ฟุ่บ !
ร่างของฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ไกลออกมา นางไม่คิดจะสู้กับจูอวิ๋นชางอีกต่อไป
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่หนีไปเสียเช่นนั้น จูอวิ๋นชางก็โกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยวและอยากจะไล่ตามไป
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เขาก็ได้ยินเสียงที่นุ่มนวลเสียงหนึ่ง
“มังกรจตุรทิศ !”
เมื่อเสียงที่เหมือนจะอ่อนแรงนั้นเงียบลงไป แรงกดดันอันน่าหวาดกลัวก็ปรากฏขึ้นมาทันที ตามมาด้วยเสียงคำรามทุ้มต่ำ ในพริบตาเงาร่างของมังกรขนาดใหญ่ทั้งสี่ก็เข้าปิดล้อมจูอวิ๋นชาง
“อะไรกัน !”
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล จูอวิ๋นชางก็แสดงสีหน้าปั้นยาก ที่ผ่านมาเขาไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนวางข่ายอาคมที่ทรงอานุภาพขนาดนี้ได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว
“นี่คือข่ายอาคมมังกรจตุรทิศที่สนุกไม่น้อยเลยนะ โทษฐานที่เจ้ารังแกนายหญิงของข้า ข้าจะให้เจ้าได้เล่นสนุกในข่ายอาคมของข้าให้เต็มที่ !”
ใบหน้าของมารยาในตอนนี้ซีดเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าข่ายอาคมมังกรจตุรทิศจะสิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาล
ข่ายอาคมมังกรจตุรทิศเป็นข่ายอาคมประเภทจู่โจมที่ทรงพลังมาก ตัวมารยาเองก็เพิ่งจะทำความเข้าใจกับมันได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยเพราะมันเป็นข่ายอาคมประเภทจู่โจมที่รุนแรงซึ่งจัดเตรียมได้ยากมาก และนอกจากจะต้องใช้พลังมหาศาลแล้ว ยังต้องการเวลาอีกไม่น้อย
ในตอนที่ฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินช่วยกันรับมือกับจูอวิ๋นชาง อสูรสาวก็ใช้โอกาสนั้นจัดเตรียมข่ายอาคมที่ทรงอานุภาพนี้ขึ้น
และในที่สุดตอนนี้ข่ายอาคมมังกรจตุรทิศก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว มารยามั่นใจมากว่าข่ายอาคมนี้จะเผด็จการจูอวิ๋นชางได้อย่างแน่นอน
จูอวิ๋นชางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘ข่ายอาคม’
ผู้ใช้ข่ายอาคมถือเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ที่น่ากลัวมากตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ผู้ใช้ข่ายอาคมส่วนใหญ่จะไม่ได้มีร่างกายหรือวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งนักแต่ข่ายอาคมของพวกเขาก็สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย
ข่ายอาคมเป็นศาสตร์ที่ลึกลับ หากมีเวลาจัดเตรียมอย่างเพียงพอ ข่ายอาคมที่ทรงอานุภาพสามารถสังหารยอดฝีมือระดับใดก็ได้ หรือต่อให้ไม่ตาย พลังในการต่อสู้ก็จะลดน้อยลงไปมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายร้อยปีมานี้ผู้ใช้ข่ายอาคมเริ่มค่อย ๆ สูญหายจนแทบไม่มีเหลือ แม้แต่ในดินแดนที่รุ่งเรืองอย่างดินแดนเทพมายาก็ยังแทบจะหาตัวผู้ใช้ข่ายอาคมไม่ได้ เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงดินแดนอ้างว้างแห่งนี้
แม้ว่าจะมีบางคนที่ฝึกฝนการใช้ข่ายอาคมอยู่บ้าง แต่ความรู้ที่คนในยุคนี้หลงเหลือก็มีเพียงผิวเผินเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถเรียนแก่นแท้ของศาสตร์ด้านนี้ได้
ดังนั้นจึงมีน้อยคนมากที่จะเข้าใจศาสตร์แห่งข่ายอาคม ความลึกลับของมันแม้แต่ตัวจูอวิ๋นซางผู้นำแห่งขุมกำลังใหญ่ก็ยังยากจะหยั่งถึง
“ที่แท้ก็เป็นข่ายอาคมนี่เอง”
ลั่วเสวี่ยเหินอุทานด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าฉินอวี้โม่จะบอกเขาแล้วว่าให้ช่วยกันถ่วงเวลาเอาไว้ แต่ก็ไม่รู้เลยว่านางได้จัดเตรียมข่ายอาคมเอาไว้แล้ว เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้มาเห็นพลังของข่ายอาคมด้วยตาของตัวเอง
เขาหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เบิกกว้าง ลั่วเสวี่ยเหินเริ่มรู้สึกชื่นชมสตรีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาเกิดความคิดว่าอยากจะศึกษาวิชาข่ายอาคมจากฉินอวี้โม่ และไม่อยากจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางอีกต่อไป
“นายหญิง ข้าต้องขอตัวไปพักฟื้นก่อน ข่ายอาคมมังกรจตุรทิศเป็นข่ายอาคมระดับสูง แม้ว่าข้าจะทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยมันออกมาได้ แต่ก็ได้รับผลแทรกซ้อนจากการฝืนใช้กำลังเกินขีดจำกัด ข้าคงช่วยท่านไม่ได้อีกพักใหญ่”
มารยากล่าวกับฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ข่าง ๆ ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว อีกทั้งน้ำเสียงยังอ่อนล้า
ข่ายอาคมมังกรจตุรทิศถือเป็นข่ายอาคมระดับสูงและเป็นข่ายอาคมลึกลับที่หายากมาก ต้องขอบคุณตำราโบราณที่ฉินอวี้โม่ได้รับมาจากภายในถ้ำของเทพมายาที่ทำให้อสูรสาวเจ้าอาคมมีโอกาสได้เรียนรู้ข่ายอาคมที่หายากเช่นนี้
เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มารยาใช้ข่ายอาคมระดับนี้ทำให้ต้องสิ้นเปลืองพลังมากเป็นพิเศษ
ในตอนนี้พลังจิตวิญญาณของอสูรสาวอ่อนแอมากจึงต้องรีบพักฟื้นโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม การใช้ข่ายอาคมมังกรจตุรทิศสำเร็จเป็นครั้งแรกก็ถือเป็นประโยชน์กับมารยาอย่างมหาศาล หลังจากเคยใช้มันได้ครั้งหนึ่งแล้วจะทำให้นางจับทางได้ การใช้มันในครั้งต่อไปพลังที่ต้องใช้ก็จะลดน้อยลงไป ยิ่งในอนาคตหากพลังของอสูรสาวเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งใช้ข่ายอาคมนี้ได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากข่ายอาคมธรรมดา ๆ
เมื่อได้ยินที่มารยาพูด ฉินอวี้โม่ก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไร้หนทาง
ดูเหมือนว่าอสูรมายาของนางล้วนรู้จักนางดี พวกมันทุกตนล้วนตัดสินใจทำอะไรเกินตัวโดยไม่บอกนางกันทั้งสิ้น พวกมันรู้ดีว่าหากบอกให้ฉินอวี้โม่รู้ถึงผลกระทบที่จะตามมาเจ้านายของมันคงจะไม่อนุญาตให้ทำแน่
มารยายิ้มให้นายหญิงของมันพลันเปลี่ยนสภาพกลายเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดเท่าฝ่ามือแล้วลอยไปตรงหน้าฉินอวี้โม่
“นายหญิงเก็บข้าไว้ในสภาพนี้ เช่นนี้จะทำให้ข้าดูดซับพลังมายาจากสิ่งแวดล้อมได้รวดเร็วมากกว่าอยู่ในมิติเชื่อมอสูร ยิ่งกว่านั้นข้าจะสามารถปกป้องนายหญิงจากภัยร้ายที่จะย่างกรายเข้ามาได้”
มารยาทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ให้ฉินอวี้โม่ ก่อนที่สติสัมปชัญญะของมันจะหายเข้าไปในก้อนน้ำแข็ง
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าตอนนี้มารยากำลังเข้าสู่สภาวะหลับใหล
คุณหนูตระกูลฉินหยิบก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามาโดยไม่ลังเล ก่อนจะนำถุงผ้าขนาดเล็กออกมาห่อมันไว้แล้วผูกไว้ที่เอว
“อสูรมายาของเจ้าล้วนเป็นอสูรที่ไม่ธรรมดาเลย”
เมื่อเห็นการเปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำแข็งของมารยา ลั่วเสวี่ยเหินก็อึ้งไม่น้อย อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากสิ่งไม่มีชีวิตอย่างน้ำแข็งถือเป็นอสูรที่หาได้ยากยิ่งกว่ายาก แม้แต่เขาเองก็เพิ่งจะเคยเห็นอสูรเช่นนี้เป็นครั้งแรก
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วเสวี่ยเหิน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มน้อย ๆ ออกมาแต่ก็ไม่คิดจะอธิบายอะไร
ปัง !
เกิดเสียงดังขึ้นจนฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินต้องหันไปมองทางข่ายอาคมมังกรจตุรทิศที่กักขังจูอวิ๋นชางอยู่
จูอวิ๋นชางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ในตอนนี้เงาของมังกรทั้งสี่ที่ไม่รู้จักความเจ็บปวดรุกเข้าจู่โจมเขาจากรอบด้าน
จูอวิ๋นชางพยายามหาโอกาสหนีมาโดยตลอด แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จเลยสักครั้ง
มังกรทั้งสี่พยายามช่วยกันปิดกั้นทางหนีทั้งหมดของเขา จนจูอวิ๋นชางหมดโอกาสไปโดยปริยาย
“บัดซบ !”
จูอวิ๋นชางสบถอย่างเดือดดาล ใบหน้าดูอึดอัดเป็นอย่างมาก
การโจมตีของเขาไร้ผลกับมังกรทั้งสี่โดยสิ้นเชิง ทว่าการโจมตีของมังกรกลับส่งผลกับเขาอยู่ฝ่ายเดียว นี่คือการต่อสู้ที่เขาไม่เห็นหนทางชนะ
“ฉินอวี้โม่ อย่าให้ตัวเจ้าตกมาอยู่ในมือของพวกเราขุมกำลังพญายมก็แล้วกัน เพราะถึงตอนนั้นข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตาย !”
จูอวิ๋นชางรู้ถึงผลลัพธ์ในการต่อสู้แล้วจึงได้กล่าวเช่นนั้นออกมา
นี่เป็นเพียงร่างจิตของเขา แม้ว่ามันจะถูกทำลายไปแต่ก็ส่งผลกับร่างหลักของเขาไม่มากนัก ขอเพียงพักฟื้นสองถึงสามวัน สภาวะพลังของเขาก็จะกลับมาเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม เรื่องในวันนี้เขาจะขอจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ
หลังจากนี้ไปเขาจะออกตามล่าฉินอวี้โม่อย่างสุดกำลัง หากว่านางตกอยู่ในมือของเขาเมื่อใด เขาจะทำให้นางรู้ซึ้งถึงพลังของพญายม
“เลิกพูดจาเหลวไหลจะดีกว่า วันนี้พวกเราทำลายร่างจิตของเจ้าได้ ต่อไปถ้าเจอร่างหลักของเจ้า ข้าก็จะทำลายมันไม่ต่างกัน ฉะนั้นเจ้าต่างหากที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้”
ฉินอวี้โม่กล่าวโต้ตอบอย่างไม่เกรงกลัวก่อนจะกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้นเจ้าอย่าเพิ่งมาสนใจข้าจะดีกว่า หากขุมกำลังอื่น ๆ รู้เรื่องในวันนี้ พวกเขาอาจจะถือโอกาสนี้บุกกวาดล้างพวกเจ้าที่กำลังอ่อนแอก็ได้ ถ้าเจ้าไม่ระวังให้ดี ขุมกำลังพญายมของเจ้าก็อาจจะถูกกวาดล้างไปจากแผ่นดินนี้เสียก่อน”
เมื่อได้ยินที่สตรีน้อยตรงหน้ากล่าว จูอวิ๋นชางก็กำหมัดแน่น ทั้งยังตัวสั่นด้วยความโกรธ เขาเดือดจนพูดไม่ออก
นึกไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นอีกครั้งที่เขาต้องเสียหน้าครั้งใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็ถูกกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬทำให้เจ็บแสบมาหนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังมาเจอฉินอวี้โม่อีกครา หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
สำหรับหัวหน้าของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬรวมถึงฉินอวี้โม่ผู้นี้ถือเป็นคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ
ตัวเขาต้องยอมรับว่าไม่อาจจะเอาชนะหัวหน้าของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬได้ แต่ถ้าเป็นฉินอวี้โม่ เขาสามารถเอาชนะนางได้ไม่ยาก ฉะนั้นเขาจึงมุ่งเป้ามาที่การตามล่าฉินอวี้โม่เพียงผู้เดียว
เขาจะตั้งตารอวันนั้น วันที่เขาจะได้แก้แค้นนางให้สาแก่ใจ
โร่ว !
มังกรทั้งสี่ส่งเสียงคำรามออกมาก่อนจะระเบิดตัวเองทันที
ตูม !
แรงระเบิดของมังกรทั้งสี่ทำให้ระลอกคลื่นพลังกระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ อานุภาพการทำลายล้างรุนแรงจนพื้นดินในรัศมีห้าร้อยจั้งราบเป็นหน้ากลอง
มันถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงจนขนหัวลุก ถ้าไม่ใช่เพราะมารยาวางอักขระม่านพลังเอาไว้ ฉินอวี้โม่กับลั่วเสวี่ยเหินเกรงว่าพวกเขาเองก็คงจะกลายเป็นจุณไปแล้วเหมือนกัน
แรงจากการระเบิดทำให้เกิดแสงสว่างจ้าจนฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
หลังจากที่แสงสว่างจางหายไป เบื้องหน้าของพวกนางก็ไม่มีทั้งเงาของมังกรและร่างจิตของจูอวิ๋นชางอีกแล้ว แรงระเบิดเมื่อครู่ทำลายร่างจิตของเขาจนหมดสิ้น
…
ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป จูอวิ๋นชางที่เก็บตัวอยู่ในห้องลับลืมตาขึ้นมาพร้อมกับโลหิตที่ทะลักออกจากปาก
“ฉินอวี้โม่ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ !”
จูอวิ๋นชางคำรามลั่น ผู้นำแห่งพญายมโกรธเสียจนไม่สนใจจะเช็ดคราบเลือดที่ไหลออกมาจากปาก
ต้องทราบก่อนว่าการที่ร่างจิตของตัวเองโดนทำลายไปจะทำให้เกิดผลกระทบกับร่างหลักของเขาไม่น้อย แม้จะบาดเจ็บไม่มากนักแต่รากฐานของพลังก็จะสั่นคลอน เขาต้องใช้เวลาฟื้นพลังหลายวันกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
หากขุมกำลังที่เป็นอริรู้ว่าเขามีสภาพเช่นนี้ก็อาจจะบุกมาโจมตีได้
จูอวิ๋นชางกำหมัดแน่น เขาพยายามระงับอารมณ์ของตนเองอย่างยิ่งยวด ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างของเขาก็หายไปจากห้องลับพร้อมกับจิตสังหารอันไร้ขีดจำกัด
“ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก”
ลั่วเสวี่ยเหินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อครู่เขาเกิดความคิดที่ว่าตัวเขากำลังจะตายเพราะแรงระเบิดนั้นจริง ๆ
“ทุกอย่างจบลงแล้ว แต่สงครามครั้งนี้ข้าเองก็เสียหายหนักเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางส่ายศีรษะ ครั้งนี้นางไม่รู้สึกดีใจที่ชนะเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะการตัดสินใจของนางทำให้อสูรมายาในสังกัดต้องใช้พลังเกินตัวจนส่งผลกระทบถึงพลังรากฐาน ที่สำคัญทั้งนางและลั่วเสวี่ยเหินก็บาดเจ็บไม่น้อย นี่แทบจะไม่เรียกว่าชัยชนะด้วยซ้ำไป
ถ้าเมื่อครู่คู่ต่อสู้เป็นจูอวิ๋นชางตัวจริง ฉินอวี้โม่แทบไม่กล้าจินตนาการเลยว่านางต้องมีสักกี่ชีวิตถึงจะเพียงพอ
“พลังของจอมยุทธ์จ้าวสุริยะสูงส่งเหนือสามัญสำนึก ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องพยายามกันหนักสักหน่อยแล้ว มิฉะนั้นครั้งหน้าคงยากจะเอาชีวิตรอดได้”
ลั่วเสวี่ยเหินพยักหน้าด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าพลังของตัวเองไร้เทียมทาน เขาเป็นจอมยุทธ์ที่ยากจะหาคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมได้ ทว่าพออยู่ต่อหน้าจูอวิ๋นชาง เขาก็พบกับความอ่อนหัดของตัวเอง เขาไม่มีแม้แต่พลังพอจะโต้ตอบ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเสวี่ยเหินรู้สึกว่าพลังของตัวเองช่างน้อยนิด ต่อไปเขายังต้องฝึกฝนอีกมาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ขอเพียงเรายังมีใจฮึดสู้อยู่ สักวันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
การมาที่ดินแดนอ้างว้างถือเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับนางมาก ต่อไปนางยังต้องเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายา ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอนางอยู่บ้าง ถ้าไม่รีบแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว นางคงต้องตายก่อนจะหาตัวมารดาพบเป็นแน่
ดังนั้นแล้วนางจะต้องอาศัยช่วงที่อยู่ในดินแดนอ้างว้างเพื่อฝึกฝน เวลาของหลังจากนี้ถือว่าสำคัญทุกช่วงลมหายใจ
“ไปกันเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีก วันนี้อย่างไรลั่วเยาเซียนก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ถ้าปล่อยคนผู้นี้ไว้ ข้าเกรงว่าชาวบ้านจันทราคงไม่ได้อยู่เป็นสุขแน่”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย็นชาออกมา จิตสังหารของนางยังไม่หมดไป แม้ร่างจิตของจูอวิ๋นชางจะถูกทำลายไปแล้ว ทว่ายังเหลือลั่วเยาเซียนอยู่
การกระทำของลั่วเยาเซียนถือว่าล้ำเส้นตายที่นางได้ขีดเอาไว้ วันนี้นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องเอาชีวิตของคนผู้นี้
ลั่วเสวี่ยเหินพยักหน้าทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ที่ผ่านมาเขายอมทำตามคำสั่งลั่วเยาเซียน แต่วันนี้คนผู้นั้นทำให้เขาผิดหวังนัก ชะตากรรมของคนผู้นี้จะเป็นอย่างไร เขาจะให้ฉินอวี้โม่เป็นผู้ตัดสิน
ถ้าฉินอวี้โม่จะสังหารคนผู้นั้น เขาก็จะไม่เข้าไปหยุดอย่างแน่นอน
ร่างของฉินอวี้โม่และลั่วเสวี่ยเหินหายไป ก่อนจะปรากฏกายอยู่บนท้องฟ้าภายนอกหุบเขา
.