ณ หมู่บ้านจันทรา
หลัวซิงและคนในหมู่บ้านต่างก็มองไปยังทิศทางที่หุบเขาหงส์ร่วงตั้งอยู่ด้วยสีหน้ากังวล
“หัวหน้าหมู่บ้าน แม่นางอวี้โม่จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ป้าไชกล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง แม้ว่าตอนนี้นางจะเหนื่อยมากแล้วแต่ก็ไม่ยอมกลับไปพัก ถ้ายังไม่ทราบถึงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่ นางจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น
“อย่าห่วงเลย นางแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ที่สำคัญนางยังมีอสูรอยู่นับไม่ถ้วน เราต้องเชื่อมั่นในตัวนาง นางจะต้องเอาตัวรอดได้แน่”
แม้ว่าหลัวซิงเองก็กระวนกระวายใจ ทว่าต่อหน้าของชาวบ้านทุกคนที่กำลังเป็นกังวลเช่นนี้เขาก็ทำได้เพียงต้องกล่าวปลอบใจเท่านั้น
ในเมื่ออยู่ในหุบเขาหงส์ร่วงต่อไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ชาวบ้านทุกคนจึงกลับมารอกันที่หมู่บ้าน
ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นฉินอวี้โม่กลับมา คืนนี้พวกเขาคงมิอาจจะข่มตาให้หลับลงได้
…
“หัวหน้าหมู่บ้าน นี่ก็ผ่านมาสองชั่วยามแล้ว ข้าว่าข้าขอไปดูให้แน่ใจดีกว่า”
ผู้อาวุโสหลิวกล่าวด้วยท่าทางร้อนใจ
การที่เวลาผ่านมาถึงสองชั่วยามแล้ว แต่ยังไม่มีแม้เงาของฉินอวี้โม่ปรากฏให้เห็นทำให้ทุกคนร้อนใจจนแทบจะนั่งไม่ติด
“หรือว่านางจะสะสางทุกอย่างเสร็จสิ้นและออกเดินทางต่อแล้ว ?”
มีบางคนเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำให้ทุกคนใจเย็นลง
บางทีฉินอวี้โม่อาจจะออกจากหุบเขาหงส์ร่วงไปแล้วก็ได้ เพียงแต่นางอาจจะไม่ได้มาบอกพวกเขาก่อนจะไปเท่านั้น
“เรื่องนั้นมีความเป็นไปได้ แต่อย่างไรเรารอกันต่ออีกหน่อยเถิด ถ้าอาทิตย์ตกดินนางยังไม่กลับมา ข้าจะขอไปดูด้วยตัวเอง”
หลัวซิงพยักหน้า แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าถ้าฉินอวี้โม่รอดกลับมา นางคงมาแจ้งข่าวให้พวกเขาทราบอย่างแน่นอน ทว่าเขาก็ยังต้องตอบไปเช่นนั้นเพื่อไม่ให้ทุกคนเสียขวัญและรวมถึงปลอบใจตัวเองด้วย
ในตอนที่เสียงของเขาเงียบลง กระแสลมแรงก็พัดผ่านพวกเขาอย่างรวดเร็ว ร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
สตรีในชุดสีขาว รูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติ กลิ่นอายราวเทพเซียนปรากฏตัวขึ้น คนผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉินอวี้โม่
“แม่นางอวี้โม่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที”
ป้าไชอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งเข้าไปหาฉินอวี้โม่ ก่อนจะจับมือของนางขึ้นมากุมไว้พลางกล่าวออกมาอย่างโล่งอก
“ต้องขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องเป็นห่วง”
เมื่อเห็นว่าชาวบ้านทุกคนต่างก็ยืนรอนางอย่างพร้อมหน้า ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกผิดไม่น้อย
“ไม่มีใครกล้าตำหนิเจ้าหรอก เจ้าบุกไปถึงหุบเขาหงส์ร่วงเพื่อช่วยชีวิตพวกเรา พวกเราเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าต่างหาก”
ป้าไชเผยรอยยิ้มใจดีพลางมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เอ็นดู
เมื่อได้ยินคำพูดของป้าไช ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มไม่ได้ ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
คนในหมู่บ้านนี้ล้วนมีจิตใจที่งดงาม แม้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเพราะนางแต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดตำหนิ พวกเขาต่างก็เป็นห่วงนางและยังซาบซึ้งในตัวนางมาก
“เรื่องของหุบเขาหงส์ร่วงข้าสะสางเรียบร้อยแล้ว ลั่วเยาเซียนถูกข้าสังหารไปแล้ว ตอนนี้ผู้นำของหุบเขาหงส์ร่วงคือลั่วเสวี่ยเหิน คนผู้นี้เป็นคนดี ถ้ามีเขาเป็นผู้นำ หมู่บ้านจันทราก็จะปลอดภัย ส่วนจูฉีข้าให้เขากล่าวคำสาบานแล้วว่าจะไม่มายุ่งกับคนในหมู่บ้านจันทราอีก ต่อไปพวกเราคงไม่ต้องกังวลกันแล้ว”
ฉินอวี้โม่บอกเล่าด้วยรอยยิ้ม หลังจากวันนี้ไปชาวบ้านคงได้พักผ่อนอย่างสบายใจ
“นี่แม่นางสังหารลั่วเยาเซียนลงได้จริง ๆ หรือเนี่ย ?!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ หลัวซิงก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
แม้จะทราบดีว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนธรรมดาและทราบดีว่านางมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นสังหารลั่วเยาเซียนผู้นำแห่งหุบเขาหงส์ร่วงลงได้ ที่สำคัญยังบีบบังคับให้จูฉีต้องกล่าวคำสาบาน เช่นนี้แล้วความแข็งแกร่งของนางคงจะน่ากลัวเกินบรรยาย
ชาวบ้านจันทราต่างก็มองฉินอวี้โม่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
อายุของฉินอวี้โม่ทุกคนทราบดี ด้วยอายุเพียงเท่านั้นกลับสังหารจูฉีลงได้ สตรีผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่
ทุกคนไม่มีข้อสงสัยเลยว่าอีกไม่นานจอมยุทธ์หญิงผู้นี้คงจะมีชื่อติดอยู่ในทำเนียบรุ่นเยาว์เป็นแน่
“ได้เห็นทุกคนปลอดภัยข้าเองก็หมดห่วง ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างก็ได้รับการแก้ไขแล้ว คงได้เวลาที่ข้าต้องไปเสียที เสี่ยวเหยียนยังคงรอข้าอยู่ที่เมืองลั่วหยาง”
ฉินอวี้โม่กล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม นางไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน กล่าวจบร่างบาง ๆ ของจอมยุทธ์หญิงผู้องอาจก็หายไปจากสายตาของทุกคน
พวกเขามองไปยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่จากไปอย่างเงียบสงบ อีกไม่นานสตรีผู้นี้อาจจะทำให้ดินแดนอ้างว้างต้องโกลาหลขึ้นมาก็เป็นได้
ทางด้านลั่วเสวี่ยเหิน หลังจากที่ฉินอวี้โม่จากไปเขาก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา
สตรีผู้นั้นทิ้งงานใหญ่ไว้ให้เขาเสียแล้ว กล่าวตามตรงเขาไม่เคยคิดอยากจะเป็นผู้นำของหุบเขาหงส์ร่วงหรืออยากจะมาแทนตำแหน่งของลั่วเยาเซียนเลย ทว่าหลังจากที่ผู้นำคนเดิมเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ไม่หลงเหลือทางเลือกอื่นอีกนอกจากต้องยอมรับเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากที่สถานการณ์สงบลง รวมถึงทุกอย่างลงตัวเขาก็จะรีบหาตัวแทนที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ ตัวเขามีความฝันที่จะออกไปท่องโลกกว้างเพื่อหาประสบการณ์
ลั่วเสวี่ยเหินสงสัยเหลือเกินว่าในตอนที่ได้พบฉินอวี้โม่อีกครั้ง นางจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนกันแน่
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันเต็ม ๆ ในตอนที่ท้องฟ้าของอีกวันเริ่มจะมืดลง ฉินอวี้โม่ก็มาถึงเมืองลั่วหยาง
แต่หลังจากที่เข้าไปในโรงเตี๊ยมกลับไม่พบเห็นเสี่ยวเหยียนที่น่าจะรอนางอยู่ ในตอนนั้นเองฉินอวี้โม่ก็เกิดความกังวลขึ้น
ตามหลักแล้ว หากว่านางไม่กลับมา เสี่ยวเหยียนก็น่าจะรอนางอยู่ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้
คิ้วของอดีตมือสังหารขมวดเป็นปม ความกังวลเริ่มเกาะกุมหัวใจ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเหยียน ?
ในตอนที่นางกำลังจะขึ้นไปชั้นบน เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
“แม่นางคงจะเป็นฉินอวี้โม่สินะขอรับ ?”
เถ้าแก่กล่าวกับฉินอวี้โม่อย่างสุภาพ
ในโลกนี้ความแข็งแกร่งถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดาของฉินอวี้โม่ เถ้าแก่จึงคิดว่านางต้องเป็นคุณหนูจากขุมกำลังใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม จึงกล่าวกับนางอย่างนอบน้อม
“ใช่ เป็นข้าเอง ท่านมีอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่หยุดเดินก่อนจะหันมาพยักหน้า
“นี่คือจดหมายที่น้องสาวของแม่นางฝากเอาไว้”
เถ้าแก่นำจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ก่อนจะยื่นให้ฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่รับจดหมายมาด้วยสีหน้าที่กังวลใจก่อนจะกล่าวถาม “ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน ?”
เถ้าแก่รู้ดีว่าฉินอวี้โม่ต้องการจะถามอะไร เขาส่ายศีรษะ “ข้าน้อยไม่ทราบ เมื่อวานนางนำจดหมายนี้มาให้ข้าแล้วก็รีบออกไปทันที ท่าทางราวกับว่าจะออกจากเมืองแห่งนี้ไม่มีผิด”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเถ้าแก่ ฉินอวี้โม่กลับไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย
นางไม่ถามอะไรอีก พลันตรงไปที่ห้องพักที่จองเอาไว้แล้วเปิดอ่านเนื้อหาในจดหมายก่อนเป็นอันดับแรก
— ท่านพี่ ข้าค้นพบเบาะแสเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวเองแล้ว ข้าคงต้องออกเดินทางตามแนวทางของตัวเอง พี่อวี้โม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของข้าบวกกับเจ้าเสืออัคคี การจะท่องไปยังแผ่นดินอันกว้างใหญ่คงไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งกว่านั้นข้ายังจำที่ท่านพี่เคยบอกเอาไว้ได้ ‘มีเพียงการใช้ชีวิตอยู่บนความเป็นความตายเท่านั้นถึงจะพัฒนาพลังของตัวเองขึ้นมาได้อย่างเร็วที่สุด’ ข้าหวังว่าสักวันข้าจะได้สู้เคียงข้าท่าน ท่านพี่ของข้า // เสี่ยวเหยียน…–
หลังจากอ่านเนื้อหาในจดหมายเสร็จ ฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้ ทว่าภายในใจก็โล่งอกไปไม่น้อย
เดิมทีคิดว่านางอาจจะถูกลักพาตัว แต่เมื่อนางตัดสินใจเช่นนี้ด้วยตัวเองก็ทำให้เรื่องที่ฉินอวี้โม่เป็นกังวลอยู่เบาบางลงไปมาก
อายุของเสี่ยวเหยียนจริง ๆ ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว พรสวรรค์ของนางก็ถือว่าไม่ได้เลวร้าย อีกทั้งยังเป็นเด็กที่ฉลาด
ด้วยพลังในตอนนี้ของนางกอปรกับมีเสืออัคคีคอยช่วย นางไม่น่าจะมีอันตราย ยอดฝีมือทั่ว ๆ ไปในแผ่นดินนี้ไม่น่าจะสร้างปัญหาให้สาวน้อยได้
ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงไม่เป็นกังวลในเรื่องนี้มากนัก
ทว่าก็ยังมีเรื่องน่าสงสัยอยู่ เหตุใดจู่ ๆ เสี่ยวเหยียนถึงได้เบาะแสเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวเองได้ล่ะ ? มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงที่นางอยู่ในหุบเขาหงส์ร่วงอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับบิดาของเสี่ยวเหยียน ?
ทันทีที่นึกถึงเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ก็เริ่มมีความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย ถึงนางจะมั่นใจว่าอย่างไรเสี่ยวเหยียนก็น่าจะปลอดภัย แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเรื่องนี้อาจจะมีอะไรไม่ธรรมดา
ตั้งแต่ที่ได้พบสาวน้อยผู้นั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ฉินอวี้โม่กลับเกิดความคิดที่ว่าสาวน้อยผู้นี้อาจจะมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ในอนาคตนางอาจจะเผชิญกับปัญหาอีกมาก เช่นนี้แล้วตัวฉินอวี้โม่เองก็ต้องรีบแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วเพื่อในกรณีที่เสี่ยวเหยียนต้องการความช่วยเหลือ
นางไม่มัวคิดถึงเรื่องนี้นานนัก เมื่อวานนางเพิ่งจะทำศึกใหญ่กับจูอวิ๋นชาง จากนั้นยังต้องรีบเดินทางข้ามวันข้ามคืน ในตอนนี้นางเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย นางก็รีบเข้านอนทันที
ขณะนี้ ในเวลาเดียวกัน ณ ป่าแห่งหนึ่งในดินแดนอ้างว้าง หานโม่ฉือในชุดจอมยุทธ์สีขาวกำลังเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด
…
“โม่เอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่ ?”
บุรุษน้ำแข็งพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา ใบหน้าของเขาในตอนนี้มีความกังวลฉายชัด
แม้เขาจะรู้ดีว่าสตรีของเขาไม่ใช่คนธรรมดา อีกทั้งยังมีอสูรมายามากมายคอยปกป้อง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้เมื่อไม่ทราบว่านางกำลังทำอะไรอยู่
“นายท่านโปรดวางใจ ด้วยความแข็งแกร่งของคุณหนูคงยากจะมีผู้ใดทำอันตรายได้ ที่สำคัญด้วยนิสัยอย่างคุณหนู อีกไม่นานชื่อของนางคงจะโด่งดังจนเราได้ยินเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเราคงทราบที่อยู่ของนาง”
บุรุษชุดแดงที่อยู่ข้าง ๆ หานโม่ฉือกล่าวขึ้น
บุรุษผู้นี้ก็คืออสูรมายาคู่ใจของหานโม่ฉือ — กิเลนอัคคี ความรู้สึกที่เจ้านายของมันเป็นห่วงฉินอวี้โม่ มีหรือที่อสูรคู่ใจอย่างมันจะไม่รู้
“หึ ๆ ๆ ที่เจ้าพูดมาก็ถูก”
หานโม่ฉือหัวเราะเบา ๆ และไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
…
หลังจากได้นอนพักผ่อนตลอดทั้งคืน ฉินอวี้โม่ก็ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับพลังที่ฟื้นคืนมาเกือบทั้งหมด อาการบาดเจ็บของนางหายจนเกือบจะสนิทแล้ว
หลังจากได้ที่ต่อสู้กับยอดฝีมือระดับจ้าวสุริยะอย่างดุเดือดก็ทำให้ความแข็งแกร่งของนางเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมจอมยุทธ์ถึงชอบกล่าวกันว่า ยิ่งต่อสู้มาเท่าไหร่ ความแข็งแกร่งก็จะมากขึ้นเท่านั้น คำกล่าวนี้ไม่ผิดเลยสักนิด
หลังจากเก็บสัมภาระแล้ว ฉินอวี้โม่ผลักประตูออกไปและเตรียมจะไปจากเมืองลั่วหยางแห่งนี้
ลั่วหยางเป็นเพียงเมืองทางผ่านซึ่งไม่ใช่จุดหมายปลายทางของนาง
ตอนนี้เป้าหมายของนางคือใช้ช่วงเวลาระหว่างเดินทางไปยังที่ตั้งของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด
ในตอนที่เดินลงไปยังชั้นล่าง ฉินอวี้โม่ก็พบว่าวันนี้เหมือนจะมีแขกจำนวนมากเข้ามาพักในโรงเตี๊ยม
เมื่อเห็นหญิงงามดุจเทพเซียนกำลังเดินลงมายังชั้นล่าง ในโถงชั้นล่างก็เกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวในทันที ทุกคนต่างก็มองมายังฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่ตกตะลึงระคนประหลาดใจ
แม้จะรู้ว่าตัวเองกำลังถูกทุกคนจับจ้องอยู่ ทว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเดินไปยังโต๊ะทำงานของโรงเตี๊ยมเพื่อคืนห้องพัก
เถ้าแก่เองก็ชะงักไปเช่นกันก่อนจะเผยรอยยิ้มที่นอบน้อมเช่นเดิม
“เถ้าแก่มีอะไรรึเปล่า ?”
ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าบรรยายกาศมันดูแปลก ๆ นางสังเกตเห็นแววแห่งความประหลาดใจปรากฏในดวงตาของทุกคน
แม้แต่เถ้าแก่ที่เมื่อวานยังคุยกันปกติยังมองนางต่างออกไปจากเดิม
“ไม่มีอะไร เพียงแต่ข้าไม่คิดว่าแม่นางอวี้โม่จะเป็นสุดยอดจอมยุทธ์ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่”
เถ้าแก่รีบส่ายศีรษะพลางกล่าววาจาที่สุภาพอ่อนน้อม
ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงว่าฉินอวี้โม่คงเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่สักตระกูล อายุของนางไม่มากแม้จะมีพรสวรรค์แต่ก็คงไม่เก่งกาจอะไรนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงในอันดับของทำเนียบรุ่นเยาว์เมื่อเช้านี้ ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป
ไม่คิดเลยว่าดรุณีน้อยผู้งดงามผู้นี้ แท้จริงแล้วจะเป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุคผู้หนึ่ง ช่างน่าตกใจยิ่งนัก
.