“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ตอนนี้เจ้าตกอยู่ในมือพวกเราแล้ว”
จูฉียิ้มเย็นชาพลางจ้องมองฉินอวี้โม่ วาจาของเขาเต็มแฝงไปด้วยความเย้ยหยันอยู่เต็มเปี่ยม
ก่อนหน้านี้ที่ป่าแห่งหนึ่ง เขาถูกฉินอวี้โม่ทำให้หวาดกลัวจนต้องยอมเสียหน้าล่าถอยไป ทว่าเขาไม่ได้ถอยกลับจริงอย่างที่อีกฝ่ายคาด แต่กลับเลือกหาข้อมูลของนางแทน
ทันทีที่รู้ว่าฉินอวี้โม่เกี่ยวข้องกับหมู่บ้านจันทรา จูฉีก็รีบเดินทางไปที่หุบเขาหงส์ร่วงเพื่อขอกำลังสนับสนุน
ด้วยสถานะที่เป็นถึงบุตรชายแห่งผู้นำขุมกำลังใหญ่ทำให้ลั่วเยาเซียนยอมร่วมมืออย่างไม่ยากเย็น
แม้จะยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำที่น่าละอาย แต่จูฉีก็ยินดีที่จะทำ ตั้งแต่เกิดมาคุณชายอย่างเขาไม่เคยถูกผู้ใดหยามเกียรติมาก่อน การถูกฉินอวี้โม่ลูบคมทำให้เขาโกรธจนยอมทำได้ทุกวิถีทาง
“จูฉี ขุมกำลังพญายมของเจ้าชอบการกระทำที่ต่ำช้าเช่นนี้นักรึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่เกรงกลัว
เพียงแค่จูฉีกับหุบเขาหงส์ร่วงยังไม่น่าเกรงขามพอจะทำให้นางรู้สึกกลัว แม้อีกฝ่ายจะมียอดฝีมือระดับจ้าวพิภพสามคน รวมถึงระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์นับร้อย กระนั้นฉินอวี้โม่ก็ยังไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
“ก่อนหน้านี้ บิดาของเจ้านำทัพไปโจมตีโอบล้อมขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬอย่างน่าละอาย ไม่คิดเลยว่าพฤติกรรมของเจ้าก็ไม่ต่างไปจากเขา”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จูฉีก็เกิดความรู้สึกอับอาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีจนต้องรีบกัดฟันกล่าวขึ้น “เลิกพูดจาเหลวไหล เจ้าเป็นคนแยกชิงอสูรของข้าไป เท่านั้นยังไม่พอ เจ้ายังลบหลู่ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้เจ้าจะต้องชดใช้ !”
คำพูดของจูฉีแฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งการสังหารเต็มเปี่ยม
ฉินอวี้โม่คือผู้ที่มีพรสวรรค์อันน่าตกใจ ความแข็งแกร่งของนางทำให้จูฉีรู้สึกหวาดกลัวจากส่วนลึกของจิตใจ
การประมือกันก่อนหน้านี้ นางมีฝีมือเหนือกว่าจูฉีมาก หากปล่อยให้เวลาผ่านไป อีกไม่นานฉินอวี้โม่คงมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบรุ่นเยาว์แน่
และหากถึงตอนนั้น อันดับของจูฉีก็จะตกลงไปหนึ่งอันดับ
การที่เขาอยู่ในอันดับที่สี่ทำให้จูฉีรู้สึกกดดันและไม่สบายใจนัก ถ้าเขายังปล่อยให้อันดับของตัวเองลดลงไปจนหลุดอันดับหนึ่งในห้า ผู้อื่นก็จะไม่เห็นเขาเป็นรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ระดับแนวหน้าอีกต่อไป อีกทั้งบิดาของเขาก็ยังจะต้องเสียหน้าด้วย
ยิ่งกว่านั้น อสูรพฤกษาพลับพลึงแดงเป็นอสูรที่เขาสนใจและอยากจะได้มาครอบครองอย่างมาก
โดยธรรมชาติแล้วอสูรที่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยวิธีการพิเศษเช่นนี้จะมีพรสวรรค์เหนือกว่าอสูรทั่ว ๆ ไป ถ้าเขาได้อสูรเช่นนั้นมาครอบครอง โอกาสที่จะขึ้นไปแย่งชิงอันดับหนึ่งก็ถือว่าเปิดกว้าง
“ฮ่า ๆ ๆ อย่างเจ้าน่ะหรือ คู่ควรจะทำให้ข้าต้องชดใช้ ?”
ฉิอนวี้โม่ยิ้มเย้ย จูฉีผู้นี้พูดจาโอหังยิ่งนัก นางไม่เชื่อว่าคนอย่างเขาจะมีน้ำยาพอจะทำให้นางชดใช้ได้
“เป็นสตรีที่สามหาวนัก!”
ลั่วเยาเซียนที่เงียบมานานโพล่งวาจาออกมา
ก่อนที่เขาจะกล่าวต่ออีกว่า “นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นคนที่โอหังอย่างเจ้า แม้แต่สตรีที่มีชื่อติดทำเนียบรุ่นเยาว์ยังไม่หยิ่งผยองเท่าเจ้าเลย”
เขาต้องรับว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ยโสโอหังมากอย่างเหนือความคาดหมาย
อีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงสาวที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ ตัวเขาเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตจ้าวพิภพ ความแข็งแกร่งของเขาที่เป็นถึงผู้นำขุมกำลังไม่มีผู้ใดสามารถมองข้ามได้
ตอนนี้เขามีรายชื่ออยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบสองของทำเนียบพิภพซึ่งถือว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาก
เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา พวกรุ่นเยาว์ไม่ควรกล้าแม้แต่จะสบตาด้วยซ้ำ
“ฮ่า ๆ ๆ นี่ไม่เรียกว่าความโอหัง แต่มันคือความมั่นใจ คนอย่างเจ้าคงไม่เข้าใจหรอก”
ฉินอวี้โม่ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่ทุกข์ร้อน นางเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็อยากจะเห็นแล้วว่าเจ้าจะมีฝีมือมากเพียงใด”
เมื่อลั่วเยาเซียนได้ยินคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่ เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก ร่างของเขาหายไปพลันพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่ที่อยู่ด้านบน
“ฮ่า ๆ ๆ แค่จัดการกับเจ้า ให้อสูรมายาของข้าลงมือก็พอแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ในพริบตาหลิวหยา มังกรอัสนีของนางก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย
“หลิวหยา ทำให้กระเทยผู้นี้เข้าใจทีว่าการมายุ่งกับสหายของข้าจะต้องชดใช้อย่างไร”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับอสูรในสังกัดด้วยภาษาของยุคใหม่
“นายหญิง ข้าเข้าใจ เดี๋ยวข้าจะทำให้เขารู้เองว่ายมโลกมีลักษณะเป็นเช่นไร”
หลิวหยาพยักหน้าพลันพุ่งเข้าปะทะกับลั่วเยาเซียนทันที
“อสูรระดับจ้าวพิภพ!”
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังของมังกรอัสนี ลั่วเยาเซียนก็ชะงักงัน
“เจ้าคงจะเป็นมนุษย์กระเทยที่เจ้านายข้าเคยพูดให้ฟังสินะ”
หลิวหยาชำเลืองมองลั่วเยาเซียนพร้อมกล่าววาจาเย้ยหยัน
เมื่อได้ยินคำพูดของอสูรตรงหน้า ลั่วเยาเซียนก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน เขาไม่รู้ว่า ‘กระเทย’ ที่เจ้ามังกรพูดถึงนั้นคือสิ่งใด
“มันก็คือมนุษย์ที่ไม่ใช่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง…”
หลิวหยากล่าวต่อหนึ่งประโยค แต่คำอธิบายของมันถือว่าเหยียดหยามอีกฝ่ายมาก
“เจ้าหาที่ตายแล้ว!”
ได้ยินคำอธิบายเช่นนี้ก็ทำให้ลั่วเยาเซียนมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ร่างของเขาทะยานเข้าหาหลิวหยาเพื่อจู่โจมทันที
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เรียกอสูรมายาระดับจักรพรรดิของตัวเองออกมาเพื่อเข้าโจมตีมังกรอัสนีพร้อม ๆ กัน
หลิวหยาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ถึงจะถูกลั่วเยาเซียนและอสูรระดับจักรพรรดิรุมจู่โจมก็ตาม
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดหรือว่าจะรับมือพวกเราทั้งหมดได้ ?”
จูฉียังคงยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าววาจาโอหังเพราะเขาคิดว่าฝ่ายตนมีคนมากกว่า อีกทั้งพลังก็เหนือชั้นกว่า
“เรื่องนั้น ไม่ลองก็ไม่มีทางรู้”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาพลันขยับฝ่ามือครั้งหนึ่ง ในพริบตาอสูรมายาทั้งหมดของนางก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกาย
มารยา หานอวี้ เสี่ยวม่าน เสี่ยวเยี่ย เสี่ยวจิ่ว ม่อเสีย เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน หงส์แดง อาไป๋ เพลิง และอสูรตัวอื่น ๆ ยืนอยู่ข้างกายสตรีผู้เป็นนายอย่างองอาจน่าเกรงขาม
“วันนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าเล่นสนุกได้เต็มที่ สั่งสอนบทเรียนอันไม่รู้ลืมให้คนพวกนี้ซะ !”
ฉินอวี้โม่สั่งการอสูรทั้งหมด ที่ผ่านมานางยังไม่เคยเรียกอสูรทั้งหมดออกมาอย่างเช่นวันนี้มาก่อน ครั้งนี้นางต้องการทำให้คนของหุบเขาหงส์ร่วงรู้ซึ้งถึงความน่ากลัว จะได้ไม่กล้ายุ่งกับชาวบ้านจันทราอีก
“รับทราบ นายหญิง!”
อสูรทุกตนตอบด้วยความเริงร่า ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่ได้ออกมาเล่นสนุกอย่างนี้มานานแล้ว พวกมันรู้สึกคันไม้คันมือจนแทบจะทนไม่ไหว ในเมื่อวันนี้มีโอกาสได้สู้อย่างเต็มที่ก็ขอทำให้หนำใจเสียหน่อย
ทุกตนเปลี่ยนร่างเป็นอสูรพลันพุ่งตรงไปโจมตีคนในหุบเขาหงส์ร่วงทันที
ในชั่วอึดใจ อสรพิษเก้าเศียรขนาดใหญ่ยักษ์ หมีดำอันเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง และหงส์แดงผู้ร้อนแรงก็ทำให้สนามรบตกอยู่ในความโกลาหล
“โอ้ สวรรค์ ! น่ากลัวเกินไปแล้ว เหตุใดนางถึงมีอสูรมายามากเพียงนี้”
เมื่อเห็นอสูรจำนวนมากที่ฉินอวี้โม่เรียกออกมา ความหวาดกลัวก็เขียนอยู่บนสีหน้าของทุกคนในหุบหงส์ร่วงทันที
พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยว่าในโลกนี้จะมีคนที่มีอสูรมายามากมายถึงเพียงนี้อยู่ด้วย
“ครอบครองอสูรมายามากขนาดนี้ ระดับก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย พลังจิตวิญญาณของคนผู้นี้คงจะมากจนน่ากลัว!”
คนผู้หนึ่งอดอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนกไม่ได้
อสูรมายาที่ฉินอวี้โม่เรียกออกมาส่วนมากอยู่ในระดับจักรพรรดิและยังมีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในระดับจ้าวพิภพ
อันที่จริงเพียงมีอสูรมายามากมายปรากฏตัวในร่างมนุษย์ก็เพียงพอจะข่มขวัญทุกคนในสนามรบให้หวาดกลัวได้แล้ว
“นายหญิง วันนี้ข้าจะให้ท่านได้ชมข่ายอาคมอันยอดเยี่ยมของข้า มันมีไว้ใช้ในสงครามหมู่มาก”
มารยากล่าวด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิ
ร่างของอสูรสาวหายไปก่อนจะปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชน
มือของนางขยับอย่างรวดเร็วเพื่อผสานพลัง พริบตาข่ายอาคมขนาดใหญ่ก็ถูกวางเรียบร้อย
ความกะทันหันทำให้คนของหุบเขาหงส์ร่วงตอบสนองได้ไม่ทัน ในตอนนี้คนในสนามรบต่างก็ตกอยู่ในสภาพมึนงงจากผลของข่ายอาคม
ผู้ที่มีพลังไม่มากพอมิอาจต้านทานผลของข่ายอาคมได้เลย ในชั่วอึดใจคนกว่าหนึ่งในสี่ของศัตรูก็หมดสภาพต่อสู้ไป ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเบิกตากว้าง
ข่ายอาคมเป็นอะไรที่ทรงพลังมากเหนือจินตนาการ ดูเหมือนว่านางเองก็ควรหมั่นเรียนรู้ทักษะด้านนี้
“นายหญิง แม้อสูรพฤกษาอย่างข้าจะไม่ถนัดในด้านการต่อสู้ แต่ขอรับประกันว่าทักษะควบคุมของข้าก็จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
เสี่ยวม่านเองก็เผยรอยยิ้มออกมา พริบตาขลุ่ยคู่ใจก็ปรากฏในมือ
ตอนนี้อสูรใหญ่น้อยจำนวนมากที่ฝ่ายศัตรูเรียกออกมากำลังจะเข้าโจมตีฉินอวี้โม่แล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่อสูรพลับพลึงแดงเริ่มเป่าขลุ่ยหยกในมือ บรรเลงท่วงทำนองแห่งมนตรา
ผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจที่เสียงแห่งท่วงทำนองมนตราถูกบรรเลง ฉินอวี้โม่ก็พบว่าอสูรมายามากมายที่อีกฝ่ายเรียกออกมาต่างหันหลังกลับ และตรงเข้าเล่นงานเจ้านายของตัวเอง
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น เหตุใดข้าถึงปวดศีรษะเช่นนี้!”
“บ้าชัด ๆ อสูรมายาของข้ากำลังตรงเข้ามาเล่นงานข้า!”
ในตอนนี้สนามรบเต็มไปด้วยคนของหุบเขาหงส์ร่วงที่ตื่นตระหนก จิตใจที่พร้อมสู้แทบไม่หลงเหลือ
“เรียกอสูรมายาของพวกเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้! อสูรพฤกษาของฉินอวี้โม่มีพลังในการควบคุม เป็นเพราะได้ยินเสียงขลุ่ยนั่นพวกมันถึงเข้าโจมตีพวกเจ้า!”
จูฉีตะโกนบอกทุกคน เขาจดจำพลังของอสูรพลับพลึงแดงได้ดี
เมื่อได้ยินคำสั่งของจูฉี ทุกคนก็ไม่กล้าลังเล พวกเขารีบเรียกอสูรมายากลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรทันที
แต่การที่ไม่มีพลังของอสูรมายาคอยช่วยก็ทำให้กำลังรบของฝ่ายหุบเขาหงส์ร่วงลดลงไปกว่าครึ่งเลยดีเดียว
ด้วยพลังที่น่าหวาดกลัวของอสูรมายาของฉินอวี้โม่ ในเวลาไม่นานพวกเขาก็ตกเป็นรองอย่างสมบูรณ์
“ฉินอวี้โม่ ข้าจะจัดการกับเจ้าเอง!”
จูฉีทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขากล่าววาจาเย็นชาก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีฉินอวี้โม่ทันที ขณะที่ยอดฝีมือระดับจ้าวพิภพอีกคน เมื่อได้รับสัญญาณจากจูฉีก็พุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่เช่นกัน
ต่อหน้ายอดฝีมือระดับจ้าวพิภพถึงสองคน ฉินอวี้โม่ไม่กล้าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว
“เสี่ยวอวี้ เสี่ยวเฮย อสูรเสริมร่าง!”
ฉินอวี้โม่สั่งการให้หานอวี้และเสี่ยวเฮยใช้ทักษะอสูรเสริมร่างเพื่อเสริมพลังป้องกันให้ตัวเอง
เสี่ยวเฮยเปลี่ยนร่างเป็นรองเท้าคู่หนึ่งก่อนจะปรากฏที่เท้าของฉินอวี้โม่ทำให้นายหญิงของมันเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนหานอวี้เปลี่ยนร่างเป็นเกราะเพื่อปกป้องมารดาของตนเอง
“มารยา เสี่ยวม่าน คอยช่วยอสูรตัวอื่น ๆ ควบคุมสนามรบเอาไว้”
ขอเพียงมีมารยากับเสี่ยวม่านอยู่ ฉินอวี้โม่ก็วางใจ ในการทำสงครามกับคนจำนวนมากเช่นนี้ ทักษะของอสูรสาวทั้งสองมีความสำคัญมาก หากขาดทั้งคู่ไป ศึกนี้ฉินอวี้โม่คงไม่มีโอกาสชนะ
“เรื่องนี้นายหญิงปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกเรา”
มารยาและเสี่ยวม่านพยักหน้า ก่อนจะเพ่งสมาธิทั้งหมดเพื่อคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่ให้ใครเข้าไปทำอันตรายนายหญิงของพวกมันได้
“เสี่ยวม่าน ครั้งนี้พวกเราต้องทุ่มพลังทั้งหมด ทำให้พวกมันรู้ถึงพลังของเรา ให้พวกมันไม่กล้าคิดว่าเพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแออีกต่อไป”
มารยาหันไปกล่าวกับอสูรพลับพลึงแดงด้วยรอยยิ้ม
“ได้ ต้องทำให้พวกมันรู้ว่าหากมีเรื่องกับนายหญิงของเราจะได้รับผลเช่นไร!”
เสี่ยวม่านพยักหน้าเห็นด้วยกับอสูรสาวแห่งป่าเหมันต์
ร่างของทุกคู่หายไปก่อนจะปรากฏตัวท่ามกล่างฝูงชน อสูรสาวทั้งสองไร้ซึ่งความกลัว ความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมฉายชัดบนใบหน้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็หมดห่วง นางหันมาเพ่งสมาธิกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าซึ่งก็คือจูฉีกับยอดฝีมือระดับจ้าวพิภพของหุบเขาหงส์ร่วง
ความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสองมิใช่น้อย ๆ อีกทั้งประสบการณ์ในการต่อสู้ก็ไม่ธรรมดา หากตอนนี้มีซิวอยู่ด้วยคงเอาชนะได้อย่างง่ายดาย แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเทพอสูรอยู่ นางจึงต้องพึ่งพาพลังของตัวเอง
นี่เป็นการต่อสู้ที่นางรู้สึกถึงแรงกดดันไม่น้อย อย่างไรก็ตาม อดีตมือสังหารอย่างนางก็มีความกล้าพอจะเผชิญกับทุกสถานการณ์
นางเองก็อยากจะเห็นว่าเมื่อต้องเชผิญหน้ากับยอดฝีมือระดับนี้พร้อมกันถึงสองคน นางจะสู้ได้มากน้อยเพียงใด
.