ยคำรับปาก บุรุษน้ำแข็งแห่งหวนหลิงคุกเข่าลงตรงหน้าหานปิ่งเซียนและโขกศีรษะลงกับพื้นเพื่อคำนับสามครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งที่หานโม่ฉือกระทำ หานปิ่งเซียนก็ไม่ได้ห้ามปราม เขารู้นิสัยของคนตรงหน้าดี และรู้ดีว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้

ในตอนนั้นเองที่หยดน้ำตาใสกระจ่างหยาดลงมาจากดวงตาผู้นำตระกูลหาน เขาเองก็ทั้งภาคภูมิใจและซาบซึ้งในตัวบุตรชายผู้นี้มาก ตั้งแต่ที่ได้เขาเข้ามา ตระกูลหานก็ก้าวหน้าไปมาก ที่ผ่านมาหานโม่ฉือทำงานอย่างหนักมาเสมอโดยไม่ปริปากบ่น และแม้ว่าจะถูกหานโม่หยวนทำอันตรายให้หลายครั้งหลายคราแต่เขาก็ยังเมตตาไว้ชีวิต

“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าต้องให้สัญญากับข้า เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าที่นี่คือบ้านของเจ้า”

หานปิ่งเซียนดึงหานโม่ฉือให้ลุกขึ้นยืนอย่างเบามือ ผู้นำตระกูลหานแห่งหวนหลิงมองดูบุตรชายนอกสายเลือดด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

หานโม่ฉือยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใด ในใจของเขา หากไม่ใช่ที่นี่แล้วก็ไม่มีที่ใดเรียกว่าบ้านได้อีกแล้ว

….

ฉินอวี้โม่ใช้เวลาในวันแรกอยู่ในนครเมฆา นางใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งพูดคุยกับเหวินชิงหยวนและอวี๋จวินซาน

แม้ว่าทั้งท่านตาและท่านยายของนางจะโศกเศร้าเมื่อทราบข่าวว่าหลานสาวเพียงคนเดียวจะจากไป แต่พวกเขาก็ไม่คิดห้าม เพียงแค่เตือนนางให้ระวังตัวให้มาก พร้อมฝากฝังว่าต้องรอบคอบเสมอไม่ว่าจะทำสิ่งใด

ฉินอวี้โม่ตกปากรับคำหนักแน่นพร้อมให้สัญญากับคนทั้งคู่ ท่านตาและท่านยายช่างดีกับนางเหลือเกิน อดีตนักฆ่าสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งสองคนมอบให้ ความรู้สึกตื้นตันอันแน่นอยู่เต็มหัวใจดวงน้อย

ในวันรุ่งขึ้น ฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังตระกูลฉิน

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ พวกเราไม่ได้เดินทางไปดินแดนอ้างว้างกับเจ้า เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ถ้าเผชิญอันตรายหรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ อย่าลังเลที่จะถอยกลับมาตั้งหลัก จำไว้อย่าได้รีบร้อนเป็นอันขาด”

ผู้เฒ่าฉินเฟินกล่าวกำชับ

แม้ว่าจะรู้นิสัยของฉินอวี้โม่และรู้ถึงพรสวรรค์อันเหนือมนุษย์ของนางดี แต่ผู้นำตระกูลฉินก็ยังอดห่วงกังวลไม่ได้

ถึงอย่างไรนางก็เป็นหลานสาวของเขา ไฉนเลยเขาจะไม่เป็นห่วงนางได้

“ขอท่านปู่โปรดวางใจ ตัวท่านเองก็ต้องระมัดระวังและดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ข้าจะตามหาท่านพ่อและพาเขามาพบท่านให้ได้”

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวกำชับกลับไป

กระนั้นเรื่องของท่านปู่รวมถึงสมาชิกตระกูลคนอื่น ๆ นางไม่ได้กังวลมากนัก ด้วยการที่มีมู่อวิ๋นเป็นผู้นำ การจะสร้างฐานอำนาจในดินแดนเทพมายาคงไม่ใช่เรื่องยากเย็น

นางเชื่อว่าในอนาคตท่านอธิการจะต้องตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในดินแดนแห่งนั้นอย่างแน่นอน

หลังจากใช้เวลาวนเวียนอยู่ในจวนตระกูลฉินถึงหนึ่งวันเต็ม  วันรุ่งขึ้นฉินอวี้โม่ก็กลับไปที่โรงเรียนราชสำนัก

การออกเดินทางครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่นานแสนนาน หรืออาจจะสั้นแสนสั้น เรื่องนี้ยังไม่อาจบอกได้ ฉะนั้นก่อนจะไปคุณหนูตระกูลฉินจึงอยากจะร่ำลาสหายของนางเสียก่อน

ฉินอวี้โม่มุ่งไปยังหอคอยวิญญาณชั้นที่เจ็ดโดยไม่ลังเล

เนื่องจากหอคอยวิญญาณได้รับการซ่อมแซมทำให้ปริมาณพลังมายาในบรรยากาศสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน และในตอนนี้ไป๋ฉี่ก็กำลังฝึกฝนอยู่บนชั้นที่เจ็ด

ระดับพลังของไป๋ฉี่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ขอเพียงวิญญาณแห่งหอคอยวิเศษก้าวเข้าถึงระดับจ้าวพิภพ เขาจะสามารถออกไปจากหอคอยวิญญาณและท่องโลกกว้างได้อย่างอิสระ

“ดินแดนอ้างว้างอย่างนั้นรึ มันเป็นที่แบบไหนกัน ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่สหายน้อยโฉมงามบอกเล่า ไป๋ฉี่ก็ถามด้วยความสงสัย

ฉินอวี้โม่เล่าถึงเรื่องของดินแดนอ้างว้างให้บุรุษตัวกลมฟัง ก่อนจะกล่าวปิดท้าย “ข้าต้องไปตามหาพ่อของข้า ข้าเกรงว่าคงจะไม่ได้มาเจอเจ้าอีกนานเลย”

ไป๋ฉี่พยักหน้า แววตานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ทว่าเขาก็เข้าใจฉินอวี้โม่ดี

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปเถิด ไว้ข้ามีพลังพอเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาเจ้าเอง ข้าขอให้เจ้าตามหาพ่อแม่ได้ในเร็ววันจะได้อยู่กันพร้อมหน้า”

ไป๋ฉี่กล่าวมาดมั่น ใบหน้าอวบกลมนั้นดูมุ่งมั่นยิ่งยวด

เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากออกจากที่นี่เขาจะไปหาฉินอวี้โม่เพื่อร่วมผจญภัยท่องโลกกว้างกับนาง

“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องฝึกให้หนัก ข้าจะรอวันที่เจ้าแข็งแกร่งพอแล้วมาหาข้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของสหายกระปุ๊กลุก

หากนับกันตามปัญญาและความนึกคิด ไป๋ฉี่ยังมีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น นางจึงเห็นเขาเป็นเสมือนน้องชายตัวน้อยผู้น่าเอ็นดู

ซึ่งไป๋ฉี่ไม่ได้ว่าอะไร เขาปล่อยให้สหายรักฟัดแก้มอวบขาวของตนได้ตามใจ

“ไป๋ฉี่ เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเร็ว ๆ นะ ข้าจะรอวันที่จะได้ปราบเหล่าร้ายพร้อมกับเจ้า”

ทันใดนั้นเองมังกรน้อยหานอวี้ก็ปรากฏกาย มังกรทองในร่างมนุษย์สามขวบถ้วนกล่าวกับไป๋ฉี่ เสียงดังฉะฉาน ทว่าแววตาของมันกลับดูเศร้าสร้อยไม่น้อย

“เจ้าวางใจได้เลย”

ไป๋ฉี่พยักหน้าอย่างมุ่งมั่น

ความสัมผัสของเขากับฉินอวี้โม่และหานอวี้ถือว่ายอดเยี่ยม เมื่อไม่รู้ว่าจะได้พบกับสหายที่น่ารักทั้งสองอีกเมื่อไหร่ ไป๋ฉี่จึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์มากเป็นธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ในความอาลัยนี้ยังมีความหวังเปี่ยมล้น ขอเพียงแข็งแกร่งขึ้น ไปฉี่ก็จะออกจากที่นี่ได้ ถึงตอนนั้นเขาค่อยไปตามหาฉินอวี้โม่ก็ยังไม่สาย

ฉินอวี้โม่ใช้เวลาในหอคอยวิญญาณอีกหนึ่งวันเต็ม ในที่สุดสามวันตามกำหนดการก็ผ่านพ้น และวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่ทุกคนจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว

ในช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา ทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่ลานกว้างหน้าโรงเรียนราชสำนักที่ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่รวมพลก่อนแยกย้าย

บางคนมาที่นี่เพื่อส่งสหายหรือสมาชิกในครอบครัวของตัวเอง แต่คนส่วนมากมาเพื่อเตรียมออกเดินทางไปยังดินแดนหนเหนือ

เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง หลิวซิวหยาและสหายของฉินอวี้โม่คนอื่น ๆ ตัดสินใจจะตามมู่อวิ๋นไปหาประสบการณ์ที่ดินแดนหนเหนือ ลั่วเฉิน ปิงเสวียนและอ้านเยี่ยหลังจากจัดการเรื่องการรวมอำนาจและเรื่องปลีกย่อยอื่น ๆ แล้วเสร็จ พวกเขาก็เตรียมจะไปดินแดนหนเหนือเช่นกัน

ระหว่างรอเวลา ในช่วงที่ทุกคนกำลังกล่าวทักทายกันอยู่นั้น หานโม่ฉือก็ปรากฏตัวข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ บุรุษร่างใหญ่ผู้ถือกำเนิดจากต่างดินแดนคว้ามือบางของสตรีหนึ่งเดียวในหัวใจมากุมไว้แน่น เขาและนางก็จับมือเดินเคียงกันไม่ห่างจนกระทั่งได้เวลาออกเดินทาง

มู่อวิ๋นเปิดผนึกของดินแดนต้องห้ามก่อนจะส่งคนเข้าไปภายใน

หลังจากเข้ามาพร้อมกันแล้ว ฉินอวี้โม่ก็นำทางทุกคนไปที่ถ้ำของเทพมายาก่อนจะพาเข้าไปยังเส้นทางที่จะนำทุกคนไปยังดินแดนอ้างว้างและดินแดนเทพมายา

“ด้านซ้ายจะเป็นเส้นทางที่มีค่ายกลเคลื่อนที่จะพาไปยังดินแดนอ้างว้างติดตั้งอยู่ ส่วนด้านขวาจะเป็นค่ายกลสำหรับพาทุกคนไปยังดินแดนเทพมายา”

ฉินอวี้โม่กล่าวแนะนำเส้นทางทั้งสอง ข้อมูลนี้ซิวเป็นคนบอกนางเอง ในตอนนั้นมันคงจะสังหรณ์ใจแล้วว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกมาช่วยนายหญิงของตัวเองอีกสักพัก มันจึงบอกเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าก่อน

“อวี้โม่ ข้าไม่อยากจากเจ้าไปเลย”

เยว่ชิงเฉิง เหย่าเซียนเอ๋อร์และฉีฉี อดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้ามากอดสหายตระกูลฉิน

“ข้าก็ไม่อยากจากพวกเจ้าเช่นกัน เอาเถิด อีกไม่นานเราก็จะได้พบกันแล้ว”

ฉินอวี้โม่เองก็ไม่อยากจะแยกจากทุกคนเช่นกัน นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวนางจะมีสหายที่ดีมากถึงเพียงนี้ มีสหายมากมายที่ยินดีจะต่อสู้เคียงข้าง ร่วมเป็นร่วมตายกับนาง

“ฉินอวี้โม่พูดถูกแล้ว อีกไม่นานพวกเราก็จะได้พบกัน”

โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รุ่นพี่หานโม่ฉือ ฝากท่านช่วยปกป้องอวี้โม่ด้วย”

หานโม่ฉือพยักหน้ารับปากไม่ลังเล

พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายเดินทางไปตามเส้นทางสู่เป้าหมาย

“อวี้โม่ พวกเจ้าทั้งสองไปก่อนเถอะ”

ทุกคนเลือกที่จะรอส่งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนออกเดินทาง

คุณหนูสี่ตระกูลฉินและบุรุษตระกูลหานเดินผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะพาพวกเขาไปยังดินแดนอ้างว้างอย่างไม่ลังเล….

.

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 240 ออกเดินทางสู่ดินแดนอ้างว้าง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 240 ออกเดินทางสู่ดินแดนอ้างว้าง

ภายในห้องโถงใหญ่ เหล่าผู้มีตำแหน่งสำคัญในดินแดนหวนหลิงนั่งอยู่รายล้อมโต๊ะกลมขนาดยักษ์ หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ถูกจัดให้นั่งที่นั่งตรงกลางในจุดที่มองเห็นทุกอย่างชัดเจน พวกเขากำลังหารือกันในหัวข้อที่ว่าด้วยการเข้าไปยังแผ่นดินต่างแดน

“พวกเรายังไม่ทราบสถานการณ์ภายในของดินแดนทั้งสอง แต่ข้ามั่นใจว่าอันตรายที่รออยู่ในดินแดนอ้างว้างน่าจะน้อยกว่าดินแดนเทพมายา กระนั้นก็ยังไม่อาจวางใจ เพราะสถานการณ์ภายในของดินแดนอ้างว้างจะอยู่ในช่วงที่เรียกได้ว่าโกลาหล อีกทั้งขุมกำลังในดินแดนแห่งนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน จะอย่างไรก็ต้องระมัดระวังให้มาก”

มู่อวิ๋นเริ่มบอกเล่าข้อมูลที่เขารวบรวมมาได้ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ในทั้งสองดินแดน

ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ตั้งใจฟังอย่างมาก ทุกสายตาจ้องมองบุรุษผมสีประหลาด บางคนในบางครั้งก็พยักหน้าแสดงความเห็นชอบ

“ท่านอธิการ ข้าจะขอล่วงหน้าไปดินแดนอ้างว้างก่อนเพื่อตามหาท่านพ่อ หากหาตัวเขาพบและได้ทราบข่าวคราวของท่านแม่แล้ว ข้าและท่านพ่อจะได้วางแผนว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป”

ฉินอวี้โม่บอกกล่าวความคิดของนางออกไป คุณหนูสี่ตระกูลฉินมุ่งมั่นตั้งใจจะไปพบผู้เป็นบิดา

“เช่นนั้นพวกเราจะไปกับเจ้า”

เยว่ชิงเฉิงรีบเอ่ยคำอย่างไม่ลังเล

“ข้าคิดว่านั่นไม่จำเป็น ข้าจะไปดินแดนอ้างว้างพร้อมกับโม่เอ๋อร์ พวกเจ้าควรจะตามท่านอธิการไปยังดินแดนหนเหนือเพื่อจะได้หาประสบการณ์อย่างที่ตั้งใจ เมื่อไปถึงแล้วก็ช่วยรวบรวมข้อมูลสืบหาข่าวเท่าที่จะทำได้แทนพวกเราด้วย ข้าจะพาโม่เอ๋อร์ตามไปสมทบให้เร็วที่สุด”

หานโม่ฉือคัดค้านแล้วแจกแจง ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้ว

“แต่ข้าคิดว่าพวกเจ้าอยากจะอยู่กันลำพังสองต่อสองมากกว่าละมั้ง”

หลิงจิ้งหงหรี่ตาลงพลางยกยิ้มล้อเลียน ขณะที่ปากเอื้อนเอ่ยถ้อยคำหยอกเย้าสหาย อย่างไรก็ตามในใจจริงแท้แล้วเขาเห็นด้วยกับคำพูดของหานโม่ฉือทุกประการ

“ข้าเห็นด้วยกับโม่ฉือ แม้ว่ายอดฝีมือในดินแดนหนเหนือจะแข็งแกร่งกว่าดินแดนอ้างว้าง แต่ดินแดนอ้างว้างก็ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความวุ่นวาย มีแต่อันตรายในทุกฝีก้าว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราเวลานี้ หากเข้าไปในดินแดนแสนอลหม่านและน่ากลัวนั่นก็คงไม่พ้นพบเจอปัญหา ทั้งอวี้โม่และโม่ฉือต่างก็ฝีมือสูง หากไปกันสองคนจะทำงานได้สะดวกกว่า ส่วนพวกเราควรล่วงหน้าไปดินแดนหนเหนือก่อน ไปดูลาดเลา สังเกตการณ์ และเตรียมความพร้อมกันที่ดินแดนหนเหนือ”

ตามที่พอจะทราบข้อมูลมา ดินแดนอ้างว้างเป็นดินแดนแห่งความโกลาหลวุ่นวายอย่างสุดกู่ ถ้าพวกเขาใช้คนจำนวนมากเดินทางไปที่นั่นพร้อมกัน นอกจากจะทำให้ล่าช้าและไม่สะดวกแล้ว การเคลื่อนพลของคนกลุ่มใหญ่ก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจให้ถูกเพ่งเล็งได้โดยง่าย หากฉินอวี้โม่ไปกับหานโม่ฉือเพียงสองคน การจะเคลื่อนไหวหรือแทรกซึมเข้าไปในจุดใดจะทำได้สะดวกและง่ายกว่ามาก

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ฉินเทียนกำลังสร้างฐานอำนาจอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเขาจะต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงในนั้นอย่างแน่นอน การจะตามหาตัวเขาให้เจอก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของคนทั้งสอง

เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายสนิทของฉินอวี้โม่นั้น แม้ว่าใจจะไม่เห็นด้วยนัก แต่ก็ยอมรับว่านี่คือวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว พวกเขาจึงไม่โต้แย้งและตกลงใจจะไปดินแดนหนเหนือ เป็นเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเลวร้าย ที่สำคัญพวกเขาจะถือเอาโอกาสนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และฝึกฝนตัวเองในแผ่นดินที่มีพลังมายาเข้มข้น เพื่อจะได้ไม่ถูกฉินอวี้โม่ทิ้งห่างมากเกินไป

“พวกเราทุกคนที่มาหารือกันในวันนี้ส่วนใหญ่ล้วนมีใจจะช่วยเหลือผู้นำนครตัวน้อยของเรา และใจส่วนหนึ่งก็คงต้องการมองหาประสบการณ์และโชควาสนาใหม่ ๆ แต่การจะเข้าไปตามหามารดาของฉินอวี้โม่ในต่างดินแดนไม่ใช่เรื่องง่าย หรือบางทีอาจจะกินเวลายาวนาน กอปรกับนี่เป็นครั้งแรกที่คนจากดินแดนหวนหลิงจะเข้าไปในดินแดนเทพมายาพร้อมกันจำนวนมาก

สำหรับข้าถือเอาว่าครั้งนี้คือภารกิจ ภารกิจนี้เป็นเสมือนก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งยวด แต่นั่นไม่ใช่เพราะการได้ผจญภัยหรือช่วยเหลือผู้คน แต่มันคือการบุกเบิกครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของเราไปอย่างสิ้นเชิง ข้าจึงอยากจะเสนอให้พวกเราค่อย ๆ ก่อร่างฐานอำนาจขึ้นในดินแดนเทพมายาเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความมั่นคงสำหรับหวนหลิงของเราในอนาคต ครั้งนี้ก่อนที่เสี่ยวอวี้โม่และเสี่ยวโม่ฉือจะตามมาสมทบ ข้าจะพยายามวางรากฐานให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”

มู่อวิ๋นเสนอความคิดเห็นของตนออกไป ตัวเขาอยากจะทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้วเพราะเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับความมั่นคงของดินแดนหวนหลิง หลังจากคนจากดินแดนหนเหนือบุกรุกเข้ามาในคราก่อน มู่อวิ๋นก็คิดว่าพวกเขาสมควรจะลงหลักปักฐานที่นั่นด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวคือความมั่นคงของหวนหลิง

“พวกเราจะไปพร้อมกับอธิการมู่อวิ๋น”

ฉินเฟินผู้เป็นตัวแทนของตระกูลฉินกล่าวขึ้นมา เขาตัดสินใจจะช่วยผู้ปกครองของโรงเรียนราชสำนักทำภารกิจนี้

“แต่ในตอนนี้แผนการสร้างนครมายายังอยู่ในช่วงที่สำคัญมาก เราจะปล่อยให้ที่นี่ขาดผู้นำไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราควรจะหาผู้ที่ไว้ใจได้คอยดูแลดินแดนหวนหลิงเอาไว้ในช่วงนี้ด้วย”

มู่อวิ๋นกล่าวขึ้น ก่อนจะหันไปมองทางอวี๋จวินซานด้วยรอยยิ้ม

อธิการโรงเรียนราชสำนักทราบดีว่าอวี๋จวินซานเองก็อยากจะไปดินแดนหนเหนือเช่นกัน เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวที่รัก แต่ทว่าเรื่องของการป้องกันหวนหลิงเองก็สำคัญอย่างยิ่ง

และอวี๋จวินซานก็คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินนี้ อีกทั้งยังมีอำนาจเป็นที่เคารพยำเกรงของทุกคน เขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะคอยกำกับดูแลหวนหลิงและพิทักษ์รักษานคราแห่งใหม่ที่กำลังจะแล้วเสร็จนี้

“ได้ เช่นนั้นข้าจะอยู่ดูแลดินแดนหวนหลิง หากแผนการสร้างฐานอำนาจในดินแดนหนเหนือเกิดความผิดพลาด ก็ขอให้ทุกท่านรับกลับมา ไม่ว่าอย่างไรหวนหลิงก็คือบ้านของทุกคน”

อวี๋จวินซานแม้จะจำใจแต่ก็กล่าวรับคำอย่างแน่วแน่

หลังจากหารือเรื่องกำลังคนที่จะไปยังดินแดนหนเหนือได้แล้ว มู่อวิ๋นก็เสนอให้กำหนดวันเดินทาง ซึ่งก็คืออีกสามวันข้างหน้า ในช่วงสามวันนี้จะเป็นเวลาให้ทุกคนได้เตรียมตัวและร่ำลาคนรัก  เครือญาติหรือสหายก่อนจะออกเดินทางครั้งสำคัญ

….

หานโม่ฉือกลับไปที่จวนตระกูลหานเพื่อพูดคุยกับบิดาบุตรธรรมหานปิ่งเซียนก่อนเป็นอันดับแรก

“โม่ฉือเจ้าไปเถอะ เรื่องดินแดนหวนหลิงเจ้าวางใจได้ พวกเราจะคอยปกป้องดูแลอย่างดีที่สุด”

แม้จะรู้ดีว่าบุตรชายบุญธรรมกำลังจะไปดินแดนอ้างว้างที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่หานปิ่งเซียนก็ไม่คิดจะหยุดเขา

“ข้าทราบดีว่าเรื่องของบิดามารดาที่แท้จริงของเจ้าเป็นเรื่องที่หนักหน่วงราวกับแบกขุนเขาสำหรับเจ้า หลายปีที่ผ่านมาเจ้าเองก็แบกรับแรงกดดันเอาไว้มาก แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้รีบร้อน และจงระวังตัวให้มาก รอให้เจ้าแข็งแกร่งเพียงพอแล้วค่อยไปที่ตระกูลหานแห่งดินแดนเทพมายา หากขาดเหลือสิ่งใดก็ติดต่อมา พวกเราจะสนับสนุนเจ้าทุกวิถีทาง”

หานปิ่งเซียนลูบไหล่บุตรชายบุญธรรมที่เขาเลี้ยงดูมาแต่เล็กพลางกล่าวกำชับให้เขาระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้าของหานโม่ฉือ แต่ความรู้สึกที่มีต่อบุรุษหนุ่มผู้นี้มิได้ต่างจากบุตรชายในอุทรของเขาเลย

“ขอท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะระวังตัว”

หานโม่ฉือพยักหน้าพลางเอ่ยคำรับปาก บุรุษน้ำแข็งแห่งหวนหลิงคุกเข่าลงตรงหน้าหานปิ่งเซียนและโขกศีรษะลงกับพื้นเพื่อคำนับสามครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งที่หานโม่ฉือกระทำ หานปิ่งเซียนก็ไม่ได้ห้ามปราม เขารู้นิสัยของคนตรงหน้าดี และรู้ดีว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้

ในตอนนั้นเองที่หยดน้ำตาใสกระจ่างหยาดลงมาจากดวงตาผู้นำตระกูลหาน เขาเองก็ทั้งภาคภูมิใจและซาบซึ้งในตัวบุตรชายผู้นี้มาก ตั้งแต่ที่ได้เขาเข้ามา ตระกูลหานก็ก้าวหน้าไปมาก ที่ผ่านมาหานโม่ฉือทำงานอย่างหนักมาเสมอโดยไม่ปริปากบ่น และแม้ว่าจะถูกหานโม่หยวนทำอันตรายให้หลายครั้งหลายคราแต่เขาก็ยังเมตตาไว้ชีวิต

“ลุกขึ้นเถอะ เจ้าต้องให้สัญญากับข้า เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าที่นี่คือบ้านของเจ้า”

หานปิ่งเซียนดึงหานโม่ฉือให้ลุกขึ้นยืนอย่างเบามือ ผู้นำตระกูลหานแห่งหวนหลิงมองดูบุตรชายนอกสายเลือดด้วยอารมณ์อันหลากหลาย

หานโม่ฉือยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใด ในใจของเขา หากไม่ใช่ที่นี่แล้วก็ไม่มีที่ใดเรียกว่าบ้านได้อีกแล้ว

….

ฉินอวี้โม่ใช้เวลาในวันแรกอยู่ในนครเมฆา นางใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งพูดคุยกับเหวินชิงหยวนและอวี๋จวินซาน

แม้ว่าทั้งท่านตาและท่านยายของนางจะโศกเศร้าเมื่อทราบข่าวว่าหลานสาวเพียงคนเดียวจะจากไป แต่พวกเขาก็ไม่คิดห้าม เพียงแค่เตือนนางให้ระวังตัวให้มาก พร้อมฝากฝังว่าต้องรอบคอบเสมอไม่ว่าจะทำสิ่งใด

ฉินอวี้โม่ตกปากรับคำหนักแน่นพร้อมให้สัญญากับคนทั้งคู่ ท่านตาและท่านยายช่างดีกับนางเหลือเกิน อดีตนักฆ่าสัมผัสได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งสองคนมอบให้ ความรู้สึกตื้นตันอันแน่นอยู่เต็มหัวใจดวงน้อย

ในวันรุ่งขึ้น ฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังตระกูลฉิน

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ พวกเราไม่ได้เดินทางไปดินแดนอ้างว้างกับเจ้า เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ถ้าเผชิญอันตรายหรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ อย่าลังเลที่จะถอยกลับมาตั้งหลัก จำไว้อย่าได้รีบร้อนเป็นอันขาด”

ผู้เฒ่าฉินเฟินกล่าวกำชับ

แม้ว่าจะรู้นิสัยของฉินอวี้โม่และรู้ถึงพรสวรรค์อันเหนือมนุษย์ของนางดี แต่ผู้นำตระกูลฉินก็ยังอดห่วงกังวลไม่ได้

ถึงอย่างไรนางก็เป็นหลานสาวของเขา ไฉนเลยเขาจะไม่เป็นห่วงนางได้

“ขอท่านปู่โปรดวางใจ ตัวท่านเองก็ต้องระมัดระวังและดูแลสุขภาพตัวเองด้วย ข้าจะตามหาท่านพ่อและพาเขามาพบท่านให้ได้”

ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ ก่อนจะกล่าวกำชับกลับไป

กระนั้นเรื่องของท่านปู่รวมถึงสมาชิกตระกูลคนอื่น ๆ นางไม่ได้กังวลมากนัก ด้วยการที่มีมู่อวิ๋นเป็นผู้นำ การจะสร้างฐานอำนาจในดินแดนเทพมายาคงไม่ใช่เรื่องยากเย็น

นางเชื่อว่าในอนาคตท่านอธิการจะต้องตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในดินแดนแห่งนั้นอย่างแน่นอน

หลังจากใช้เวลาวนเวียนอยู่ในจวนตระกูลฉินถึงหนึ่งวันเต็ม  วันรุ่งขึ้นฉินอวี้โม่ก็กลับไปที่โรงเรียนราชสำนัก

การออกเดินทางครั้งนี้อาจจะเป็นการเดินทางที่นานแสนนาน หรืออาจจะสั้นแสนสั้น เรื่องนี้ยังไม่อาจบอกได้ ฉะนั้นก่อนจะไปคุณหนูตระกูลฉินจึงอยากจะร่ำลาสหายของนางเสียก่อน

ฉินอวี้โม่มุ่งไปยังหอคอยวิญญาณชั้นที่เจ็ดโดยไม่ลังเล

เนื่องจากหอคอยวิญญาณได้รับการซ่อมแซมทำให้ปริมาณพลังมายาในบรรยากาศสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน และในตอนนี้ไป๋ฉี่ก็กำลังฝึกฝนอยู่บนชั้นที่เจ็ด

ระดับพลังของไป๋ฉี่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ขอเพียงวิญญาณแห่งหอคอยวิเศษก้าวเข้าถึงระดับจ้าวพิภพ เขาจะสามารถออกไปจากหอคอยวิญญาณและท่องโลกกว้างได้อย่างอิสระ

“ดินแดนอ้างว้างอย่างนั้นรึ มันเป็นที่แบบไหนกัน ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่สหายน้อยโฉมงามบอกเล่า ไป๋ฉี่ก็ถามด้วยความสงสัย

ฉินอวี้โม่เล่าถึงเรื่องของดินแดนอ้างว้างให้บุรุษตัวกลมฟัง ก่อนจะกล่าวปิดท้าย “ข้าต้องไปตามหาพ่อของข้า ข้าเกรงว่าคงจะไม่ได้มาเจอเจ้าอีกนานเลย”

ไป๋ฉี่พยักหน้า แววตานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ทว่าเขาก็เข้าใจฉินอวี้โม่ดี

“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปเถิด ไว้ข้ามีพลังพอเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาเจ้าเอง ข้าขอให้เจ้าตามหาพ่อแม่ได้ในเร็ววันจะได้อยู่กันพร้อมหน้า”

ไป๋ฉี่กล่าวมาดมั่น ใบหน้าอวบกลมนั้นดูมุ่งมั่นยิ่งยวด

เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากออกจากที่นี่เขาจะไปหาฉินอวี้โม่เพื่อร่วมผจญภัยท่องโลกกว้างกับนาง

“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องฝึกให้หนัก ข้าจะรอวันที่เจ้าแข็งแกร่งพอแล้วมาหาข้า”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของสหายกระปุ๊กลุก

หากนับกันตามปัญญาและความนึกคิด ไป๋ฉี่ยังมีอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้น นางจึงเห็นเขาเป็นเสมือนน้องชายตัวน้อยผู้น่าเอ็นดู

ซึ่งไป๋ฉี่ไม่ได้ว่าอะไร เขาปล่อยให้สหายรักฟัดแก้มอวบขาวของตนได้ตามใจ

“ไป๋ฉี่ เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเร็ว ๆ นะ ข้าจะรอวันที่จะได้ปราบเหล่าร้ายพร้อมกับเจ้า”

ทันใดนั้นเองมังกรน้อยหานอวี้ก็ปรากฏกาย มังกรทองในร่างมนุษย์สามขวบถ้วนกล่าวกับไป๋ฉี่ เสียงดังฉะฉาน ทว่าแววตาของมันกลับดูเศร้าสร้อยไม่น้อย

“เจ้าวางใจได้เลย”

ไป๋ฉี่พยักหน้าอย่างมุ่งมั่น

ความสัมผัสของเขากับฉินอวี้โม่และหานอวี้ถือว่ายอดเยี่ยม เมื่อไม่รู้ว่าจะได้พบกับสหายที่น่ารักทั้งสองอีกเมื่อไหร่ ไป๋ฉี่จึงรู้สึกอาลัยอาวรณ์มากเป็นธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ในความอาลัยนี้ยังมีความหวังเปี่ยมล้น ขอเพียงแข็งแกร่งขึ้น ไปฉี่ก็จะออกจากที่นี่ได้ ถึงตอนนั้นเขาค่อยไปตามหาฉินอวี้โม่ก็ยังไม่สาย

ฉินอวี้โม่ใช้เวลาในหอคอยวิญญาณอีกหนึ่งวันเต็ม ในที่สุดสามวันตามกำหนดการก็ผ่านพ้น และวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่ทุกคนจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว

ในช่วงเช้าตรู่ของวันถัดมา ทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่ลานกว้างหน้าโรงเรียนราชสำนักที่ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่รวมพลก่อนแยกย้าย

บางคนมาที่นี่เพื่อส่งสหายหรือสมาชิกในครอบครัวของตัวเอง แต่คนส่วนมากมาเพื่อเตรียมออกเดินทางไปยังดินแดนหนเหนือ

เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง หลิวซิวหยาและสหายของฉินอวี้โม่คนอื่น ๆ ตัดสินใจจะตามมู่อวิ๋นไปหาประสบการณ์ที่ดินแดนหนเหนือ ลั่วเฉิน ปิงเสวียนและอ้านเยี่ยหลังจากจัดการเรื่องการรวมอำนาจและเรื่องปลีกย่อยอื่น ๆ แล้วเสร็จ พวกเขาก็เตรียมจะไปดินแดนหนเหนือเช่นกัน

ระหว่างรอเวลา ในช่วงที่ทุกคนกำลังกล่าวทักทายกันอยู่นั้น หานโม่ฉือก็ปรากฏตัวข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ บุรุษร่างใหญ่ผู้ถือกำเนิดจากต่างดินแดนคว้ามือบางของสตรีหนึ่งเดียวในหัวใจมากุมไว้แน่น เขาและนางก็จับมือเดินเคียงกันไม่ห่างจนกระทั่งได้เวลาออกเดินทาง

มู่อวิ๋นเปิดผนึกของดินแดนต้องห้ามก่อนจะส่งคนเข้าไปภายใน

หลังจากเข้ามาพร้อมกันแล้ว ฉินอวี้โม่ก็นำทางทุกคนไปที่ถ้ำของเทพมายาก่อนจะพาเข้าไปยังเส้นทางที่จะนำทุกคนไปยังดินแดนอ้างว้างและดินแดนเทพมายา

“ด้านซ้ายจะเป็นเส้นทางที่มีค่ายกลเคลื่อนที่จะพาไปยังดินแดนอ้างว้างติดตั้งอยู่ ส่วนด้านขวาจะเป็นค่ายกลสำหรับพาทุกคนไปยังดินแดนเทพมายา”

ฉินอวี้โม่กล่าวแนะนำเส้นทางทั้งสอง ข้อมูลนี้ซิวเป็นคนบอกนางเอง ในตอนนั้นมันคงจะสังหรณ์ใจแล้วว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้ออกมาช่วยนายหญิงของตัวเองอีกสักพัก มันจึงบอกเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าก่อน

“อวี้โม่ ข้าไม่อยากจากเจ้าไปเลย”

เยว่ชิงเฉิง เหย่าเซียนเอ๋อร์และฉีฉี อดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้ามากอดสหายตระกูลฉิน

“ข้าก็ไม่อยากจากพวกเจ้าเช่นกัน เอาเถิด อีกไม่นานเราก็จะได้พบกันแล้ว”

ฉินอวี้โม่เองก็ไม่อยากจะแยกจากทุกคนเช่นกัน นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวนางจะมีสหายที่ดีมากถึงเพียงนี้ มีสหายมากมายที่ยินดีจะต่อสู้เคียงข้าง ร่วมเป็นร่วมตายกับนาง

“ฉินอวี้โม่พูดถูกแล้ว อีกไม่นานพวกเราก็จะได้พบกัน”

โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่น ๆ เดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รุ่นพี่หานโม่ฉือ ฝากท่านช่วยปกป้องอวี้โม่ด้วย”

หานโม่ฉือพยักหน้ารับปากไม่ลังเล

พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพักก่อนจะแยกย้ายเดินทางไปตามเส้นทางสู่เป้าหมาย

“อวี้โม่ พวกเจ้าทั้งสองไปก่อนเถอะ”

ทุกคนเลือกที่จะรอส่งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก่อนออกเดินทาง

คุณหนูสี่ตระกูลฉินและบุรุษตระกูลหานเดินผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะพาพวกเขาไปยังดินแดนอ้างว้างอย่างไม่ลังเล….

.

Options

not work with dark mode
Reset