“พวกเจ้าไปรับมือกับกองทัพอสูร ที่นี่ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
จูอวิ๋นชางสั่งการให้ลั่วเยาเซียน จูฉี และคนอื่น ๆ ที่เหลือไปช่วยกันรับมือกับฝูงอสูรมายา
ลั่วเยาเซียนและจูฉีไม่กล้าชักช้า ทั้งคู่พยักหน้ารับก่อนจะรีบพาคนออกไปนอกหุบเขาเพื่อรับมือกับกองทัพอสูรที่กำลังจะมาถึง
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวดระวัง
แม้ว่าศัตรูจะเหลือจูอวิ๋นชางเพียงคนเดียว แต่แรงกดดันที่พวกเขาได้รับก็ไม่ลดน้อยลงไปเลย
ความแข็งแกร่งของขอบเขตจ้าวสุริยะช่างแตกต่างจากขอบเขตจ้าวพิภพมากนัก แม้ว่าจะหลงเหลือพลังอยู่เพียงครึ่งเดียวจากผลของลูกปัดวิญญาณสุริยะก็ตาม
“จอมยุทธ์จ้าวพิภพตัวน้อย ๆ อย่างพวกเจ้าน่ะรึคิดจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า!”
จูอวิ๋นชางกล่าววาจาเย็นชา ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็หายตัวไปอย่างน่าประหลาด
ปัง!
แม้จะสัมผัมได้ถึงอันตรายและยกฝ่ามือขึ้นมาตั้งรับทันที ทว่าฉินอวี้โม่ก็ยังถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางซัดจนกระเด็นออกไป นางกระอักเลือดออกมาขณะลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับใบหน้าซีดลงไปถนัดตา
“นภายุทธ์ —— หอกวายุคลั่ง!”
ลั่วเสวี่ยเหินรีบใช้นภายุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเข้าโจมตีจูอวิ๋นชางโดยไม่ลังเล
“ผนึกมนตรา!”
จูอวิ๋นชางหันกลับมามองด้วยแววตาที่ไม่จริงจังราวกับไม่เห็นการโจมตีนั้นอยู่ในสายตา ในพริบตาม่านพลังที่เต็มไปด้วยอักขระมากมายก็ปรากฏที่มือของเขา ก่อนจะใช้มันรับการโจมตีจากหอกวายุคลั่งได้อย่างไม่ยากเย็น
“นั่นคือผนึกมนตราของจอมยุทธ์จ้าวสุริยะ ต่อหน้าม่านพลังนั้น นภายุทธ์ของพวกเราถือว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง”
สีหน้าของลั่วเสวี่ยเหินเปลี่ยนไป เขารีบรั้งการโจมตีกลับมาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด หอกคู่ใจปรากฏในมือของเขาอีกครั้ง
“วิชามนตรา —— กระบี่ฉีกวิญญาณ! ”
จูอวิ๋นชางเปล่งเสียงเย็นชา กระบี่ที่โปร่งใส่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ ต่อหน้ากระบี่เล่มนี้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกระแสพลังประหลาดที่ไม่คุ้นเคย มันให้ความรู้สึกที่ว่านางไม่มีสิทธิ์จะต้านทานมันได้เลย
วิชามนตราเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับนภายุทธ์ เพียงแต่มันจะทรงพลังกว่ามาก มีเพียงจอมยุทธ์ระดับจ้าวสุริยะเท่านั้นจึงจะเข้าใจหลักการแห่งมนตราและสามารถใช้มันออกมาได้
การจะเข้าใจในหลักการแห่งมนตราไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนี้ทำให้แม้ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้จะมีจอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพอยู่นับไม่ถ้วน แต่ผู้ที่เข้าใจหลักการแล้วก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะได้นั้นมีไม่ถึงร้อยคน
ศาสตร์แห่งมนตราเป็นสิ่งที่ยากต่อการทำความเข้าใจ นอกจากต้องมีพรสวรรค์แล้ว โชควาสนาเองก็สำคัญเช่นเดียวกัน
สีหน้าของลั่วเสวี่ยเหินเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาไม่กล้าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว พลันรวบรวมพลังจากทั่วทั้งร่างเพื่อมาป้องกัน
“นภายุทธ์ —— โล่ทองคำ!”
โล่สีทองอร่ามขนาดใหญ่ปรากฏตรงหน้าลั่วเสวี่ยเหินเพื่อปกป้องเขาจากอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้
ตูม!
กระบี่ฉีกวิญญาณของจูอวิ๋นชางแทงเข้าใส่โล่ทองคำที่อยู่ตรงหน้าลั่วเสวี่ยเหินทำให้เกิดเสียงดังสนั่น
อย่างไรก็ตาม ภายในชั่วพริบตา กระบี่ฉีกวิญญาณก็ทะลวงผ่านการป้องกันของโล่ทองคำไปได้และพุ่งเข้าหาลั่วเสวี่ยเหินที่อยู่ด้านหลัง
แม้ว่าลั่วเสวี่ยเหินจะพยายามหลบหลีกอย่างเต็มกำลังแล้ว แต่ก็ยังถูกกระบี่เล่มนั้นแทงทะลุไหล่ไปในพริบตา โลหิตจำนวนมากสาดกระจายออกมา
ปัง!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ฝ่ามือของจูอวิ๋นชางก็ตรงเข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง
มันสายเกินไปแล้วสำหรับลั่วเสวี่ยเหินที่จะป้องกัน ครั้งนี้เป็นอสูรมายาของเขาที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วช่วยป้องกันเอาไว้ได้
จากนั้น ทั้งลั่วเสวี่ยเหินและอสูรคู่ใจต่างก็กระเด็นออกไปด้วยพลังของฝ่ามือนั้น จอมยุทธ์ลั่วกระอักเลือดออกมาจากปาก เขารู้สึกเหมือนกับว่าอวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก
หลิวหยารีบพุ่งเข้าไปพัวพันกับจูอวิ๋นชางเอาไว้เพื่อยื้อเวลาให้ทุกคน แต่มังกรอัสนีก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก ไม่นานมันก็ถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางเล่นงาน แม้แต่มังกรระดับสูงก็ยังถูกฝ่ามือนั้นส่งให้กระเด็นออกไป
แม้ว่าหลิวหยาจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่เจ้ามังกรก็ต้องประหลาดใจกับพลังที่เหนือชั้นของศัตรูผู้นี้
“จอมยุทธ์ลั่ว ท่านไม่เป็นอะไรนะ ?”
ฉินอวี้โม่มาปรากฏตัวข้างลั่วเสวี่ยเหินพลันกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
แม้จะถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางเล่นงาน แต่นางก็ได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก หลังจากกินโอสถฟื้นพลังเข้าไป ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็พร้อมสู้อีกครั้ง
ทว่าลั่วเสวี่ยเหินถูกฝ่ามือของผู้นำขุมกำลังพญายมซัดจนกระเด็น อีกทั้งยังถูกกระบี่ฉีกวิญญาณเล่นงานจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์ ดูแล้วอาการบาดเจ็บของเขาคงไม่ใช่น้อย ๆ แน่
“ข้าไม่เป็นอะไร”
ใบหน้าของลั่วเสวี่ยเหินซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ก่อนจะยืนขึ้นอย่างช้า ๆ
“ฉินอวี้โม่ เจ้าหนีไปก่อนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อสกัดเขาไว้ให้เอง”
ลั่วเสวี่ยเหินมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่แน่วแน่
ความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์จ้าวสุริยะเกินกว่าจินตนาการของพวกเขา ต่อหน้าคนผู้นี้พวกเขาไม่มีพลังพอจะต่อต้านได้เลย
ถ้าจะต้องมาตายอยู่ที่นี่กันทั้งคู่ สู้หนีเอาตัวรอดไปให้ได้สักคนยังจะดีเสียกว่า
“ขอบคุณจอมยุทธ์ลั่ว แต่ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าปฏิเสธ แม้ว่านางจะเพิ่งเคยพบลั่วเสวี่ยเหินเป็นครั้งแรกแต่นางก็ประทับใจในตัวเขามาก คนผู้นี้ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อปกป้องนาง เรื่องนี้ทำให้นางซาบซึ้งอย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนที่จะทิ้งสหายไว้ข้างหลังและหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ แม้ว่าจูอวิ๋นชางผู้นี้จะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกนางจะหมดโอกาสชนะเสียทีเดียว
ถ้ามีซิวและหานอวี้อยู่ช่วยนาง ฉินอวี้โม่เชื่อว่าการจะรับมือกับจูอวิ๋นชางที่มีพลังเพียงครึ่งเดียวนั้นมิใช่ปัญหาเลย
ทว่าแม้ซิวและหานอวี้จะออกมาช่วยนางไม่ได้ แต่นางก็ยังมีวิธีการของนางอยู่ ฉินอวี้โม่ไม่อยากให้ตัวเองต้องพึ่งพาพลังของซิวและหานอวี้จนเคยตัว การทำเช่นนั้นบ่อย ๆ จะทำให้นางสูญเสียจิตวิญญาณในการต่อสู้ไป
การที่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธก็เป็นไปตามที่ลั่วเสวี่ยเหินคาดการเอาไว้
ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่เลือกที่จะหนีเอาตัวรอดไปก่อน ลั่วเสวี่ยเหินคงจะประหลาดใจมากกว่า
จอมยุทธ์แห่งหุบเขาหงส์ร่วงยิ้ม “หึ ๆ ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเราก็จะทุ่มพลังทั้งหมด ข้าไม่เชื่อว่าเราจะหมดสิ้นหนทางชนะ”
ฉินอวี้โม่ได้ยินคำพูดของลั่วเสวี่ยเหินก็เผยรอยยิ้มออกมา
‘จอมยุทธ์ลั่ว ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสชนะ ตอนนี้มารยากำลังเตรียมเครื่องมือที่ทรงอานุภาพอยู่แต่ยังต้องการเวลาอีกเล็กน้อย ขอเพียงพวกเราถ่วงเวลาเอาไว้ได้ ทันทีที่เครื่องมือของนางสัมฤทธิ์ผลแล้ว โอกาสก็จะมาหาพวกเรา’
ฉินอวี้โม่สื่อสารกับลั่วเสวี่ยเหินทางจิตวิญญาณเพื่อไม่ให้ศัตรูได้ยิน
ในตอนนี้ที่นางจะพึ่งพาได้ก็มีเพียงมารยาเท่านั้น พลังข่ายอาคมของอสูรแห่งแดนเหมันต์ผู้นี้ทำให้นางประหลาดใจมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันทีที่จูอวิ๋นชางปรากฏตัวขึ้นที่นี่ มารยาก็ใช้จังหวะนั้นแอบจัดเตรียมข่ายอาคมที่ทรงพลังมาก ขอเพียงข่ายอาคมนี้สัมฤทธิ์ผล แม้แต่จูอวิ๋นชางก็ยากจะรอดไปได้
เมื่อได้รับข้อความทางจิตจากฉินอวี้โม่ ลั่วเสวี่ยเหินก็อึ้งงันไป แต่ในชั่วอึดใจเขาก็ตั้งสติได้และรีบพยักหน้า เขาเป็นคนฉลาดจึงเข้าใจดีว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร
แม้ว่าเขากับฉินอวี้โม่จะไม่สามารถเอาชนะจูอวิ๋นชางได้ แต่เพียงแค่ถ่วงเวลาย่อมไม่ใช่ปัญหา
ในเมื่อฉินอวี้โม่บอกมาแบบนั้น เขาก็จะเชื่อนางสักครั้ง เขาอยากรู้เหลือเกินว่าอสูรของฉินอวี้โม่กำลังเตรียมเครื่องมือแบบไหนไว้กันแน่
“หึ ๆ ๆ ทีนี้พวกเจ้าคงรู้แล้วสินะว่าพลังของพวกเราห่างชั้นกันเพียงใด!”
หลังจากเล่นงานจนมังกรอัสนีหมดพลังในการต่อสู้ไปแล้ว จูอวิ๋นชางก็หันมามองฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิ
“เหอะ ไว้ฆ่าพวกเราได้ก่อนค่อยคุยก็ยังไม่สาย”
ฉินอวี้โม่กล่าวโต้ตอบ พลังมายาก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของนางก่อนจะขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้งเองที่กระบี่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือนาง
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังและแรงกดดันจากกระบี่ยักษ์ในมือฉินอวี้โม่ สีหน้าของจูอวิ๋นชางก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เพราะสำหรับเขาแล้วพลังเพียงเท่านี้ไม่ถือว่ามากมายอะไร
อย่างไรก็ตาม กระบี่ยักษ์เล่มนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่คิดจะใช้
ในระหว่างนี้ กระบี่ยักษ์เล่มนั้นก็ค่อย ๆ ลดขนาดของตัวเองลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักมันก็หดย่อลงมาจนมีขนาดไม่ต่างจากเข็มเล่มหนึ่ง
“เข็มทะลวงนภาลัย”
เพียงฉินอวี้โม่ขยับฝ่ามือ เข็มขนาดเล็กเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้าหาจูอวิ๋นชางอย่างรวดเร็ว
“ผนึกมนตรา!”
สีหน้าของจูอวิ๋นชางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากเข็มเล่มนั้นอย่างชัดเจน
ฟุ่บ!
ทว่าในครั้งนี้ม่านพลังมนตราของจูอวิ๋นชางไม่อาจจะป้องกันกระบวนท่าของฉินอวี้โม่ได้่ เข็มเล่มนั้นทะลวงผ่านม่านพลังไปได้
“วิชามนตรา—— โล่แห่งราชัน!”
จูอวิ๋นชางขมวดคิ้วและรีบใช้วิมนตราเรียกโล่ขนาดใหญ่ออกมาตรงหน้าเพื่อป้องกันการโจมตี
เคร๊ง!
เข็มที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาของฉินอวี้โม่ปะทะเข้ากับโล่แห่งราชันของจูอวิ๋นชางจนเกิดเสียงดัง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้การจะทะลวงผ่านโล่ของเขาไปไม่ใช่เรื่องง่าย โล่แห่งราชันยังคงตั้งอยู่อย่างมั่นคง
แกร๊ก!
เกิดเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างปริแตก ไม่นานนักโล่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของจูอวิ๋นชางก็พังทลายลงไปในพริบตาขณะที่เข็มพลังมายาของฉินอวี้โม่เองก็หายไปในอากาศ
การโจมตีนี้ไม่ส่งผลใด ๆ กับจู่อวิ๋นชางเลยแม้แต่น้อย
“ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ !”
เป็นครั้งแรกที่จูอวิ๋นชางรู้สึกทึ่งในพลังของคู่ต่อสู้ ครั้งนี้เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างแท้จริง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นมาแล้ว
แม้ว่ากระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่จะไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ แต่ถ้าหากเขาตัดสินใจช้าไปกว่านี้อีกชั่วอึดใจ ร่างของเขาก็อาจจะถูกทะลวงจนเป็นรูได้เลย
ด้วยพลังที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตจ้าวพิภพกลับสามารถทำลายการป้องกันเขาได้ถึงเพียงนี้ สตรีผู้นี้น่ากลัวอย่างแท้จริง การปล่อยให้คนที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ต่อไปจะเป็นผลร้ายต่อเขาในอนาคต
ลั่วเสวี่ยเหินเองก็อึ้งไปเช่นกัน กระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ทำให้เขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาที่ต้องรับกระบวนท่าเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ เขาคิดว่าโอกาสที่เขาจะต้านทานมันได้มีอยู่น้อยมากจริง ๆ
ฟุ่บ!
ฉินอวี้โม่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ร่างของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในตอนนี้สิ่งที่นางควรทำคือถ่วงเวลาให้มารยาเพื่อไม่ให้จูอวิ๋นชางมีเวลาสังเกตถึงความผิดปกติ นางต้องเข้าไปปะทะกับเขาตรง ๆ ด้วยควาามเร็วที่เหนือชั้นของนาง การจะปะทะเพื่อยื้อเวลาไม่ใช่ปัญหา อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะต้านทานได้หลายช่วงลมหายใจ
ทันทีทีข่ายอาคมของมารยาพร้อมทำงาน โอกาสของนางก็จะมาถึง
“หืม ?”
เมื่อเห็นร่างของฉินอวี้โม่หายไปอย่างน่าประหลาด จูอวิ๋นชางก็ชะงักไป
ในชั่วอึดใจต่อมาเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสลมที่พัดเข้ามา จึงรีบใช้อาวุธในมือป้องกันการโจมตีที่รุกเข้ามาจากทางขวา
เคร๊ง!
เสียงกระบี่สองเล่มปะทะกันดังขึ้นพร้อม ๆ กับที่ร่างของฉินอวี้โม่ปรากฏออกมาให้เห็น
“แข็งแกร่งจริง ๆ ข้าไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่เห็นลูกชายของข้าอยู่ในสายตา”
จูอวิ๋นชางพบว่าความเร็วของฉินอวี้โม่ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย ถ้าไม่พึ่งพลังมายาแล้วปะทะกันด้วยกระบวนท่าและความเร็วอย่างเดียว เขาคิดว่าตัวเขาคงเอาชนะฉินอวี้โม่ไม่ได้แน่
“เจ้าเองก็ไม่อยู่ในสายตาข้าเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่จงใจกล่าววาจายั่วโมโหฝ่ายตรงข้าม ร่างของนางหายไปอีกครั้งก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกด้านแล้วพุ่งเข้าโจมตีอีกครา
จูอวิ๋นชางไม่ยอมเสียสมาธิไปกับการยั่วยุง่าย ๆ เขาใช้กระบี่ในมือตั้งรับการโจมตีได้อย่างสบาย ๆ
ลั่วเสวี่ยเหินเพิ่งจะทำแผลของตัวเองเสร็จ หลังจากที่ได้รับโอสถฟื้นพลังแล้ว พลังของเขาก็ค่อย ๆ กลับคืนมา จอมยุทธ์แห่งหุบเขาหงส์ร่วงรีบพุ่งเข้าไปโจมตีจูอวิ๋นชางโดยหวังว่าจะช่วยฉินอวี้โม่ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์ที่เด่นด้านพละกำลังอย่างเขามีความเร็วที่ช้ากว่าฉินอวี้โม่มาก เมื่อปะทะกันได้ไม่ถึงสามกระบวนท่าก็ถูกฝ่ามือของจูอวิ๋นชางซัดจนกระเด็นไป
แต่ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชนของจอมยุทธ์ผู้นี้ ในพริบตาที่เขาถูกฝามือของอีกฝ่ายซัด เขาก็ใช้ฝ่ามือของตัวเองกระแทกเข้าไปที่ชายโครงของอีกฝ่ายเช่นกัน ร่างของจอมยุทธ์ระดับจ้าวสุริยะถึงกับสั่นสะเทือนไปกับการโจมตีนี้
“จบกันสักที!”
จูอวิ๋นชางเดือดถึงขีดสุด ทันทีที่รับกระบี่ต่อไปของฉินอวี้โม่ได้ เขาก็ระเบิดพลังออกมาเพื่อจะเผด็จศึก
“ใช่ จบกันเสียที!”
ในตอนนั้นเองฉินอวี้โม่ก็กล่าวประโยคที่คล้าย ๆ กันออกมา ก่อนที่จูอวิ๋นชางจะเห็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสตรีหน้าตายผู้นี้
.