หลังจากออกเมืองลั่วหยาง ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออก จุดหมายปลายทางของนางก็คือฐานที่มั่นของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ
หลังจากเดินทางมาสามวันสามคืน เมืองแห่งที่สองก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
เมืองแห่งนี้มีชื่อว่า ‘เยี่ยหลาย’ มีขนาดใหญ่กว่าเมืองลั่วหยางที่นางเข้าพักก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเมืองระดับแนวหน้าของดินแดนอ้างว้าง
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ไม่พบผู้คนหรือเผชิญกับปัญหาใด ๆ เลยตลอดการเดินทาง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามวันนี้ชื่อเสียงของนางดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งดินแดนอ้างว้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์หรือเรื่องสงครามกับหุบเขาหงส์ร่วงล้วนดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ทั้งสิ้น
ในตอนนี้ขุมกำลังเกือบทั้งแผ่นดินไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต่างก็อยากรู้เรื่องของนาง หลายขุมกำลังส่งคนออกไปเพื่อสืบข้อมูลรวมถึงตามหานางเพื่อจะพิชิตใจนางให้ได้ก่อนขุมกำลังอื่น
อย่างไรก็ตาม รูปร่างหน้าตาของฉินอวี้โม่เป็นเช่นไรนั้นน้อยคนนักที่จะทราบ ข้อมูลที่ทุกขุมกำลังรู้ก็มีเพียงนางเป็นสตรีที่งดงามจนสะกดสายตาของผู้คนได้เท่านั้น
ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เช่นที่นางสวมใส่อยู่ในขณะนี้ คงไม่มีใครจำนางได้อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วฉินอวี้โม่จึงไม่มีความกังวลใด ๆ ในเรื่องนี้
หลังจากเข้าไปในเมืองเยี่ยหลาย นางก็ตามหาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดเพื่อขอเข้าพักแรม
ภายในห้องโถงรับรองของโรงเตี๊ยมมีคนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งจับเข่าสนทนากันอย่างออกรส
“พวกเจ้าคิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มาจากที่ใดกัน ? พรสวรรค์ของนางช่างน่ากลัวยิ่งนัก ด้วยสงครามเพียงครั้งเดียวก็สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้แล้ว”
คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น บทสนทนานี้ดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่ไม่น้อย
“ใครจะทราบได้เล่า ข้าไม่เคยได้ยินคนชื่อนี้มาก่อน ว่ากันว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่งามพอจะล่มเมืองได้เลย ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงหรือไม่”
อีกคนกล่าวโต้ตอบ น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
”ข้าได้ยินว่านางมีอสูรมายาเป็นกองทัพ หนึ่งในนั้นมีอสูรพฤกษาที่หายากอยู่ด้วย ดูแล้วนางคงเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่มีพรสวรรค์สูงอย่างแน่นอน”
อีกคนอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขาเองก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคนชื่อนี้มาไม่น้อยเช่นกัน
“หึ ๆ ๆ ข้าคิดว่าเรื่องนั้นคงไม่ผิดแน่ มิเช่นนั้นแล้วนางคงจะทำลายหุบเขาหงส์ร่วงจนราบเป็นหน้ากลองไม่ได้หรอก”
“พวกเจ้าว่างานชุมนุมวายุเมฆาในครั้งนี้ ฉินอวี้โม่จะเข้าร่วมด้วยหรือไม่ ? ถ้านางปรากฏตัวจริง ๆ คงจะน่าสนุกไม่น้อย”
คนผู้หนึ่งตั้งคำถามที่ดูน่าสนใจขึ้นมา และคำพูดนี้ก็ดึงดูดความสนใจของฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก
เรื่องงานชุมนุมวายุเมฆานางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่ฟังดูจากชื่อแล้วก็น่าจะเป็นงานชุมนุมที่น่าสนใจไม่น้อย
“ขออภัยทุกท่านที่เข้ามาขัดจังหวะ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่างานชุมนุมวายุเมฆาที่ว่ามันคืองานอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉินอวี้โม่จึงอดถามออกไปไม่ได้
ได้ยินคำถามของฉินอวี้โม่ กลุ่มคนที่สนทนากันอยู่ซึ่งมีทั้งหญิงและชายต่างก็หันไปมองนางเป็นตาเดียว
เมื่อเห็นว่าผู้ถามคือบุรุษในชุดสีขาวที่สวมหน้ากากอยู่ คนเหล่านั้นก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อดูจากท่าทาง กลิ่นอายและผิวพรรณ รวมถึงบรรยากาศโดยรอบแล้ว ทุกคนก็พอจะมองออกจากชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นบุคคลชั้นสูงแน่ ด้วยเหตุนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจกว่าปกติ
“ฮ่า ๆ ๆ น้องชายไม่รู้จักงานชุมนุมวายุเมฆาจริง ๆ หรือ ?”
ชายผู้หนึ่งมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาคิดว่าไม่น่าจะมีคนที่ไม่รู้จักงานนี้
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าไปมา “หลายปีมานี้ข้าทุ่มเทกับการฝึกยุทธ์จนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกมาพบหน้าผู้คน หากไม่เป็นการรบกวน พี่ชายช่วยเล่าเรื่องงานชุมนุมวายุเมฆาให้ข้าฟังได้หรือไม่ ?”
พอได้ยินคำอธิบายที่สมเหตุผลของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็พยักหน้าและไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป
ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มีจอมยุทธ์ลึกลับอยู่มากมายนับไม่ถ้วน บางคนเก็บตัวอยู่ในป่าเขาไม่เคยได้ออกมาพบปะผู้คนจึงไม่รู้เรื่องโลกภายนอก บุรุษสวมหน้ากากตรงหน้าพวกเขาในขณะนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์เหล่านั้น
จอมยุทธ์ลึกลับพวกนี้ส่วนมากล้วนเป็นคนที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงดูยำเกรงฉินอวี้โม่นัก
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟัง
งานชุมนุมวายุเมฆาเป็นงานใหญ่ของดินแดนอ้างว้างที่จะจัดขึ้นทุก ๆ ยี่สิบปี
ในงานนี้จะมีคนมากมายจากทุกขุมกำลังไปเข้าร่วมเพื่อหาประสบการณ์ รวมถึงล่าของรางวัล
ทุกคนที่มีอายุไม่เกินสามสิบปีสามารถเข้าร่วมแข่งขันในงานชุมนุมครั้งนี้ได้ การจะเข้าร่วมงานนี้จะต้องผ่านการทดสอบด้วยวิธีการพิเศษซึ่งก็จะเปลี่ยนไปทุก ๆ ปี แต่ทุกคนที่จะเข้าร่วมได้นั้นต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้ที่ได้อันดับดี ๆ ในงานชุมนุมวายุเมฆาจะได้รับสมบัติที่ล้ำค่าเป็นรางวัล ของรางวัลทุกอย่างล้วนมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อการฝึกฝนในอนาคต แม้ว่าจะไม่ได้อันดับดี ๆ แต่ขอเพียงเข้าร่วมก็จะได้ของบางอย่างเป็นการตอบแทน
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกขุมกำลังในดินแดนอ้างว้างต่างก็ส่งผู้มีพรสวรรค์ที่อายุไม่เกินสามสิบปีของขุมกำลังตนเองไปเข้าร่วม เพื่อหวังชิงรางวัลและสร้างชื่อเสียง
นอกจากนี้แล้ว ขุมกำลังใหญ่ในดินแดนอ้างว้างจะใช้งานนี้เป็นการหยั่งเชิงและประเมินกำลังของขุมกำลังอื่น ๆ ด้วย
ดังนั้นแล้ว งานชุมนุมวายุเมฆาจึงเป็นงานที่ทุกคนในดินแดนอ้างว้างจะพลาดไม่ได้เลย
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของชายผู้นั้น ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าเบา ๆ
สถานที่จัดงานชุมนุมวายุเมฆาก็คือเมืองเฟิงอวิ๋นซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือนับจากเมืองที่นางอยู่
งานใหญ่นี้ดึงดูดความสนใจของนางเป็นอย่างมาก เรื่องรางวัลก็เรื่องหนึ่ง แต่เหตุผลที่นางไม่ควรพลาดงานนี้ก็คือ งานนี้เป็นงานใหญ่ที่ทุกคนจะรู้กันทั่วไป ดังนั้นโอกาสที่หานโม่ฉือจะได้ยินเรื่องนี้และเดินทางมาจึงมีอยู่สูงมาก นางสามารถใช้เมืองเฟิงอวิ๋นซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเป็นสถานที่รวมตัวได้
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามต่อด้วยรอยยิ้ม
“งานนี้จะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่หรือ ?”
“อีกสามเดือนหลังจากนี้ ถ้าน้องชายสนใจก็ลองไปที่เมืองเฟิงอวิ๋นเพื่อเยี่ยมชมบรรยากาศในงานก่อนได้”
ชายผู้นั้นกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม นางไม่ถามสิ่งใดอีกและเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของโรงเตี๊ยมเพื่อติดต่อขอเข้าพัก
ดูแล้วขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเองก็คงเข้าร่วมงานชุมนุมในครั้งนี้อย่างแน่นอน บวกกับโอกาสที่จะได้พบหานโม่ฉือทำให้ฉินอวี้โม่ติดสินใจเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปที่เมืองอวิ๋นเฟิงแทนโดยไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง
จากเมืองที่นางอยู่ในตอนนี้ ถ้าจะไปให้ถึงเมืองเฟิงอวิ๋น หากเดินตามถนนจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน ฉินอวี้โม่สามารถใช้โอกาสนี้ในการหาประสบกาารณ์ขัดเกลาพรสวรรค์ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจพักค้างคืนที่เมืองเยี่ยหลายหนึ่งวันและจะเริ่มออกเดินทางไปที่เมืองเฟิงอวิ๋นในวันรุ่งขึ้น
หลายคนในห้องโถงยังคงไม่ละสายตาจากฉินอวี้โม่ สายตาที่ทุกคนมองนางเต็มไปด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดไปว่าฉินอวี้โม่คือจอมยุทธ์ลึกลับ การที่นางจะมีกลิ่นอายหรือบรรยกาาศที่ดูแปลกไปบ้างก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนั้นทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปชวนนางพูดคุย
หลังจากนั่งอยู่ในห้องโถงรับรองอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกโรงเตี๊ยมเพื่อจะสำรวจเมืองแห่งนี้เสียหน่อย
เมืองเยี่ยหลายเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก จำนวนประชากรก็ไม่ได้เยอะ หลังจากเดินไปได้ไม่นานนางก็พบโรงประมูลแห่งหนึ่ง
คุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งหวนหลิงยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าไปในโรงประมูลแห่งนั้น
ตั้งแต่ที่นางมาดินแดนอ้างว้าง นางยังไม่เคยเห็นโรงประมูลของที่นี่มาก่อน ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีสิ่งใดน่าสนใจบ้างหรือไม่
คนงานของโรงประมูลแห่งนี้มีอยู่ไม่มาก เมื่อเถ้าแก่ของโรงประมูลเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามาก็เดินเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้ม
“คุณชายต้องการนำของออกประมูลหรือว่ามาเพื่อหาซื้อสินค้าขอรับ ?”
เป็นปกติของโรงประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะนำสิ่งของออกประมูลก็จริง แต่หากมีการขอซื้อสินค้าก่อนนำออกประมูลก็ได้เช่นกัน แต่ราคาก็อาจจะสูงอยู่สักหน่อย
“ข้าลองเข้ามาดูสิ่งที่น่าสนใจ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่มีอะไรมาเสนอบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวถาม
บรรยากาศและกลิ่นอายแห่งความสูงส่งของฉินอวี้โม่ทำให้เถ้าแก่ดูจะเคารพนางเป็นพิเศษ
“ฮ่า ๆ ๆ คุณชายโปรดนั่งลงก่อน ข้าจะนำรายการสินค้าที่เราขายมาให้ดูเดี๋ยวนี้”
เถ้าแก่ยิ้มก่อนจะให้คนนำชามาให้ฉินอวี้โม่ ขณะที่เขาเดินไปที่โต๊ะทำงาน
ไม่นานนักเถ้าแก่ก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้นาง
“นี่คือรายการสินค้าที่ทางเราขายอยู่ เชิญคุณชายค่อย ๆ ดู”
หลังจากส่งสมุดบัญชีให้ฉินอวี้้โม่แล้ว เถ้าแก่ก็อยู่ข้าง ๆ นางเพื่อรอฟังว่านางต้องการสินค้าชิ้นไหน
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางเปิดสมุดบัญชีนั้นดูอย่างช้า ๆ
ภายในสมุดเล่มนี้มีรายการสินค้าที่จัดหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแก่นมายา ผลึกพลังชีวิต โอสถ วัตถุดิบต่าง ๆ ตำราทักษะยุทธ์หรือแม้แต่อสูรมายาก็มีให้เลือก
ซื้ออย่างหลากหลาย
แก่นมายา ผลึกพลังชีวิตและอสูรมายาไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่สนใจ ตอนนี้สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่หมวดตำราทักษะยุทธ์และวัตถุดิบ
โดยเฉพาะหมวดวัตถุดิบในการหลอมอาวุธซึ่งจะมีผงโลหะหายากต่าง ๆ รายการนี้นางดูนานเป็นพิเศษ
หลังจากดูอย่างละเอียดก็พบว่ายังไม่มีสิ่งที่ต้องการ โรงประมูลในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ก็คล้ายกับในดินแดนหวนหลิงที่นางจากมา
ภายในรายการวัตถุดิบยังไม่มีสินค้าใดที่นางสนใจ แม้ระดับของวัตถุดิบจะไม่ใช่ต่ำ ๆ ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีอันไหนที่เป็นประโยชน์กับนางมากนัก
หลังจากดูไปจนถึงรายการสุดท้ายก็ซึ่งเป็นหมวดตำราทักษะยุทธ์ก็ยังไม่พบสิ่งที่น่าสนใจ
“เถ้าแก่ไม่มีสินค้าอื่นอีกแล้วหรือ ?”
นางส่งสมุดบัญชีคืนให้เถ้าแก่ก่อนจะกล่าวถาม
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เถ้าแก่ก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่เขาก็เข้าใจดี ดูเหมือนว่าสินค้าในรายการทั้งหมดนี้จะไม่อยู่ในสายตาของ ‘คุณชาย’ ผู้นี้
“คุณชายกำลังมองหาสินค้าแบบไหนอย่างนั้นรึ ?”
เถ้าแก่ถามเพื่อให้ฉินอวี้โม่เจาะจง บางทีเขาอาจจะช่วยหาสิ่งที่นางต้องการได้
“ข้าอยากจะได้สิ่งที่พิเศษ สิ่งที่หายากมาก ๆ ท่านพอจะมีบ้างไหม ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวถามด้วยรอยยิ้มซึ่งก็ยังเป็นคำถามที่กว้างมากอยู่ดี
เมื่อได้ยินคำถามนั้น เถ้าแก่ก็ยิ่งมั่นใจว่าฉินอวี้โม่ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ชายหนุ่มผู้นี้คงเป็นสุดยอดฝีมือหรือไม่ก็คุณชายผู้สูงศักดิ์เป็นแน่ สิ่งของทั่ว ๆ ไปคงไม่อยู่ในสายตาคนระดับนี้
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เถ้าแก่ก็กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย โรงประมูลของเราบังเอิญได้ของหายากมากมา ไม่ทราบว่าคุณชายอยากจะชมหรือไม่”
หลังจากได้ยินที่เถ้าแก่กล่าว ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
ดูจากท่าทางของเถ้าแก่แล้วของสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ และคงไม่ใช่ของที่จะนำออกมาขายง่าย ๆ มิฉะนั้นคงใส่เข้ามาในรายการสินค้าพวกนั้นแล้ว น่าสงสัยจริง ๆ ว่าของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่
“ฮ่า ๆ ๆ หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าอยากจะขอชมหน่อยจะได้หรือไม่ ข้าชื่นชอบการสะสมของหายาก ถ้าข้าถูกใจ เรื่องราคามิใช่ปัญหา”
ฉินอวี้โม่กล่าวโดยวางท่าไม่ต่างจากลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่
จริง ๆ จะกล่าวว่านางเป็นเศรษฐีก็ไม่ผิดนักเพราะก่อนจะออกจากเมืองลั่วหยาง นางได้นำของหายากต่าง ๆ ที่นำมาจากดินแดนหวนหลิงไปแลกเป็นผลึกวิญญาณจนเกือบหมด ในตอนนี้นางมีผลึกวิญญาณอยู่ในครอบครองอย่างน้อย ๆ ก็หลายพันชิ้น ซึ่งถือว่าเป็นระดับเดียวกับเศรษฐีเลยทีเดียว
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
เถ้าแก่กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง
เขานำหีบไม้เล็ก ๆ หีบหนึ่งออกมาจากแหวนมิติก่อนจะยื่นให้ฉินอวี้โม่ดู
.