………………………………………………………..
“เจ้าเสือยักษ์อยู่นิ่ง ๆ ในข่ายอาคมของข้าสักครู่เถอะ!”
มารยายิ้มบาง ๆ อย่างไม่เกรงกลัว พลันรีบวางข่ายอาคมก่อนจะยืนอยู่เฉย ๆ รอดูผลของมัน
ข่ายอาคมที่ถูกนำมาใช้ในครั้งนี้เรียกว่า ‘ข่ายอาคมห้าธาตุ’ ถือเป็นข่ายอาคมที่ทรงพลังมากซึ่งอสูรสาวซุ่มฝึกฝนเรียนรู้มาเป็นเวลานานแล้ว
แม้ว่าจะใช้เป็นครั้งแรก แต่มารยาก็มีความมั่นใจอยู่พอสมควรว่าข่ายอาคมของตนจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรระดับจ้าวพิภพได้ชั่วคราวโดยไร้ปัญหา
ตอนนี้เจ้าเสือถูกอสูรพฤกษาพลับพลึงแดงควบคุมอยู่ทำให้ไม่มีความรู้สึกนึกคิด หากมีความรู้สึกนึกคิดเป็นอิสระ มันย่อมรู้สึกได้อย่างแน่นอนว่าข่ายอาคมที่อยู่ตรงหน้ามันเต็มไปด้วยอันตราย
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันไม่สามารถสัมผัสถึงอันตรายได้เลย มันจึงพุ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นเอง พวกฉินอวี้โม่ก็เห็นเจ้าเสือตัวนั้นแน่นิ่งและยืนงุนงงอยู่กับที่
อสูรสาวพลับพลึงแดงตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นการหายตัวไปอย่างกะทันหันของเจ้าเสือ ทว่าเสียงขลุ่ยในมือก็ยังมิได้หยุดลง
ในตอนนี้นางต้องการจะควบคุมหานอวี้และมารยาให้ได้เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้
อย่างไรก็ตามมารยาเป็นสัตว์อสูรที่มีพลังทางจิตแข็งแกร่งมาก แน่นอนว่าอสูรสาวย่อมไม่ถูกเสียงขลุ่ยควบคุมง่าย ๆ หานอวี้เองก็เป็นมังกรทองห้าเล็บซึ่งไม่กลัวการโจมตีทางจิตเช่นกัน
ตรงข้ามกับพวกเสี่ยวเฮยที่มีพลังอ่อนแอกว่าทำให้พวกมันไม่อาจจะทนเสียงขลุ่ยได้
“นายหญิงเสียงขลุ่ยนี้น่ารังเกียจยิ่งนัก มันทำให้ข้าเวียนหัว” เสี่ยวเยี่ยพูดอย่างไม่สบายใจ
พวกมันเป็นอสูรที่ผูกพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ไปแล้วจึงไม่มีทางจะถูกเสียงขลุ่ยนั้นควบคุมได้อีก อย่างไรก็ตามเสียงของขลุ่ยยังคงทำให้พวกมันรู้สึกเวียนหัวและอึดอัดมาก
ส่วนฉินอวี้โม่นั้นไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย หากเทียบกับพลังจิตวิญญาณของตัวนางแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมือระดับจ้าวสุริยะนางก็ไม่เป็นรอง
“มาลองพลังเปลวเพลิงของข้าหน่อยเป็นอย่างไร”
หานอวี้ยิ้มกล่าวอย่างฮึกเหิม ก่อนที่เปลวไฟปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วของมัน
เปลวไฟนี้มีสีฟ้าอ่อนดูเป็นธรรมชาติและไม่มีแรงกดดันที่น่าเกรงขามเท่ากับเพลิงของซิว อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเปลวเพลิงที่ปลายนิ้วของมังกรทองห้าเล็บเป็นแน่
นั่นก็เพราะมังกรทองห้าเล็บเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่ครอบครองเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์
“เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์!”
อสูรสาวพลับพลึงแดงพอรู้เรื่องของเปลวเพลิงอยู่บ้าง ครู่หนึ่งความตื่นตระหนกก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน เปลวไฟเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอสูรพฤกษา โดยเฉพาะผู้มีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสิ่งที่พืชกลัวมากที่สุด แม้ว่ามันจะฝึกฝนจนจำแลงร่างมนุษย์ได้แล้วทว่าความหวาดกลัวในใจก็มิได้ลดน้อยลง
“จะยอมแพ้หรือจะตายเจ้าเลือกเองได้!”
หานอวี้มองไปที่อสูรสาวและพูดข่มขู่ แรงกดดันอันทรงพลังน่าเกรงขามมิอาจต้านทานไหลทะลักออกมาจากร่างน้อย ๆ ของมัน
แม้แต่เจ้าเสือที่ติดอยู่ในข่ายอาคมของมารยาก็หยุดส่งเสียงคำรามที่น่ารำคาญของมันและเงียบลงไป
เมื่อเห็นว่าเสียงขลุ่ยของตนไม่มีผลต่อหานอวี้และรู้สึกถึงแรงกดดันที่มีอยู่ในเปลวไฟของมังกรน้อย อสูรสาวพลับพลึงแดงก็หยุดเล่นขลุ่ยในที่สุด
ทันใดนั้นเองร่างของอสูรสาวก็หายไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว มันต้องการจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ… ถ้าเจ้ามีเวลาสักระยะ ข้าอาจจะไม่สามารถรับมือกับวิชาการควบคุมของเจ้าได้ หึ ๆ ดูเหมือนเจ้าจะเพิ่งจำแลงร่างมนุษย์ได้ไม่นานสินะ มิฉะนั้นข้าก็คงจะถูกเจ้าควบคุมไปแล้ว”
หานอวี้หัวเราะราวกับมันเดาได้ตั้งแต่แรกและมายืนอยู่ตรงหน้าอสูรสาว
จะว่าไปแล้วอสูรสาวพลับพลึงแดงก็ถือว่าโชคร้ายไม่น้อยที่ต้องมาเผชิญหน้ากับหานอวี้
เพราะหากเป็นอสูรตัวอื่นไม่มีทางเลยที่ผลจะออกมาเป็นเช่นนี้
อสูรสาวพลับพลึงแดงเป็นอสูรที่เน้นวิชาควบคุม ที่ผ่านมาไม่ว่ามันจะไปที่ใดมันก็พึ่งพาเพียงวิชาในการควบคุมเท่านั้น ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับมนุษย์หรืออสูรมายาตัวไหน ขอเพียงพลังจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไม่แข็งแกร่งพอ ก็ไม่มีใครต้านทานพลังในการควบคุมของมันได้ ด้วยจุดแข็งในข้อนี้ทำให้มันเปลี่ยนคู่ต่อสู้ที่อันตรายให้กลายมาเป็นพวกพ้องได้และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มันไร้เทียมทาน
ทว่าครั้งนี้มันกลับต้องมาเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ผู้มีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งผิดมนุษย์ มารยาผู้เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคมและอสูรมายาระดับสูงอย่างมังกรทองห้าเล็บ
วิชาในการควบคุมของมันจึงไร้ผลโดยสิ้นเชิง
“จะยอมหรือจะตาย ?! อย่างไรวันนี้เจ้าก็หนีไม่รอด!”
หานอวี้กดดันต่อ น้ำเสียงและวาจาที่น่าเกรงขามของมันทำให้อีกฝ่ายมิอาจโต้แย้งได้
ฉินอวี้โม่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากซิวหรือไม่ นอกจากอสูรเพศหญิงเพียงไม่กี่ตัวแล้ว อสูรตัวอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ล้วนหยิ่งผยองและโอหังทั้งสิ้น
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ชมชอบในตัวตนของพวกมันในตอนนี้มาก ขอเพียงเอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ จะแสดงความโอหังออกไปบ้างก็มิใช่เรื่องผิดอะไร
ร่างของฉินอวี้โม่หายไป ก่อนจะปรากฏตัวข้าง ๆ อสูรสาวและชำเลืองมอง
การมีอสูรเช่นนี้อยู่ด้วยถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรเสียศักยภาพในการเติบโตของพลับพลึงแดงก็มิใช่น้อย ๆ ในอนาคตมันอาจจะแข็งแกร่งพอจะควบคุมกองทัพอสูรขนาดใหญ่ได้เลย
“ข้ายอมแพ้……”
อสูรพลับพลึงแดงจำต้องก้มศีรษะอย่างไร้หนทาง ในที่สุดมันก็ยอมจำนน
สถานการณ์ปัจจุบันไม่อนุญาตให้นางดิ้นรนและคิดเรื่องใด ๆ หากยังขืนดื้อดึงก็อาจจะถูกหานอวี้เผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ ฉะนั้นยอมแพ้ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ… น่าสนใจจริง ๆ ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับอสูรพฤกษาในตำนานในป่านี้”
ทันใดนั้นเสียงที่เย่อหยิ่งก็เข้ามาในหูของฉินอวี้โม่ หลังจากนั้นนางก็เห็นกลุ่มคนนับสิบปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากจุดที่ตนอยู่
เมื่อเห็นกลุ่มคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ แม้ว่านางจะถูกอสูรพลับพลึงแดงดึงดูดความสนใจไปก็เถอะ แต่ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ก็คงไม่ใช่น้อย ๆ แน่
“คุณชายรอง ขอเพียงท่านสยบอสูรพฤกษาได้ ความแข็งแกร่งของท่านก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากนั้นอันดับของท่านในทำเนียบรุ่นเยาว์ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ผู้อาวุโสทราบ ก็คงจะชื่นชมท่านอย่างแน่นอน”
มีใครบางคนกล่าววาจาเหลวไหลออกมาโดยไม่สนใจฉินอวี้โม่และอสูรมายาของนางโดยสิ้นเชิง
“ถูกต้อง โชคดีที่ครั้งนี้ก่อนจะออกมาพวกเราบังเอิญพาผู้ฝึกสัตว์อสูรมาด้วย ฉะนั้นพวกเราคงสามารถช่วยคุณชายรองสยบมันได้ในทันที”
อีกคนกล่าววาจาสนับสนุนคนก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ชอบประจบสอพลอ
“เหอะ เรื่องนั้นข้ารู้แล้ว ยังไม่รีบช่วยข้าสยบมันอีก ? พวกเจ้าจะมัวรออะไรกัน!”
คนที่ถูกเรียกว่า ‘คุณชายรอง’ เป็นชายหนุ่มร่างเตี้ยอ้วนวัยประมาณยี่สิบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง วางตัวสูงส่ง เขาแต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงินซึ่งมันควรจะดูหล่อเหลาและสง่างาม ทว่ามันกลับดูหม่นหมองไปสักเล็กน้อยเมื่อสวมทับอยู่บนตัวเขา
“ไม่ได้ยินเหรอ! พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ เหตุใดยังไม่รีบลงมือ ?!”
ชายที่ชอบประจบสอพลอปล่อยให้คนข้างหลังลงมือ
คนที่อยู่ข้างหลังเขาไม่สนใจฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย พวกเขารีบตรงไปที่อสูรสาวพลับพลึงแดงในทันที
ทว่ายังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ คนเหล่านั้นก็รู้สึกถึงพลังอันรุนแรงที่จู่โจมมา จากนั้นพวกเขาก็ลอยออกไปทีละคน
“ใคร… ใครทำร้ายเรา!”
เมื่อเห็นคนเหล่านั้นถูกจู่โจมอย่างกะทันหันจนกระเด็นกลับมากระแทกพื้น ชายที่ชอบประจบสอพลอก็กล่าวอย่างตื่นตระหนก
“ฮ่า ๆ ๆ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าข้าเป็นคนซัดคนพวกนั้นกลับไปเอง ยังจะมาถามอีก พวกเจ้าเป็นกลุ่มคนตาบอดหรืออย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มจาง ๆ และกล่าววาจาเสียดสีกลับไปในทันที
คนเหล่านี้จะสามหาวเกินไปแล้ว นางเองก็ยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งนานทว่าคนพวกนั้นกลับทำเหมือนไม่เห็น ที่สำคัญยังกล้าคิดแย่งชิงอสูรของนางด้วย เช่นนี้ถือว่าอภัยให้ไม่ได้!
ต้องทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่ถือคติที่ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถแย่งชิงของของผู้อื่น แต่ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์จะมาแย่งของของนาง
“เป็นเจ้าเอง!”
เมื่อได้ยินวาจาเสียดสีของฉินอวี้โม่ ในที่สุดคนเหล่านั้นก็มองมาที่นางและรับรู้ว่านางมีตัวตนเสียที
แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนทุกคนก็ตกตะลึงอยู่กับที่
ก่อนหน้านี้ความสนใจของพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่อสูรสาวพลับพลึงแดงทำให้ไม่ได้สังเกตเห็นฉินอวี้โม่ที่อยู่อีกด้าน
ตอนนี้กลับได้มาเห็นสตรีที่พราวเสน่ห์และงดงามจึงอดไม่ได้ที่จะแข็งค้างไปตาม ๆ กัน
แม้แต่คุณชายรองก็ยังตกตะลึงและไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีหญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ที่นี่ด้วย
“แม่นางคนสวย ข้าต้องขอโทษด้วย เมื่อครู่ข้าไม่ทันเห็นเจ้า”
คุณชายรองพูดอย่างสุภาพ น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงมาก
ถึงอย่างไรต่อหน้าสตรีที่งดงามเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดสามารถกล่าววาจารุนแรงได้ คุณชายรองผู้นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“เหอะ ๆ ๆ… ข้าว่าข้าก็มิใช่คนตัวเล็ก ถ้าพวกเจ้าตาเซ่อก็นอนอยู่บ้านเฉย ๆ เสียดีกว่า เหตุใดจึงกล้าออกมาเดินป่าให้ผู้คนด่าเช่นนี้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกล่าว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ คุณชายรองซึ่งเดิมพยายามแสร้งเป็นคนอัธยาศัยดีก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ที่สำคัญ นี่คือสัตว์อสูรของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์จะมาแย่งชิง”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างองอาจ และทำพันธสัญญากับอสูรสาวพลับพลึงแดงโดยไม่สนใจคนเหล่านั้น
แน่นอนว่าอสูรสาวพลับพลึงแดงไม่กล้าที่จะต่อต้านใด ๆ ท่าทางที่ฉินอวี้โม่แสดงให้เห็นตอนนี้ทำให้มันยอมรับความจริงที่ว่า สตรีผู้นี้มีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นเจ้านายของมัน
การได้ติดตามเจ้านายผู้นี้ไปอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่มันคาดคิดก็ได้
“คุณชายรองนางกำลังทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตัวนั้น!”
ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นรับรู้ถึงการกระทำของฉินอวี้โม่ แต่ทันทีที่เสียงของเขาสิ้นสุด นางก็ทำสัญญาของตัวเองสำเร็จ
“ฮ่า ๆ ๆ.. เจ้ารู้ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ขณะที่อสูรสาวพลับพลึงแดงยืนอยู่ข้าง ๆ นางอย่างเชื่อฟัง
“บัดซบ !… กล้าแย่งของของคุณชายรอง รู้หรือไม่ว่าคุณชายรองของพวกเราคือใคร ?!”
คนที่ชอบประจบสอพลอมองไปที่ฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างดุดัน
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพลางกล่าวตอบ “ข้าไม่รู้ และไม่สนใจที่จะรู้”
หลังจากกล่าวจบ นางก็หันหลังกลับและเตรียมออกไปจากที่นี่
“เอาของของคุณชายรองไป คิดจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้รึ ?!”
คนผู้นั้นส่งเสียงเย็นชา เพียงแค่เขาขยับมือ กลุ่มผู้คนนับสิบก็พุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่และเหล่าอสูรของนางในทันที
“คุณชายรองของเรามีนามว่าจูฉี เป็นถึงผู้ที่อยู่ในอันดับสี่แห่งทำเนียบรุ่นเยาว์และเป็นจอมยุทธ์จ้าวพิภพ จูอวิ๋นชางบิดาของท่านเป็นถึงสุดยอดฝีมือที่อยู่ในอันดับแปดของทำเนียบสวรรค์และยังเป็นผู้นำแห่งขุมกำลังพญายม เจ้ากล้าที่จะฉกของของคุณชายเรา มันเท่ากับรนหาที่ตาย!”
คนผู้นั้นกล่าวถึงตัวตนของชายเตี้ยอ้วนผู้เป็นนายออกไปด้วยสีหน้าราวกับประกาศชัยชนะ
ด้วยสถานะของคุณชายรองต่อให้ต้องเจอกับจอมยุทธ์ระดับแนวหน้า อีกฝ่ายก็ต้องไว้หน้าพวกเขาบ้าง ทว่าสตรีผู้นี้กลับกล้าที่จะแย่งชิงของของคุณชายรองไปต่อหน้า ทั้งยังพูดจาดูถูกคุณชาย กระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการหาที่ตายให้ตัวเอง !
“รีบขอโทษและยกเลิกพันธสัญญา หากเป็นเช่นนั้นเราจะยอมปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อได้”
หลังจากที่เห็นฉินอวี้โม่ไม่กล่าวตอบ ชายผู้นั้นก็ยื่นข้อเสนอ
.