หลังจากที่ได้ยินคำวาจาที่โอหังของชายผู้นั้น ฉินอวี้โม่ก็อึ้งไปชั่วขณะ
ทว่าเมื่อมองดูบุรุษอ้วนเตี้ยที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ นางก็อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ คนผู้นี้น่ะหรือ ยอดฝีมืออันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ของดินแดนนี้
พรวด !
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ในที่สุดก็มีเสียงหลุดหัวเราะดังออกมา ทว่าไม่ใช่เสียงของฉินอวี้โม่แต่เป็นของมังกรน้อยหานอวี้
“ไม่เลวจริง ๆ มันคงไม่ง่ายเลยที่จะอยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ได้ด้วยรูปร่างเช่นนั้น”
หานอวี้กล่าววาจาประชดประชันอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ว่าจะเป็นหานอวี้หรือฉินอวี้โม่ก็ไม่รู้สึกกลัวคนผู้นี้เลยแม้แต่น้อย การที่คนตรงหน้าเอาสถานะของตัวเองมาข่มถือว่าไร้ผลโดยสิ้นเชิง
ไม่ต้องกล่าวถึงอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ ต่อให้เป็นบิดาของเขาผู้ที่เป็นยอดฝีมืออันดับแปดของทำเนียบสวรรค์มาเองก็ยังไร้ความหมายเพราะฉินอวี้โม่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหานอวี้ จูฉีก็รับรู้ในทันทีว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเสียดสี ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ
“เจ้าพวกน่ารังเกียจ กล้าดียังไงมาหยามคุณชายรอง !”
ชายผู้ชอบการประจบสอพลอกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล
“ฮ่า ๆ ๆ หานอวี้ก็แค่พูดเรื่องจริงเท่านั้น เพราะต่อให้คุณชายของเจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งอย่างไร แต่ด้วยรูปร่างเช่นนั้นก็คงสู้ได้ลำบากสักหน่อย”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจา แม้ว่าจะฟังดูเหมือนเป็นการอธิบายก็จริง แต่การกล่าวออกไปตรง ๆ เช่นนั้น มันไม่ต่างจากการแตะไปที่เกล็ดย้อนของมังกรเลยแม้แต่น้อย
“เหอะ พวกเจ้าไม่ต้องมาเยาะเย้ยข้าหรอก วันนี้ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นถึงพลังของข้าเอง!”
จูฉีเปล่งเสียงเย็นชาพลางจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน พริบตาร่างของเขาก็หายไป พลันเข้าโจมตีฉินอวี้โม่อย่างไม่รอช้า
ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัว ทันทีที่จูฉีเข้ามาปะทะ นางก็หลบออกไปอย่างง่ายดาย
แม้ว่านางจะเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพทำให้พลังยังไม่มั่นคงนักก็ตาม แต่ด้วยทักษะต่าง ๆ ที่ฝึกฝนมา นางจึงกลายเป็นเครื่องจักรในการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะด้านความเร็ว ถึงจะต้องสู้กับจอมยุทธ์จ้าวสุริยะก็ยังไม่เป็นรอง
เมื่อเหล่าลูกน้องของจูฉีเห็นคุณชายรองของตนเข้าไปปะทะกับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็รีบตรงเข้าไปเล่นงานหานอวี้และอสูรสาวพลับพลึงแดงที่อยู่อีกด้านในทันที
ในตอนนี้อสูรพลับพลึงแดงกลายเป็นอสูรของฉินอวี้โม่ไปแล้ว แน่นอนว่าสำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นศัตรู
“ชิ ! คิดหรือว่าจะรังแกข้าได้ง่าย ๆ”
อสูรสาวพลับพลึงแดงเปล่งเสียงเย็นชา ในพริบตาเสียงขลุ่ยก็ดังขึ้นอีกครา
ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ยินเสียงขลุ่ยของมันก็จะรู้สึกปวดศีรษะราวกับว่ามันจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา พลังในการต่อสู้ของพวกเขาลดลงไปอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจูฉีจะได้รับผลกระทบไม่มากนักซึ่งก็ถือว่าไม่แปลก ตัวเขาเป็นถึงจอมยุทธ์จ้าวพิภพ พลังจิตวิญญาณจึงแข็งแกร่งมิใช่น้อย และการที่เขาขึ้นไปถึงอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ได้ด้วยอายุเท่านี้ก็บ่งบอกได้ถึงพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
ทว่าพลังของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นรองอีกฝ่าย เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือระดับจ้าวพิภพ แม้จะไม่ต้องเรียกใช้ทักษะอสูรเสริมร่าง นางก็ยังมีพลังพอจะสู้ได้
จูฉีรุกไล่ฉินอวี้โม่อยู่สักพักก็รับรู้ว่าความเร็วของฉินอวี้โม่ยังเหนือกว่าตัวเองอยู่ขั้นหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นพลังในการต่อสู้ก็ไม่ต่างกันมากด้วย เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก
ตัวเขาเป็นถึงยอดฝีมือในทำเนียบรุ่นเยาว์ อีกฝ่ายก็ดูจะอายุยังน้อย เป็นไปได้อย่างไรกันที่สตรีผู้นี้จะสู้กับเขาได้ถึงเพียงนี้
สู้กันอีกไม่นาน จูฉีก็พบว่าฉินอวี้โม่เริ่มชิงความได้เปรียบและเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุกไล่บ้าง
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีอย่างเจ้าอยู่ในแผ่นดิน ?”
ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกันและยืนประจันหน้ากันอยู่ จูฉีจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นพลางกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเป็นใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง ๆ คุณหนูสี่ตระกูลฉินไม่มีความคิดจะเปิดเผยตัวตน
“คนอายุพอ ๆ กับเจ้าที่เข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพได้ในแผ่นดินนี้มีเพียงหยิบมือ ในบรรดาพวกนั้นมีสตรีอยู่เพียงสองคนและข้าก็เคยเห็นพวกนางมาแล้ว ความแข็งแกร่งของเจ้าเหนือกว่าพวกนางมาก แล้วเหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเจ้าเลย”
จูฉีจ้องตาของฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาอยากรู้ถึงตัวตนของฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
เขาไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีอย่างฉินอวี้โม่อยู่ในแผ่นดิน
ไม่เพียงแต่ฝีมือสูงส่งเกินอายุ แต่ยังงดงามราวเทพเซียน ด้วยพรสวรรค์ระดับนาง การจะติดหนึ่งในสิบของทำเนียบรุ่นเยาว์ถือเป็นเรื่องธรรมดา
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนกว้างขวางมิใช่น้อย แต่ตามความเห็นของข้า ทำเนียบทั้งสามเป็นอะไรที่ไร้สาระ เพราะในโลกนี้ยังมียอดฝีมือลึกลับที่ไม่เผยตัวอยู่อีกมาก และพลังของพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบ”
ฉินอวี้โม่กล่าว ตัวนางเองไม่ชื่นชอบสิ่งที่เรียกว่าทำเนียบเหล่านี้นัก
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ยอดฝีมือมีอยู่มากมาย ไม่มีทางเลยที่ทำเนียบเหล่านี้จะใช้เป็นดัชนีชี้วัดอันดับของยอดฝีมือทั้งหมดบนโลกได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่ออยู่บนทำเนียบจะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่ง
“เหอะ แล้วอย่างไร ? ข้าไม่สนแล้วว่าเจ้าจะเป็นใคร ใครก็ตามที่กล้าหยามข้าจะไม่มีจุดจบที่ดี !”
เมื่อได้ยินวาจาของสตรีตรงหน้า จูฉีก็กล่าวโต้ตอบด้วยเสียงเย็นชา
แม้ว่าจะยอมรับว่าที่ฉินอวี้โม่กล่าวมาคือเรื่องจริง แต่ในดินแดนอ้างว้างใครที่กล้ามีเรื่องกับเขาจะไม่มีจุดจบที่ดี ใครที่กล้าขัดใจเขาจะไม่ได้อยู่เป็นสุข
บิดาของเขาคือหนึ่งในผู้มีอิทธิพลและอำนาจมากของดินแดนนี้ ขุมกำลังของเขาถือเป็นขุมกำลังระดับแนวหน้า แม้แต่ผู้ที่อยู่ในทำเนียบสวรรค์ก็ยังต้องเกรงใจพวกเขา
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้จูฉีเป็นคนที่ยโสโอหัง ชอบวางอำนาจและไม่เกรงกลัวผู้ใด
“เจ้าโง่”
เมื่อเห็นความไร้เหตุผลของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็อดกล่าวคำคำนี้ออกมาไม่ได้จริง ๆ
“เจ้าพูดอะไร ?”
เมื่อได้เห็นคำพูดของฉินอวี้โม่ จูฉีก็โกรธจนหน้าดำคล้ำ
ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มาเจอกับผู้ที่ไม่ไหวหน้าเขาถึงเพียงนี้ นี่ทำให้เขาเดือดถึงขีดสุด
“เอ้อร์เฮยออกมา สั่งสอนให้สตรีโอหังผู้นี้ให้รู้ถึงพลังของเรา !”
จูฉีเรียกอสูรมายาของตนออกมา พริบตาอสูรสีดำที่รูปร่างคล้ายตัวอัลปาก้า*ก็ปรากฏตัวข้าง ๆ เขา
*อัลปาก้า คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในตระกูลเดียวกับอูฐ มีรูปร่างคล้ายลามะ
พรวด !
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของอัลปาก้าสีดำ ฉินอวี้โม่และอสูรมายาของนางก็หลุดหัวเราะออกมาในทันที
เมื่อใดก็ตามที่คนเราเข้าตาจน ถึงจะต้องเรียกอสูรมายาที่ดูตลกเพียงใดออกมาก็ยอมทั้งสิ้น
“พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน ? อย่าดูเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เอ้อร์เฮยของข้าเป็นถึงอสูรระดับจ้าวพิภพ”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่น่าโมโหของฝ่ายตรงข้าม สีหน้าของจูฉีก็โกรธจนเรียกได้ว่าบิดเบี้ยวจนผิดรูป
อสูรมายาของเขามีชื่อว่า ‘แพะทมิฬ’ มันเป็นอสูรระดับสูงที่มีพรสวรรค์ดี ศักยภาพสูงมาก ทว่าด้วยรูปลักษณ์เช่นนั้นจึงมักจะถูกหัวเราะเยาะอยู่บ่อยครั้ง
ที่สำคัญแพะทมิฬถือเป็นอสูรใจดี มันไม่ชมชอบการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย
ที่ผ่านมาจูฉีหมดหวังกับอสูรตัวนี้มาก เขาไม่สามารถเปลี่ยนความคิดและนิสัยของมันได้ เรียกได้ว่าแทบจะควบคุมอะไรมันไม่ได้เลยถึงจะถูก การที่เขายอมเรียกมันออกมาแสดงให้เห็นว่าวันนี้เขาไร้หนทางแล้วจริง ๆ
อสูรตนนี้ก็คล้ายกับเสี่ยวเยี่ย พยัคฆ์ขนทองสาวผู้แสนใจดีของฉินอวี้โม่ แม้ว่าจะติดตามฉินอวี้โม่มานาน รวมถึงได้อยู่ท่ามกลางความโอหังของอสูรตัวอื่น ๆ ในคณะ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ชื่นชอบการต่อสู้อยู่ดี
ในตอนนั้นเอง เอ้อร์เฮยอสูรของจูฉีก็เปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มในชุดดำที่มีใบหน้าละเอียดอ่อน กลิ่นอายอ่อนโยน
“ใครกันที่มารังแกเจ้านายของข้า ?”
เอ้อร์เฮยกวาดตามองพวกฉินอวี้โม่พลางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เมื่อได้ยินคำถามนั้น ฝ่ายฉินอวี้โม่ก็นิ่งไป ไม่มีใครกล่าวตอบมันแม้แต่คนเดียว
คำพูดของเอ้อร์เฮย ขัดกลับน้ำเสียงและท่าทางที่อ่อนโยนของมันยิ่งนักซึ่งนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่และคณะกล่าวอะไรไม่ออก
“เอ้อร์เฮย สตรีตรงหน้าเจ้าแย่งชิงอสูรที่ควรจะเป็นของข้าไป และนางยังเหยียดหยามข้าด้วย”
จูฉีชี้ไปยังฉินอวี้โม่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน แววตาอาฆาต
เอ้อร์เฮยอสูรของเขา แม้ว่าจะไม่ชื่นชอบการต่อสู้ แต่ในเมื่อมีคนมารังแกเจ้านายของมัน มันก็น่าจะมีอารมณ์พร้อมจะสู้ขึ้นมาบ้าง
“นางน่ะหรือ ?”
เอ้อร์เฮยมองฉินอวี้โม่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “เสียใจด้วยนายท่าน ข้าว่าเรื่องนี้ท่านสะสางเองจะดีกว่า ท่านก็รู้ว่าข้าเอ้อร์เฮยไม่เคยคิดทำร้ายสตรี”
กล่าวจบ เอ้อร์เฮยก็หายไปต่อหน้าต่อตาจูฉี มันกลับไปในห้วงจิตของเขาในทันที
จูฉีถึงกับนิ่งอึ้ง กล่าวสิ่งใดไม่ออก
ฉินอวี้โม่เองก็อึ้งไปเช่นกัน
ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับอสูรที่มีนิสัยเฉพาะตัวที่ดูน่าสนใจเช่นนั้น แพะทมิฬไม่เห็นเจ้านายตัวเองอยู่ในสายตา มันเป็นอสูรในแบบที่ฉินอวี้โม่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ท่านแม่ เจ้าแพะทมิฬตัวนั้นเป็นอสูรที่หายากมากถึงแม้จะมีนิสัยเฉพาะตัวและดื้อด้านไปบ้างก็ตาม มันเป็นอสูรที่ใจดีและไม่ชอบการต่อสู้ ถ้าหากว่าเราบีบบังคับให้มันทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ มันยินดีที่จะตายดีกว่าต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจ”
หานอวี้อธิบายถึงตัวตนของแพะทมิฬให้ฉินอวี้โม่ฟัง ซึ่งก็ทำให้ฉินอวี้โม่พอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นขึ้นมาบ้าง
แพะทมิฬเป็นอสูรหายาก แต่ก็ยึดถือความคิดของตัวเองอย่างสุดโต่ง ดังนั้นการจะเปลี่ยนนิสัยของมันได้จะต้องทำให้มันยอมรับจากหัวใจจริง ๆ เท่านั้น
มิฉะนั้นแล้ว การจะควบคุมอสูรใจดีตนนี้จะเป็นอะไรที่น่าปวดศีรษะไม่น้อย
แม้กระนั้นแพะทมิฬก็จะไม่ยินยอมให้เจ้านายตกอยู่ในอันตราย เมื่อใดก็ตามที่ถึงยามคับขันจริง ๆ มันจะเข้าช่วยเจ้านายด้วยชีวิต
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจูฉีถึงไม่สามารถควบคุมแพะทมิฬได้ เมื่อผู้เป็นนายไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตถึงตาย สุดท้ายแล้วมันจึงกลับเข้าไปในห้วงจิตของเขาโดยไม่คิดจะยื่นมือเข้าช่วย
จูฉีมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่ต่างออกไปจากเดิม เมื่อครู่หลังจากที่ได้ประมือกับนาง เขาก็พอจะรู้แล้วว่าถึงจะสู้ต่อไปก็ไม่สามารถเอาชนะนางได้
อสูรมายาของเขาก็ไม่ยอมช่วยเหลือ แถมอีกฝ่ายก็มีอสูรมายามากมาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไร้หนทางเอาชนะ
ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ลูกน้องของเขาก็ถูกอสูรสาวพลับพลึงแดงเล่นงานจนแทบไร้พลังต่อสู้
แม้ว่าจูฉีจะเป็นคนที่ยโสโอหังเพียงใด แต่เขาก็มิใช่คนโง่ไร้ความคิด ในฐานะที่อยู่ในอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์รวมถึงเป็นบุตรของผู้มีอิทธิพล บางครั้งเขาก็สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
“เหอะ ! บัญชีแค้นครั้งนี้ข้าจะขอจดเอาไว้ก่อน วันนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป แต่วันหน้า ถ้าหากพวกเรามีโอกาสได้พบกันอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเป็นครั้งที่สองแน่”
จูฉีกล่าววาจาเย็นชา พลันโบกมือก่อนที่จะรีบออกไปจากจุดนี้พร้อมกับลูกน้อง
“ท่านแม่จะให้ข้าจัดการพวกมันเลยดีไหม ?”
หานอวี้หันไปถามความเห็นของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพลางกล่าว “ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
ดูแล้วจูฉีผู้นี้คงไม่ใช่คนธรรมดา เขาน่าจะมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้อยู่อีก ถ้าหากว่าไล่ต้อนอีกฝ่ายมากจนเกินไป ก็อาจจะไม่เป็นผลดีและอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้
ในช่วงนี้นางไม่ควรจะทำตัวให้เป็นจุดเด่นหรือสร้างศัตรูมากเกินไป
.