“ฮ่า ๆ ๆ เดิมทีข้าอยากจะประลองกับเจ้าเพื่อขอคำชี้แนะ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เราคงต้องสู้เคียงข้างกันเสียแล้ว”
ลั่วเสวี่ยเหินหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม
เขาคิดว่าวันนี้คงได้ประชันยุทธ์กับฉินอวี้โม่สมใจปรารถนา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าลั่วเยาเซียนผู้นี้จะสอดมือเข้ามายุ่งและทำให้ทุกอย่างพังทลายลง
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้เคียงข้างฉินอวี้โม่ เขาเองก็ข้องใจมานานแล้วว่าระหว่างเขากับลั่วเยาเซียน ผู้ใดมีฝีมือเหนือกว่ากันแน่
“คุณชายจู มาถึงขั้นนี้ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเก็บซ่อนไพ่ตายอีกแล้ว วันนี้เราจะปล่อยให้ฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินรอดไปไม่ได้”
เหตุผลที่ลั่วเยาเซียนมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ก็เป็นเพราะเขารู้ดีว่าจูฉีมีไพ่ตายอยู่
เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของบรรดาทายาทของขุมกำลังใหญ่ ในยามที่ปล่อยให้ลูกหลานของตัวออกมาหาประสบการณ์ พวกเขามักจะมอบไพ่ตายไว้ใช้ป้องกันตัว จูฉีเองก็น่าจะมีไพ่ตายเช่นนั้นอยู่
ขอเพียงเขานำไพ่ตายออกมาใช้ การจะสังหารฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอีกต่อไป
จูฉีจ้องมองฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหิน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดก็พยักหน้า
“เสี่ยวม่าน ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
ฉินอวี้โม่หันไปพยักหน้าก่อนจะกล่าวกับอสูรสาวพลับพลึงแดงหนึ่งประโยค
เสี่ยวม่านพยักหน้าก่อนจะรีบเป่าขลุ่ยบรรเลงท่วงทำนองของตัวเองอีกครั้ง
“ดูนั่น !”
ทันทีที่มีเสียงอุทานดังเข้ามาในโสตประสาท ฉินอวี้โม่ก็รีบหันไปยังทิศทางที่หงส์แดงชี้และพบว่าในมือของจูฉีมีวัตถุกลม ๆ คล้ายลูกปัดปรากฏขึ้น ลูกปัดเม็ดนั้นกำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้า
“ลูกปัดวิญญาณสุริยะ!”
เมื่อเห็นของสิ่งนั้น สีหน้าของลั่วเสวี่ยเหินก็เปลี่ยนไปในทันที
ฉินอวี้โม่ทอแววตางุนงง นางไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน
“ลูกปัดวิญญาณสุริยะคืออะไร ?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นของฉินอวี้โม่ ลั่วเสวี่ยเหินก็ประหลาดใจมาก
นี่แม่นางผู้นี้ไม่รู้จักแม้กระทั่งลูกปัดวิญญาณสุริยะ เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ ?
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ถามอะไรให้มากความก่อนจะกล่าวอธิบายด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
เมื่อใดก็ตามที่ยอดฝีมือมีพลังถึงระดับจ้าวสุริยะ คนผู้นั้นก็จะสามารถหลอมลูกปัดวิญญาณสุริยะขึ้นมาได้ ภายในลูกปัดวิญญาณสุริยะจะอัดแน่นไปด้วยพลังกว่าครึ่งหนึ่งของผู้หลอม การใช้ลูกปัดจะเป็นการอัญเชิญร่างจิตของเจ้าของลูกปัดให้มาปรากฏตัว
แม้ว่าจะมีพลังเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพลังทั้งหมดของผู้หลอม แต่ลูกปัดวิญญาณสุริยะก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมองข้ามได้ เพราะพลังของจอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพกับจ้าวสุริยะก็แตกต่างกันมากอยู่แล้ว พลังครึ่งหนึ่งของยอดฝีมือระดับจ้าวสุริยะไม่ใช่อะไรที่จอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพจะรับมือได้เลย
หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของลั่วเสวี่ยเหิน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าเบา ๆ และไม่ถามอะไรอีก แววตาของนางปรากฏความประหลาดใจขึ้นอยู่หลายส่วน เกรงว่าวันนี้คงเจอศึกหนักเสียแล้ว
“เหอะ ฉินอวี้โม่ ลั่วเสวี่ยเหิน พวกเจ้ากล้าลบหลู่ข้าผู้นี้ วันนี้ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นถึงความห่างชั้นระหว่างเรา !”
จูฉีกล่าววาจาเสียงดัง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ลูกปัดวิญญาณสุริยะคือสิ่งที่บิดาของเขา จูอวิ๋นชางเป็นผู้มอบให้ก่อนที่เขาจะออกมาหาประสบการณ์ และกำชับไว้ว่าให้เก็บไว้ใช้เฉพาะยามที่วิกฤตจริง ๆ เท่านั้น
จูฉีไม่เคยคิดจะใช้ของสิ่งนี้เลย ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้บีบบังคับให้เขาต้องนำมันออกมา ขอเพียงสังหารฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินได้ แม้จะต้องเสียสมบัติล้ำค่าไปแค่ไหนเขาก็ยอม
“ลูกปัดวิญญาณสุริยะอย่างนั้นหรือ ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าพลังของจ้าวสุริยะจะน่ากลัวเพียงใด”
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย แต่คนอย่างนางไม่เคยกลัวสิ่งใดอยู่แล้ว
น่าเสียดายที่ตอนนี้ทั้งหานอวี้และซิวไม่สามารถออกมาช่วยสู้ได้ วันนี้นางมีแต่ต้องพึ่งพาพลังของตัวเองเท่านั้น
“ถูกต้อง ก็แค่ลูกปัดวิญญาณสุริยะ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องกลัว”
เมื่อได้ยินคำพูดของจอมยุทธ์หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ลั่วเสวี่ยเหินก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ
แม้ว่าตัวเขาเองจะยังไม่เคยเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัวคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูงกว่า
ลั่วเสวี่ยเหินผู้นี้มีส่วนคล้ายกับหลินซิวหยาที่ฉินอวี้โม่รู้จักอยู่ไม่น้อย สำหรับคนอย่างเขา เรื่องความตายไม่ใช่เรื่องใหญ่
“หึ ๆ ๆ พวกเจ้าทั้งคู่โอหังไม่เบานี่ !”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงที่ฟังดูแล้วให้ความให้รู้สึกทรงพลังและน่าเกรงขามดังขึ้น จากนั้นฉินอวี้โม่ก็เห็นเงาของชายวัยกลางคนค่อย ๆ ปรากฏตรงหน้าจูฉี
“ผู้นำขุมกำลังพญายม — จูอวิ๋นชาง!”
ทันทีที่เห็นอีกฝ่าย ลั่วเสวี่ยเหินก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียดพร้อมกับกำอาวุธในมือแน่น
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงจากร่างของชายวัยกลางคนผู้นั้น พลังของอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อนางอย่างแรงกล้า ในตอนนี้อดีตนักฆ่าสาวกำกระบี่ปีกจักจั่นในมือแน่นขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
“ใครที่กล้ารังแกบุตรชายข้าจะต้องชดใช้ วันนี้พวกเจ้าทั้งสองจะต้องตาย!”
จูอวิ๋นชางไม่ถามสักคำว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาหันไปทางฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินพลางตวาดเสียงดังลั่น
“สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นถึงผู้นำขุมกำลัง แค่จะจัดการคนตัวน้อย ๆ อย่างเราถึงขั้นออกโรงเองเลยหรือเนี่ย”
ถึงขั้นนี้แล้วฉินอวี้โม่ก็ยังกล้ากล่าววาจาเย้ยหยันศัตรู ดูเหมือนนางจะไม่เคยรู้จักคำว่ากลัวเลยจริง ๆ
“ท่านจอมยุทธ์จูคงจะชอบการข่มเหงผู้ที่ด้อยกว่ากระมัง เพราะข้าได้ยินว่าตอนประมือกับผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬที่ฝีมือสูงกว่า ท่านจอมยุทธ์จูถึงขั้นหนีหางจุกก้นเลยนี่”
ลั่วเสวี่ยเหินเองก็กล่าววาจาเย้ยอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่ยี่ยวนไม่แพ้กัน
เกี่ยวกับเรื่องสงครามครานั้นระหว่างพญายมกับกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็รู้กันดี
ในตอนนั้น ผู้นำของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬสามารถรับมือกับผู้นำของอีกสามขุมกำลังได้ด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งยังดูเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าอีกด้วย หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้กลุ่มเสื้อคลุมทมิฬกลายเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนอ้างว้าง
ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกชื่นชมผู้นำของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ เขาถือเป็นต้นแบบของเหล่าจอมยุทธ์หน้าใหม่ ลั่วเสวี่ยเหินเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เลื่อมใสเขามาก
หากมีโอกาสได้พบกับผู้นำของเสื้อคลุมทมิฬสักครา ลั่วเสวี่ยเหินคงรู้สึกว่าตนเองเกิดมามีวาสนาไม่น้อย
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหญิงตรงหน้าพูด สีหน้าของจูอวิ๋นชางก็เปลี่ยนไปในทันที
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีทางปฏิเสธความจริงในเรื่องนี้ได้
ตัวเขายอมรับว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬอันลึกลับ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นั้น เขาไม่มีพลังพอจะต่อต้านได้เลย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกอับอายมาโดยตลอด นี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่เขาไม่อยากจะได้ยินมากที่สุด
โดยปกติแล้วหากได้ยินใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาจะจับคนผู้นั้นมาลงโทษสถานหนัก ทุกครั้งที่ได้ยินเขาจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ทุกคนที่รู้จักเขาต่างรู้กันดีว่าการพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าจูอวิ๋นชางถือเป็นข้อห้าม การที่ลั่วเสวี่ยเหินกล้ากล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาถือเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นมาก
เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินพูด จูฉีและลั่วเยาเซียนก็แอบหัวเราะอยู่ในใจพลางคิดว่าวันนี้สองคนนั้นต้องไม่รอดแน่
เดิมทีจูฉีคิดว่าคงจะต้องเกลี่ยกล่อมให้บิดาของตนยอมช่วยจัดการอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วเพราะอีกฝ่ายรนหาที่ตายด้วยตัวเอง
“หาที่ตาย!”
จูอวิ๋นชางตวาดลั่น แรงกดดันอันมหาศาลพุ่งเข้าปะทะร่างของฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหิน
“เกรงว่าเจ้าคงไม่มีความสามารถนั้น!”
ฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินหันมามองหน้ากันก่อนจะปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมาพร้อมกันเพื่อต้านทานแรงกดดันของอีกฝ่าย
ครืน…
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนว่ามีบางอย่างกำลังพุ่งตรงเข้ามาใกล้หุบเขา
“นี่มันเสียงอะไรกัน ?”
มันเป็นเสียงที่ดังมาก ในตอนนี้ทุกคนต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน หลายคนหันมองซ้ายมองขวาด้วยแววตาสับสนงุนงง
“ฟังดูคล้ายจะเป็นเสียงฝีเท้าของอสูรมายา แต่เหตุใดถึงได้มีจำนวนมากเช่นนั้นกัน ?”
บุรุษผู้หนึ่งโพล่งวาจาออกมาด้วยความประหลาดใจ
“หรือว่าจะมีฝูงอสูรมายาที่บ้าคลั่งกำลังมุ่งมาทางพวกเรา?”
ในตอนนี้นอกเหนือจากเสียงฝีเท้า ทุกคนเริ่มได้ยินเสียงร้องคำรามอันบ้าคลั่งแล้ว หลายคนได้ยินดังนั้นก็ขนหัวลุกขึ้นมาทันที
“อย่าพูดจาเหลวไหล เรื่องนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
ชายคนหนึ่งโต้แย้งคำพูดของคนผู้นั้น
ต้องทราบก่อนว่าบริเวณโดยรอบหุบเขาหงส์ร่วงไม่มีถิ่นที่อยู่อาศัยของอสูรมายา เช่นนั้นแล้วมันจะไปมีฝูงอสูรบ้าคลั่งได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้จริง ๆ
“ไม่ผิดแน่ ไม่ว่าใครฟังก็รู้ว่าเป็นเสียงคำรามของอสูรมายา เจ้าหูหนวกรึไง?”
บุรุษผู้นั้นตวาดใส่สหายของตนเพราะเขามั่นใจมาก ในตอนนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นอสูรพลับพลึงแดงที่กำลังบรรเลงขลุ่ยอยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่
“นั่นมัน อสูรพฤกษา!”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด อสูรพฤกษาบางประเภทมีพลังในการควบคุมอันแข็งแกร่งอย่างยากจะหยั่งถึงได้ การจะควบคุมอสูรมายาจำนวนมากไม่ใช่ปัญหาเลย
ก่อนหน้านี้อสูรพฤกษาตนนี้ก็จัดการกับอสูรมายาของพวกเขาทั้งหมดมาแล้ว ฉะนั้นการจะควบคุมอสูรจากภายนอกจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เสียงที่พวกเขาได้ยินคงจะเป็นเสียงของฝูงอสูรที่บ้าคลั่งอย่างแน่นอน
“แย่แล้ว พวกเราต้องรีบหนี อสูรมากมายนับไม่ถ้วนกำลังบุกเข้ามาที่หุบเขา ถ้าหนีไม่ทันพวกเราจะถูกพวกมันปิดล้อม!”
เสียงที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวดังมาให้ทุกคนได้ยิน
คนผู้นี้คือผู้ที่ถูกสั่งให้เฝ้ายามอยู่ภายนอกหุบเขา แม้ก่อนหน้านี้จะสงสัยมากว่าในหุบเขาเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่ก็ไม่กล้าละทิ้งหน้าที่เพื่อมาดู ทว่าเมื่อครู่เขาสังเกตเห็นอสูรมายาจำนวนมหาศาลกำลังตรงเข้ามา เขาจึงรีบมาแจ้งข่าว
เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับจักรพรรดิทูตสวรรค์เท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าแข็งแกร่งอะไรมาก เมื่อเห็นอสูรมายาจำนวนมาก สิ่งแรกที่เขาคิดจะทำก็คือหนีกลับมาแจ้งให้ทุกคนทราบ
“บัดซบ !”
สีหน้าของลั่วเยาเซียนเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ถ้าอสูรมายาฝูงใหญ่ตรงเข้ามาจู่โจมหุบเขาหงส์ร่วงพร้อม ๆ กันทุกทิศทาง ต่อให้ขุมกำลังของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยากจะต้านทานได้โดยไม่เสียหายหนัก
แม้ว่าที่นี่จะมีจูอวิ๋นซานอยู่ด้วย ทว่าเขาก็มีพลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ต่อให้เขาสามารถสู้กับอสูรมายาจำนวนมากได้แต่กว่าจะกวาดล้างพวกมันได้หมด พลังของเขาคงเหือดแห้งไปก่อนแน่
“ฮ่า ๆ ๆ ทีนี้พวกเจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่า การมารังแกนายหญิงของข้าจะได้รับผลเช่นไร !”
อสูรพลับพลึงแดงกล่าวอย่างเย็นชา ทว่าในตอนนี้ใบหน้าของอสูรสาวซีดเป็นอย่างมาก
เมื่อรับรู้ได้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ในตอนนี้ มันจึงทุ่มพลังทั้งหมดควบคุมอสูรมายาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่สนใจว่าพลังของตัวเองจะหมดลงหรือจะใช้เกินขีดจำกัด
มันจะทำให้ผู้ที่กล้ามารังแกนายหญิงของมันรู้ว่า เจ้านายของอสูรพฤกษาที่หายากอย่างมันไม่ใช่ผู้ที่ใครจะรังแกได้ง่าย ๆ
“อย่าตื่นตระหนก ขอแค่จัดการผู้ที่ควบคุมมันอยู่ก็พอแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสู้กับอสูรมายาพวกนั้น”
จูอวิ๋นชางผู้นี้เป็นคนที่เฉลียวฉลาดไม่น้อย แม้จะเจอกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแต่เขาก็ไม่ตระหนกตกใจเลย เขารู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร ขอเพียงสังหารอสูรพลับพลึงแดงได้ อสูรที่ถูกควบคุมอยู่ก็จะเป็นอิสระแล้วล่าถอยกลับไปเอง
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดง่ายเกินไปเสียแล้ว
เพราะในเมื่อฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินยังอยู่ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะเข้าไปสังหารอสูรพลับพลึงแดงได้โดยง่าย
“อาไป๋ หงส์แดง ม่อเสีย เพลิง อสูรเสริมร่าง !”
การเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะแม้จะมีพลังครึ่งเดียวก็ประมาทไม่ได้ ฉินอวี้โม่สั่งอสูรมายาที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองให้ใช้ทักษะอสูรเสริมร่างทันทีเพื่อเพิ่มพลังให้มากที่สุด โดยเหลือหลิวหยาและเสี่ยวจิ่วเอาไว้ควบคุมสถานการณ์
.