“นายหญิง ข้าสั่งให้พวกอสูรมายาถอนกำลังกลับแล้ว”
ในตอนนี้ อสูรพลับพลึงแดงดูราวกับเป็นเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อได้ทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่ จิตใจด้านชั่วร้ายที่เคยครอบงำมันอยู่ก็จางหายไปจนหมดสิ้น อสูรสาวสั่งการให้อสูรมายาทั้งหมดที่บุกโจมตีหมู่บ้านจันทราถอนกำลังกลับในทันที
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางจ้องมองอสูรพลับพลึงแดง “ต่อไป ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวม่าน”
แน่นอนว่าพลับพลึงแดงพยักหน้าอย่างมีความสุขเหมือนกับเด็ก ๆ และไม่ปฏิเสธชื่อนั้น
หากจะว่าไป อสูรพลับพลึงแดงก็ดูเหมือนกับเด็กหญิงอายุสิบสามถึงสิบสี่ปี แม้ว่ามันจะจำแลงร่างมนุษย์ได้ แต่สติปัญญาหรือความรู้ก็ยังมีน้อยซึ่งก็มีส่วนคล้ายกับไป๋ฉี่ในหอคอยวิญญาณ
หากไม่ใช่เพราะเพิ่งทำสัญญากับฉินอวี้โม่และถือว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านาย อสูรสาวน้อยตนนี้คงไม่มีวันยอมให้อีกฝ่ายเรียกด้วยชื่อนั้น แต่การที่มันยอมก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันยอมรับฉินอวี้โม่เป็นนายอย่างหมดหัวใจ
“นายหญิง ท่านปล่อยเสืออัคคีตัวนั้นได้หรือไม่ ?”
เมื่อเห็นว่าเจ้าเสือยักษ์ยังคงติดอยู่ในข่ายอาคม อสูรพลับพลึงแดงจึงเอ่ยร้องขอฉินอวี้โม่ผู้เป็นนาย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เป็นการบอกว่านางจะปล่อยมันไป
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักหน้า มารยาก็คลายข่ายอาคมของตัวเองทันที ในตอนนี้สีหน้าของอสูรเจ้าอาคมซีดเผือดนัก
“นายหญิง ข่ายอาคมนี้กินพลังของข้ามากเหลือเกิน ข้าอยากจะขอพักเพื่อฟื้นฟูพลัง”
มารยากล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ จากนั้นอสูรสาวก็กลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของนางโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
“ท่านแม่ ข้าเองก็ต้องกลับไปพักเช่นกัน ปริมาณพลังมายาในดินแดนอ้างว้างอุดมสมบูรณ์มาก ข้ารู้สึกว่าอีกไม่นานข้าคงต้องเข้าสู่ช่วงเก็บตัวแล้ว”
หานอวี้เองก็เอ่ยวาจาทำนองเดียวกันออกมา พลันกลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูร
เมื่อเห็นเสืออัคคีกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจจะยกมันให้เป็นอสูรมายาของเสี่ยวเหยียน
เสืออัคคีคืออสูรระดับจ้าวพิภพ หากเสี่ยวเหยียนมีอสูรระดับนี้คอยปกป้อง ฉินอวี้โม่ก็จะหมดห่วง แม้ว่านางจะแยกจากสาวน้อยไปในอนาคต เสี่ยวเหยียนก็จะไม่มีอันตราย
“เสี่ยวม่าน ครั้งนี้เจ้าควบคุมกองทัพอสูรเข้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ซึ่งถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง ฉะนั้นเจ้าควรสยบอสูรจำนวนหนึ่งและมอบให้คนในเมืองเพื่อไถ่บาป”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับอสูรพลับพลึงแดงด้วยรอยยิ้ม
“นายหญิง อสูรมายาอย่างพวกเราถือเป็นศัตรูกับมนุษย์ แม้ว่าข้าจะกลายเป็นอสูรของท่าน แต่ข้าก็ไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่จะต้องขอโทษพวกเขา”
แม้ว่าอสูรพลับพลึงแดงจะพยักหน้ารับคำสั่งเจ้านาย แต่มันก็ยังเอ่ยวาจาที่ขัดแย้งกับฉินอวี้โม่ด้วยความคับข้องใจ
“หึ ๆ มนุษย์และอสูรมายาถือเป็นผู้ล่าและผู้ถูกล่าตามห่วงโซ่อาหาร เรื่องนี้คือกฎของธรรมชาติ เราอาจจะเปลี่ยนมันไม่ได้ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด ทั้งมนุษย์และอสูรมายาล้วนมีผู้บริสุทธิ์อยู่ มนุษย์บางคนไม่เคยคิดเป็นศัตรูหรือทำร้ายพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่ในโลกนี้มีอสูรใจดีอยู่เช่นกัน ไม่ใช่ว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์จะต้องห้ำหั่นกันเสมอไป”
ฉินอวี้โม่อธิบายให้อสูรใหม่ของตัวเองฟังด้วยรอยยิ้มจริงใจ
“เจ้าต้องจำไว้ว่ามนุษย์มีทั้งดีและไม่ดี บางคนอยากจะสยบอสูรมายาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ แต่ก็ยังมีบางคนที่อยากได้อสูรมายามาเป็นคู่หูที่รู้ใจ มีมนุษย์มากมายที่ปฏิบัติกับอสูรมายาไม่ต่างจากสหายจริง ๆ มนุษย์ส่วนมากไม่เคยคิดจะโจมตีหรือฆ่าล้างอสูรมายา พวกเขาเพียงแค่ป้องกันตัวหากถูกจู่โจมก่อน คนเหล่านี้ถือเป็นผู้บริสุทธิ์เช่นคนในหมู่บ้านจันทรา”
หลังจากหยุดไปชั่วอึดใจ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “คติประจำใจของข้าคือไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และจะไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจที่ข้าพูดนะ”
อสูรพลับพลึงแดงพยักหน้า มันไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งอสูร เดินเคียงคู่กลับไปยังหมู่บ้านจันทรา
ณ หมู่บ้านจันทรา…
ในตอนนี้อสูรมายาที่บุกโจมตีได้หายตัวไปหมดแล้ว ทุกคนกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ลานกลางหมู่บ้านเพื่อรอคอยการกลับมาของฉินอวี้โม่
พวกเขารู้ดีว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ช่วยหมู่บ้านให้รอดพ้นจากวิกฤตร้ายแรง ถ้าไม่ใช่เพราะนาง พวกเขาคงได้รับความเสียหายอย่างหนักและคงมีคนอีกมากที่ต้องบาดเจ็บล้มตาย
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ยังไม่กลับมา พวกเขาจึงเกิดความกังวลใจขึ้น
“ทำไมพี่อวี้โม่ยังไม่กลับมาอีก ?”
คนที่เป็นกังวลที่สุดคงหนีไม่พ้นเสี่ยวเหยียน
ก่อนหน้านี้เป็นนางเองที่ขอร้องให้ฉินอวี้โม่ช่วยหมู่บ้านเพราะนางเชื่อมั่นในตัวพี่สาวคนนี้
ทว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปนานหลายชั่วยามกลับยังไม่เห็นฉินอวี้โม่กลับมา นางจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ หากว่าฉินอวี้โม่เป็นอะไรไป นางคงได้แต่โทษตัวเอง
“ข้าต้องออกไปตามหานาง”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสี่ยวเหยียนก็รีบวิ่งออกไปจากลานกลางหมู่บ้านเพื่อจะออกไปตามหาฉินอวี้โม่
“เสี่ยวเหยียน อย่าวู่วาม”
หลัวซิงเห็นการกระทำของเสี่ยวเหยียนก็รีบยื่นมือเข้าไปขวางนางเอาไว้
“พี่ของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ข้าเชื่อมั่นในตัวนาง นางต้องไม่เป็นอะไรแน่”
แม้ว่าตัวหลัวซิงเองก็มีความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องกล่าวปลอบเสี่ยวเหยียนเพื่อให้นางสงบลงก่อน
“แต่…”
เมื่อเสี่ยวเหยียนที่ถูกรั้งตัวเอาไว้ได้ยินสิ่งที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดก็ใจเย็นลงมาบ้าง แต่ก็ยังไม่คลายความกังวลเสียทีเดียว
“เจ้าวางใจได้ หากว่านางเป็นอะไรไปจริง ๆ เจ้าคิดหรือว่าพวกอสูรจะยืนอยู่อย่างสงบเช่นนั้น ?”
หลัวซิงมองไปยังกลุ่มอสูรที่ฉินอวี้โม่ส่งมาเพื่อปกป้องพวกเขา แต่ละตัวล้วนยืนอยู่อย่างสงบเงียบ ไม่มีท่าทางร้อนใจหรือกังวลแม้แต่น้อย
อสูรของฉินอวี้โม่ล้วนแข็งแกร่งจนน่าตกใจ
มังกรอัสนีหลิวหยาคืออสูรระดับจ้าวพิภพ ส่วนตัวอื่น ๆ ที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวจิ่วหรือม่อเสียล้วนอยู่ในระดับอสูรสวรรค์จักรพรรดิ
ที่สำคัญฉินอวี้โม่ยังมีอสูรตัวอื่น ๆ นอกจากทั้งสามตัวนี้อยู่ด้วย เรื่องนี้ทำให้หลัวซิงประหลาดใจมาก เขาอยากจะรู้จริง ๆ ว่านางเป็นผู้ใดหรือมาจากที่แห่งใดกันแน่
“อย่าห่วงเลยสาวน้อย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ไม่สามารถรังแกนายหญิงของเราได้ เรื่องนี้ข้ากล้ารับประกัน”
หลิวหยาเดินเข้าไปหาเสี่ยวเหยียนพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรื่องของฉินอวี้โม่นั้น พวกมันไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ฉินอวี้โม่ก็คงจะสั่งการอะไรบางอย่างมาแล้ว การที่เจ้านายของพวกมันไม่ติดต่อมาก็แสดงว่าอีกไม่นานนางคงจะกลับมายังที่แห่งนี้
เมื่อได้ยินคำพูดของมังกรเกล็ด เสี่ยวเหยียนก็โล่งใจขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม ตาของนางก็ยังคงจับจ้องไปยังทิศทางของป่าที่ฉินอวี้โม่หายเข้าไปด้วยความเป็นห่วง
ไม่นานนัก นางก็เห็นรูปลักษณ์ที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น เสี่ยวเหยียนอดไม่ได้และรีบวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้โม่ ในที่สุดพี่ก็กลับมา”
เสี่ยวเหยียนวิ่งเข้าไปสู่อ้อมแขนของฉินอวี้โม่ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้น
ฉินอวี้โม่เข้าใจและรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของเสี่ยวเหยียน นางเอามือสัมผัสศีรษะของสาวน้อยตรงหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงจะเป็นกังวลมากสินะ”
ในตอนนี้เสี่ยวเหยียนโล่งใจไปมากแล้ว นางจ้องมองฉินอวี้โม่และกล่าวอย่างมุ่งมั่น “พี่อวี้โม่ ต่อไปข้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก สักวันถ้าเจอเรื่องเหมือนอย่างวันนี้ ข้าจะสู้เคียงข้างพี่เอง!”
หลังจากที่ได้ยินวาจาที่หนักแน่นของเสี่ยวเหยียน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้ารับแต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรในเรื่องนี้
“ก่อนอื่น เจ้าทำพันธสัญญากับอสูรตัวนี้ก่อนเถิด อสูรตัวนี้เป็นอสูรที่น้องสาวของข้าช่วยสยบมาให้ ต่อไปมันจะคอยปกป้องเจ้า”
ฉินอวี้โม่ชี้ไปที่เสืออัคคีที่อยู่ด้านหลังนาง เรื่องนี้ทำให้เสี่ยวเหยียนอึ้งงันไป
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่ดีใจจนไม่ได้สังเกตถึงการมีตัวตนอยู่ของสิ่งอื่นเลย ในตอนนี้นางสังเกตเห็นว่าใกล้ ๆ ตัวพี่สาวของนางมีสาวน้อยที่อายุพอ ๆ กับนางและเสือตัวสีแดงยืนอยู่
เมื่อได้ยินว่าเสือตัวนั้นเป็นอสูรมายาที่ฉินอวี้โม่นำมามอบให้ นางก็ตื่นเต้นและซาบซึ้งมาก ไม่เคยมีใครดีกับนางถึงเพียงนี้มาก่อน
นางรีบเข้าไปทำพันธสัญญากับเสืออัคคีโดยไม่เสียเวลากล่าวสิ่งใด
หลังจากที่การทำพันธสัญญาเสร็จสิ้นลง เสี่ยวเหยียนก็สัมผัสได้ถึงพลังอันเปี่ยมล้นราวกับกำลังจะทะลักทลายออกมาของตัวเอง
เดิมทีนางเป็นเพียงจอมยุทธ์นภมายา ทว่าตอนนี้กลับก้าวกระโดดขึ้นมาหลายระดับจนกลายเป็นจอมยุทธ์ทูตสวรรค์แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงทูตสวรรค์ที่ถือว่าไม่ได้โดดเด่นอะไรนักในดินแดนนี้ แต่กระนั้นเสี่ยวเหยียนก็ยังตื่นเต้นกับความก้าวหน้าที่เหมือนกับความฝันนี้อย่างมาก
และยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังของเสืออัคคี นางก็ยิ่งประหลาดใจจนแทบหุบปากที่อ้าค้างไม่ลง หัวใจของสาวน้อยเต้นระรัวจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
เสี่ยวเหยียนหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแน่วแน่ราวกับว่าตัดสินใจบางอย่างได้
ต่อไปนี้นางตั้งใจจะทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ก้าวหน้าโดยเร็ว ภายภาคหน้าหากฉินอวี้โม่ต้องการความช่วยเหลือ นางจะขอบุกน้ำลุยไฟเพื่อไปช่วยพี่สาวคนนี้อย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าพอเห็นความก้าวหน้าของเสี่ยวเหยียน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ตอนนี้เจ้าก็มีพลังพอจะป้องกันตัวแล้ว แต่ต่อไปเจ้ายังต้องฝึกอีกมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวเตือนเสี่ยวเหยียนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
เสี่ยวเหยียนพยักหน้าตอบอย่างหนักแน่น
“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ วันนี้ข้าต้องขอขอบคุณท่านจริง ๆ ที่เข้ามาช่วยหมู่บ้านของเราจากวิกฤต หากไม่ได้ท่านจอมยุทธ์ แม้แต่ตัวข้าเองก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้”
หลัวซิงพาชาวบ้านเข้ามาเพื่อกล่าวขอบคุณฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อม แววตาของชาวบ้านแต่ละคนเต็มไปด้วยความเลื่อมใสระคนซาบซึ้ง
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะยังเป็นสตรีที่อยู่ในวัยเยาว์ แต่ในดินแดนนี้ผู้ที่แข็งแกร่งล้วนเป็นที่เคารพยำเกรง อีกทั้งนางยังได้ช่วยหมู่บ้านจากวิกฤต เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะนอบน้อมกับนาง
“ทุกท่านให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ที่นี่คือบ้านของเสี่ยวเหยียนซึ่งก็เหมือนบ้านของข้า ไหนเลยข้าจะนิ่งดูดายได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับชาวบ้านด้วยรอยยิ้ม
หลัวซิงพยักหน้าพลางกล่าว “ได้ยินว่าท่านจอมยุทธ์อวี้โม่จะพาเสี่ยวเหยียนไปท่องโลกกว้างซึ่งก็ไม่ทราบว่าเมื่อใดจะได้พบกันอีก หากไม่รังเกียจโปรดอยู่ร่วมงานเลี้ยงขอบคุณของพวกเราเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิง ฉินอวี้โม่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ นางพยักหน้ารับอย่างนุ่มนวล
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาเพราะข้าเองก็มีบางอย่างอยากจะมอบให้พวกท่าน ยิ่งกว่านั้นข้าอยากจะขอท่านหัวหน้าหมู่บ้านสักเรื่องหนึ่ง”
ก่อนที่จะกลับมา ฉินอวี้โม่ได้ขอให้อสูรพลับพลึงแดงสยบอสูรมายาเพื่อนำมามอบให้ทุกคนเอาไว้ป้องกันตัว ที่นี่คือบ้านของเสี่ยวเหยียน ก่อนจะไปนางเองก็อยากจะทำประโยชน์ให้กับหมู่บ้านแห่งนี้สักครั้ง
“ต่อไปโปรดอย่าเรียกข้าว่าท่านจอมยุทธ์ เรียกข้าว่าอวี้โม่เฉย ๆ ก็พอ”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกไปด้วยรอยยิ้มกว้าง การถูกเรียกด้วยคำนั้นนางไม่ใคร่จะชินเท่าไหร่นัก
เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่พูด หลัวซิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง ตอนนี้ทัศนคติที่พวกเขามีต่อจอมยุทธ์หญิงผู้นี้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ทุกคนเดินตรงไปหน้าลานหน้าบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อร่วมงานเลี้ยง
หลัวซิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รีบจัดการทำแผลของตัวเอง ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้บาดเจ็บต่างก็ช่วยกันเตรียมสุราอาหารมื้อพิเศษเพื่อเลี้ยงแขกคนสำคัญ
ทุก ๆ บ้านต่างก็นำอาหารที่ดีที่สุดมาคนละจาน พวกเขาต้องการให้ฉินอวี้โม่ประทับใจในหมู่บ้านแห่งนี้และหวังว่าสักวันจะได้มาพบกันอีก
ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงรับน้ำใจของทุกคนไว้ด้วยรอยยิ้มโดยไม่คิดปฏิเสธ
คนในหมู่บ้านจันทราล้วนเป็นคนเรียบง่ายจริงใจ ทุกคนในหมู่บ้านต่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้ฉินอวี้โม่เกิดความประทับใจยากจะลืมเลือน
ในระหว่างงานเลี้ยง ฉินอวี้โม่ได้มอบอสูรมายาที่เตรียมมาให้กับหลัวซิงและชาวบ้านคนอื่น ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันหมู่บ้านจากภัยร้าย
เดิมทีตอนแรกพวกเขาก็ปฏิเสธไม่กล้ารับน้ำใจนี้ไว้ แต่ฉินอวี้โม่ก็ยืนกรานอย่างหนักแน่น ไม่ต้องบอกก็ทราบว่าหลัวซิงและชาวบ้านต่างก็ซาบซึ้งจนกล่าวขอบคุณนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกที่มีต่อฉินอวี้โม่ของชาวบ้านจันทรายากจะพรรณาออกมาเป็นคำพูดได้
.