หลังจากพูดคุยกับเถ้าแก่ของโรงประมูลอยู่อีกครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็บอกลาก่อนจะออกมาจากโรงประมูล
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ทิ้งของมีค่าหลายอย่างเอาไว้ที่นั่น แม้ว่าเถ้าแก่จะยืนกรานว่าจะไม่ขอรับของจากนาง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความแน่วแน่ของฉินอวี้โม่
ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพที่นางได้มาในวันนี้มีค่าเกินกว่าที่นางจะเอามาเปล่า ๆ ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเถ้าแก่ นางคงไม่มีวาสนาจะได้มันมาครอบครอง
เมื่อเห็นความตั้งใจของฉินอวี้โม่ เถ้าแก่ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมันเท่านั้น
หลังจากออกจากโรงประมูล ฉินอวี้โม่ก็ตั้งใจจะเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม
เวลานี้เป็นยามเย็นแล้ว นางอยากจะกลับไปเพื่อเริ่มศึกษาข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ออกจากโรงประมูลมาได้ไม่นาน นางก็เห็นคนจำนวนมากกำลังวิ่งออกไปนอกเมืองอย่างรีบร้อน สีหน้าแววตาดูตื่นเต้นกันมาก
เมื่อเห็นท่าทางของคนเหล่านั้น ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนอกเมืองอย่างนั้นหรือ เหตุใดทุกคนถึงได้ดูรีบร้อนกันเช่นนั้น ?
“พี่ชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นอกเมืองอย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปหยุดชายคนหนึ่งที่กำลังผ่านหน้านางไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ชายคนนั้นหยุดด้วยท่าทางที่หงุดหงิดเล็กน้อยเพราะถูกขัดจังหวะ แต่เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายที่เริดหรูและบรรยากาศที่ดูสูงศักดิ์สิทธิ์ของคนตรงหน้า อาการหงุดหงิดของเขาก็หายไปในบัดดล
คนในโลกนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ยำเกรงผู้ที่สูงส่งกว่า ยิ่งอีกฝ่ายใส่หน้ากากอำพรางใบหน้าก็ยิ่งดูลึกลับน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก
“พี่ชายยังไม่รู้หรือ ตอนนี้มีคนสองกลุ่มกำลังจะเปิดศึกกันใกล้ ๆ เมืองของเรานี่เอง ถ้าไม่อยากพลาดเรื่องสนุกก็ต้องรีบแล้ว”
ชายผู้นั้นกล่าวอธิบายอย่างเรียบง่าย
“โอ้ ?! ข้าไม่ทราบเรื่องนั้นจริง ๆ แล้วสองกลุ่มที่ว่าเป็นกลุ่มใดรึ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะกล่าวถามต่อ
นางไม่ใช่ผู้ที่ชอบดูผู้อื่นตีกันหรือคิดว่ามันเป็นเรื่องสนุก ฉะนั้นถ้าสองกลุ่มที่ว่านั่นไม่ใช่กลุ่มที่นางสนใจ นางก็จะไม่เสียเวลาไปดูและเลือกกลับไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อศึกษาข่ายอาคมแทน
“ข้ารู้เพียงแค่ว่าหนึ่งในนั้นก็คือกลุ่มราชาสวรรค์ที่นำโดยฉีอวิ๋นเหล่ยที่อยู่ในอันดับหกของทำเนียบรุ่นเยาว์ ส่วนอีกกลุ่มข้าไม่รู้จัก”
ชายผู้นั้นบอกฉินอวี้โม่ไปตามตรง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ไม่ถามอะไรอีก เขาจึงรีบวิ่งไปทางประตูเมืองทันทีเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสชมเรื่องสนุก ๆ
เมื่อได้ยินชื่อฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินอวี้โม่ก็ตกใจเล็กน้อย
ถ้านางจำไม่ผิด ก่อนที่จะมาดินแดนอ้างว้าง เหวินหย่าและฉีเยวี่ยนเวยเคยบอกเรื่องหนึ่งกับนาง
พวกเขาบอกกับนางว่าในดินแดนอ้างว้างที่นางกำลังจะไป มีคนจากต้นตระกูลเดียวกันกับองค์จักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋นตั้งถิ่นฐานอยู่ ขุมกำลังนั้นมีชื่อว่าราชาสวรรค์
และยังได้มอบแผ่นป้ายแผ่นหนึ่งไว้ให้นาง ถ้านางต้องการความช่วยเหลือก็ให้นำป้ายแผ่นนั้นไปให้ผู้นำแห่งขุมกำลังราชาสวรรค์
และฉีอวิ๋นเหล่ยผู้นี้ก็คือบุตรของผู้นำแห่งกลุ่มราชาสวรรค์คนปัจจุบัน เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงและยังมีชื่อติดอันดับหกของทำเนียบรุ่นเยาว์
ในเมื่อมีโอกาสได้พบกับคนจากตระกูลเดียวกันกับองค์จักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋น ฉินอวี้โม่จึงรีบมุ่งไปยังประตูเมืองโดยไม่รอช้า
นางอยากรู้จริง ๆ ว่าฉีอวิ๋นเหล่ยผู้นี้จะเป็นคนแบบไหนกัน ? แล้วคนที่สู้กับเขาอยู่เป็นผู้ใด ?
ไม่ไกลจากเมืองเยี่ยหลายมีป่าแห่งหนึ่งที่เรียกว่าป่ารัตติกาล ป่าแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก และถือเป็นหนึ่งในเส้นทางที่คนนิยมใช้หากต้องการไปที่เมืองเฟิงอวิ๋น ปกติแล้วในป่านี้ก็ไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามาเท่าใดนัก แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้วันงานชุมนุมวายุเมฆาของเมืองเฟิงอวิ๋นจึงทำให้ป่ารัตติกาลแห่งนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ
ในตอนนี้คนจำนวนมากมารวมตัวกันในป่าแห่งนี้ ภายในวงล้อมขนาดใหญ่ของกลุ่มคนที่มายืนมุงมีกลุ่มคนสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
“ฉีอวิ๋นเหล่ย ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าถ้าข้าเห็นหน้าเจ้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวเสียงดังพลางชี้นิ้วใส่บุรุษที่ยืนอยู่ตรงข้าม ชายหลายคนที่อยูด้านหลังของเขาต่างก็มีสีหน้าแววตาที่ดุร้าย บุรุษผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา แต่น่าเสียดายที่บนใบหน้ากลับมีแผลเป็นจึงทำให้เขาออกไปทางน่ากลัวสักเล็กน้อย กอปรกับแววตาที่ดูขุ่นมัวของเขาทำให้ผู้คนไม่อยากจะเข้าไปใกล้
“จูตี๋ เจ้าคิดหรือว่าคนอย่างเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยคือจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่อยู่อันดับหกของทำเนียบ แม้ว่าจะไม่ติดหนึ่งในห้าแต่พรสวรรค์ของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรกเลย แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยยอมเผยพลังในการต่อสู้ ครั้งสุดท้ายที่เห็นเขาสู้ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน มิฉะนั้นแล้วอันดับของเขาก็คงไม่ด้อยไปกว่าจูฉีอย่างแน่นอน
ฉีอวิ๋นเหล่ยมีใบหน้าหล่อไม่ด้อยไปกว่าจูตี๋ หากแต่ดูอ่อนโยนและน่าคบหากว่ามาก กลิ่นอายและบรรยากาศจากตัวเขาทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกอบอุ่นและสบายใจ
เมื่อดูจากลักษณะของคิ้วแล้ว เขาผู้นี้ก็ดูคล้าย ๆ ฉีอวี้ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะมีสายเลือดเดียวกัน
“เหอะ ฉีอวิ๋นเหล่ย คิดหรือว่าด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ ?”
บุรุษที่ถูกเรียกขานว่าจูตี๋กล่าววาจาเย็นชาพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันออกมาจากร่างเพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม
จูตี๋ผู้นี้ถือเป็นบุคคลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแผ่นดินนี้
เขาอายุสามสิบปี ระดับพลังอยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพขั้นสูงสุด เขาคือผู้มีที่มีชื่อติดอยู่ในอันดับที่สี่สิบเก้าของทำเนียบพิภพ อีกทั้งยังเป็นคุณชายใหญ่แห่งกลุ่มพญายม มีศักดิ์เป็นพี่ของจูฉีและเป็นบุตรชายของจูอวิ๋นชางซึ่งกำลังมีความแค้นกับฉินอวี้โม่
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา กลุ่มราชาสวรรค์กับกลุ่มพญายมถือเป็นอริกันอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จูตี๋จะเข้ามาหาเรื่องฉินอวิ๋นเหล่ยทันทีที่พบเห็น
หลายปีก่อนพวกเขาเคยสู้กันมาครั้งหนึ่งแล้ว แม้ตอนนั้นจะไม่มีผู้แพ้ชนะแต่ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ฝากรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้าของจูตี๋ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้จูตี๋เกลียดคนตรงหน้าจนเข้ากระดูก
ทางฝ่ายฉีอวิ๋นเหล่ยเองก็ไม่ชอบความโอหังของจูตี๋และกลุ่มพญายมของเขาเช่นกัน
กลุ่มพญายมเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่ไร้ยางอายที่สุด กลุ่มราชาสวรรค์เกลียดชังพวกเขามาก ส่วนกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชาสวรรค์ก็คือกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ
ทุกครั้งที่ได้พบกัน ฉีอวิ๋นเหล่ยจะถูกจูตี๋และจูฉีดูหมิ่นเหยียดหยาม
จนครั้งล่าสุด เป็นเพราะอดกลั้นมานานจนสุดจะทน ฉีอวิ๋นเหล่ยจึงงัดเอาไพ่ตายออกมาใช้และเล่นงานจูตี๋จนใบหน้ามีรอยแผล
ในตอนนั้นจูตี๋ได้ประกาศเอาไว้ว่าหากเขาพบหน้าฉีอวิ๋นเหล่ยอีกครั้ง เขาจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไปได้แน่
อย่างไรก็ตาม ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ไม่ได้สนใจ เพราะยังไงสักวันกลุ่มราชาสวรรค์กับกลุ่มพญายมก็คงต้องเปิดศึกกันอยู่แล้ว
“จูตี๋ ครั้งก่อนถูกข้าเล่นงานไปยังไม่หลาบจำอีกรึ ? แม้พลังของเจ้าจะถึงระดับจ้าวพิภพขั้นสูงสุดแต่ถ้าข้าตอบโต้เต็มกำลัง เจ้าเองก็คงต้องบาดเจ็บไม่น้อย เช่นนั้นแล้วเราจะสู้กันให้มันได้อะไรขึ้นมา”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวเพื่อเลี่ยงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่ในใจเขาไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย
จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากต่อสู้กับจูตี๋ผู้นี้ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเขา เขาจึงไม่มีทางเลือก ตัวเขาไม่อยากจะเสียแรงหรือเปิดเผยไพ่ตายก่อนงานสำคัญ แต่ถ้าคนผู้นี้ยังคิดจะลองดี เขาก็จะใช้ไพ่ตายทั้งหมดเพื่อตอบโต้ให้รู้แล้วรู้รอด
“เหอะ ถ้าเจ้าไม่อยากสู้ก็ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าก้มหัวขอโทษข้า ข้าก็จะไม่ถือสาเอาความและปล่อยเจ้าไป หากว่าเจ้าไม่ยอม วันนี้เราจะได้สะสางความแค้นทั้งหมดให้มันจบสิ้นไป”
จูฉีกล่าววาจาข่มขู่
เขาเองก็ทราบดีว่างานชุมนุมวายุเมฆากำลังจะเริ่มขึ้น แต่ในเมื่อมีโอกาสได้พบฉีอวิ๋นเหล่ยทั้งที ถ้าไม่เข้าไปหาเรื่องก็คงไม่ใช่นิสัยของเขา
“จูตี๋ เจ้าฝันไปเถอะ!”
ชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของฉีอวิ๋นเหล่ยโพล่งวาจาออกมาอย่างเหลืออด
“จะใช่ความฝันหรือไม่ เจ้าเข้ามาลองดูได้!”
จูตี๋กล่าวเสียงแข็งพร้อมกับจิตสังหารที่กระจายออกมาจากร่างจนปกคลุมไปทั่ว
วันนี้ฝ่ายราชาสวรรค์นำคนมาด้วยเพียงสิบกว่าคน ขณะที่ฝ่ายพญายมของจูตี๋พาคนมาเกือบร้อย เห็นได้ชัดเลยว่าฝ่ายจูตี๋เหนือกว่ามาก โอกาสที่จะแพ้นั้นแทบไม่มีเลย
“ฮ่า ๆ ๆ น่าขำ ทำไมข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ทำไมต้องก้มหัวให้ แม้ว่าเจ้าจะมีคนมากกว่าแต่ก็อย่าคิดว่าเราจะต้องกลัวเจ้า”
ฉีอวิ๋นเหล่ยหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าววาจาเย้ยหยัน
จูตี๋ประเมินพวกเขาต่ำเกินไปแล้ว ต่อให้มีคนมากกว่าก็เถอะ แต่ถ้าสู้กันจริง ๆ ก็ไม่แน่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ
“เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราใช้คนมากรังแกคนน้อยก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉีอวิ๋นเหล่ย จูตี๋ก็ไม่คิดจะเจรจาให้เสียเวลาอีก ร่างของเขาหายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีฉีอวิ๋นเหล่ย
ฉีอวิ๋นเหล่ยทะยานออกไปรับมืออย่างไม่รอช้า ดูเหมือนการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว คนจากกลุ่มราชาสวรรค์และกลุ่มพญายมคนอื่น ๆ ต่างก็พุ่งเข้าตะลุมบอน
การต่อสู้ของขุมกำลังระดับสูงทั้งสองดึงดูดความสนใจของคนได้มากเลยทีเดียว ไม่นานคนจำนวนมากก็มามุงดูกันจนแน่นไปหมด
การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือระดับสูงไม่ใช่จะหาดูได้ง่าย ๆ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีชื่อติดในทำเนียบ ขอเพียงได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้กับตาก็สามารถนำไปคุยให้ผู้อื่นฟังได้อีกนาน
ฉินอวี้โม่ที่ปะปนอยู่ในฝูงชนกำลังมองดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ เพื่อรอคอยโอกาส
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางก็คิดว่าวันนี้คงจะยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้
ฉีอวิ๋นเหล่ยคือผู้ที่มีเชื้อสายเดียวกันกับจักรพรรดิแห่งนครไป๋อวิ๋นซึ่งเป็นบ้านเกิดของคนตระกูลฉิน ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งไม่ต้องกล่าวถึง เพราะขุมกำลังพญายมเป็นขุมกำลังที่นางเกลียดเป็นอันดับต้น ๆ ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ฉินอวี้โม่ก็สร้างเรื่องมามากแล้ว ฉะนั้นหากเผยตัวออกไปก็จะยิ่งสร้างปัญหาที่หนักหนาขึ้น จะเรียกอสูรมายาออกมาก็ไม่ได้อีก เพราะคงมีหลายคนจดจำอสูรมายาที่นางเคยใช้ได้
จะให้เรียกเสี่ยวม่านออกมาเพื่อให้เรียกอสูรที่บ้าคลั่งเข้ามาแทรกแซงการต่อสู้ก็เสี่ยงเกินไป ฉะนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรอคอยโอกาส
ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของจูตี๋และฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ธรรมดาเลย แม้ว่าดูเหมือนพวกเขาจะยังไม่ใช้พลังเต็มที่ แต่การต่อสู้ของพวกเขาก็น่าตื่นตาตื่นใจมาก
พวกเขาไม่ได้เรียกอสูรมายาหรือใช้นภายุทธ์เลยด้วยซ้ำ เพียงแค่ปะทะกันด้วยกระบวนท่าก็ทำให้หลายคนอ้าปากค้างได้แล้ว
ความแข็งแกร่งของจูตี๋เหมือนจะเหนือกว่าฉีอวิ๋นเหล่ยอยู่ขั้นหนึ่ง แต่ในด้านกระบวนท่าและความเฉียบขาด ฉีอวิ๋นเหล่ยดูเหนือกว่า
ประสบการณ์ในการต่อสู้ของฉีอวิ๋นเหล่ยคงจะโชกโชนมาก เขาหลบหลีกการโจมตีของจูตี๋ได้อย่างง่ายดาย หลายครั้งเขาสามารถเคลื่อนตัวไปยังจุดที่ทำให้ได้เปรียบ ดังนั้นแล้วแม้ว่าจะแข็งแกร่งกว่าแต่จูตี๋ก็ไม่อาจเผด็จศึกฉีอวิ๋นเหล่ยได้
หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ฝ่ายราชาสวรรค์ที่มีคนน้อยกว่าก็เริ่มตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
ในตอนนี้คนที่ฉีอวิ๋นเหล่ยพามาด้วยถูกฝ่ายพญายมที่มีคนมากกว่าปิดล้อมไว้หมดแล้ว สถานการณ์ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก
แม้ความแข็งแกร่งของคนในฝ่ายราชาสวรรค์จะไม่ใช่น้อย ๆ แต่เป็นเพราะต้องต่อสู้ยืดเยื้อกับฝ่ายที่มีคนมากกว่าทำให้ตกเป็นรองในที่สุด ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่นานพวกเขาคงพ่ายแพ้แน่
เมื่อเห็นว่าราชาสวรรค์กำลังจะเป็นฝ่ายแพ้ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น อดีตนักฆ่าสาวอดใจไม่ไหวและเตรียมจะรุดเข้าไปช่วย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันจะลงมือก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน
“ฮ่า ๆ ๆ ดูครึกครื้นกันจังเลยนะ”
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนนับสิบก็เดินเข้ามา
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นและเห็นกลุ่มคนที่กำลังตรงเข้ามา สีหน้าของจูตี๋ก็ปั้นยากขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันทางฝ่ายฉีอวิ๋นเหล่ยกลับมีรอยยิ้มเผยออกมาเพราะกลุ่มที่กำลังมาเป็นฝ่ายเดียวกับเขา