“เหวินซื่อชู่ เจ้าเองรึ !”
สีหน้าของจูตี๋บึ้งตึงขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปมองบุรุษที่กำลังเดินนำกลุ่มคนที่มีอยู่ประมาณสิบคนเข้ามาพลางตวาดด้วยเสียงอันดัง
เหวินซื่อชู่ผู้นี้คือผู้ที่มีพรสวรรค์สูงมาก เขามีชื่อติดอยู่ในอันดับที่สองของทำเนียบรุ่นเยาว์ นายน้อยแห่งขุมกำลังผู้นี้เก่งกล้าไร้คู่เปรียบ เขาเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งและยิ้มยาก อีกทั้งยังไม่เคยเป็นศัตรูหรือมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด
ทว่าหากเขาปรากฏตัวขึ้นที่ใดก็ตาม จะไม่มีผู้ใดกล้ามองข้ามเขาแม้แต่คนเดียว
“พี่เหวิน”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มอ่อน ๆ พลางกล่าวทักทายเหวินซื่อชู่
“พี่ฉี”
ทั้งคู่พยักหน้าให้กันอย่างอบอุ่นซึ่งก็บ่งบอกถึงมิตรภาพที่ดีของทั้งสอง
“ที่นี่ไม่ใช่เขตแดนของขุมกำลัง ‘ไร้คู่เปรียบ’ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?”
แม้ปากจะพ่นวาจาต่อว่าอีกฝ่าย แต่ดูจากท่าทางแล้วจูตี๋คล้ายจะกลัวเหวินซื่อชู่และขุมกำลังไร้คู่เปรียบมากอยู่
เมื่อเทียบกับราชาสวรรค์ ขุมกำลัง ‘ไร้คู่เปรียบ’ ที่ว่านี้แข็งแกร่งและลึกลับกว่ามาก สถานะของพวกเขาก็สูงและมั่นคงกว่า ยิ่งกว่านั้น ไร้คู่เปรียบยังเป็นกลุ่มที่อยู่ในดินแดนอ้างว้างมายาวนานจึงมีประสบการณ์และรากฐานที่เข้มแข็ง
ในด้านของรากฐานนั้น ยากนักที่จะยกขุมกำลังใดมาเทียบพวกเขาได้ ช่างสมกับชื่อ ‘ไร้คู่เปรียบ’ เสียจริง ๆ
“ชิ ! ที่นี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของกลุ่มพญายมเช่นกัน พวกเจ้ายังมาได้ แล้วเหตุใดพวกข้าจะมาไม่ได้”
เด็กสาวในชุดสีเหลืองที่ดูมีเสน่ห์ซึ่งอยู่ข้าง ๆ เหวินซื่อชู่กล่าวขึ้นมา แม้ว่าคำพูดจะดูโอหังมาก แต่น้ำเสียงของนางก็น่าฟังไม่น้อย
“พี่อวิ๋นเหล่ย พวกเราไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
เด็กสาวผู้นั้นวิ่งเข้าไปหาฉีอวิ๋นเหล่ยก่อนจะดึงแขนของเขามากุมกอดอย่างสนิทสนม ดูเหมือนว่านางเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายตระกูลฉีผู้นี้ไม่น้อย
“จวิ้นเอ๋อร์ เจ้าโตขึ้นมากเลยนะ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มก่อนจะลูบหัวนางอย่างเอ็นดู
ดรุณีน้อยผู้นี้ก็คือบุตรีของผู้นำแห่งขุมกำลังไร้คู่เปรียบ — ซูเสี่ยวจวิ้น นางไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก แต่ด้วยพรสวรรค์อันเยี่ยมยอดที่ติดตัวนางมาก็ทำให้นางติดอยู่ในอันดับเก้าสิบแปดของทำเนียบรุ่นเยาว์ได้เลย
ดูจากภายนอก นางน่าจะอายุราว ๆ สิบสี่ถึงสิบห้าปี นางเป็นเด็กสาวที่ขี้เล่นและน่ารักสดใสอย่างยิ่งจนไม่ว่าผู้ใดก็อยากเข้าใกล้
“เหวินซื่อชู่ วันนี้เป็นเรื่องระหว่างพญายมกับราชาสวรรค์ ข้าหวังว่าไร้คู่เปรียบจะไม่เข้ามาแทรกแซง”
สีหน้าของจูตี๋บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ทว่าเขาพยายามควบคุมเอาไว้เพราะไม่อยากจะแสดงความโกรธต่อหน้าเหวินซื่อชู่มากนัก
“ฮ่า ๆ ๆ จูตี๋ เจ้าไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับราชาสวรรค์หรอกหรือ ? เรื่องในวันนี้ อย่างไรเราก็อยู่เฉยไม่ได้ ข้าแนะนำให้เจ้ารีบถอยไปเสียดีกว่า พวกเราไม่อยากจะเสียแรงก่อนที่งานชุมนุมวายุเมฆาจะเริ่ม”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวขึ้นมาพลางจ้องตาจูตี๋ ภายในแววของนางไม่มีความกลัวปนอยู่เลย จะมีก็แต่เพียงความเย้ยหยันยั่วยุแฝงปนเท่านั้น
ไร้คู่เปรียบของพวกนางไม่ควรกลัวพญายมอยู่แล้ว…
แม้ว่าพวกเขาจะมีคนน้อยกว่าก็ตาม ทว่าเมื่อรวมกับราชาสวรรค์ พวกเขาก็จะมีคนประมาณเกือบ ๆ สามสิบคน จำนวนนี้ยังไม่ถึงครึ่งของฝ่ายพญายมด้วยซ้ำไป แต่ถ้าสู้กันจริง ๆ พวกเขาก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจำนวนคนแค่นี้เพียงพอจะเอาชนะฝ่ายพญายมได้
เมื่อได้ยินวาจายั่วยุของสาวน้อย ฉับพลันทันทีจูตี๋ก็มีสีหน้าที่ปั้นยากขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เขาทราบดีว่าหากต้องเผชิญหน้ากับราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบพร้อม ๆ กัน เห็นทีฝ่ายเขาคงไม่มีทางชนะ เช่นนี้แล้วคงไม่พ้นต้องถอยไปก่อนจะดีกว่า
“หือ นั่นมิใช่คนจากกลุ่มพญายม สหายของเราอย่างนั้นหรือ ?”
มีเสียงอีกเสียงดังมา เมื่อจูตี๋ที่กำลังคิดที่จะหนีได้ยินเสียงนั้น เขาก็ยิ้มออกมาในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ คุณชายใหญ่ตระกูลเฟิงช่างบังเอิญยิ่งนัก”
จูตี๋หันไปยิ้มให้กลุ่มผู้มาใหม่ซึ่งมีคนไม่ต่ำกว่าสิบคน
คนจากกลุ่มผู้มาใหม่นี้แต่งตัวโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก ทันทีที่เดินเข้ามา ทุกคนก็หันไปมองพวกเขาเป็นตาเดียว
กลุ่มผู้มาใหม่ทุกคนล้วนสวมชุดเกราะสีทองอร่าม ในมือถือดาบขนาดใหญ่ที่ดูทรงพลังมาก
ผู้ที่เดินนำหน้ามาอายุราว ๆ สามสิบ เขาสวมชุดเกราะแบบเดียวกับคนอื่น ๆ ทว่าในมือไม่ได้ถือดาบ และเขาก็จัดได้ว่าเป็นบุรุษรูปงาม ทว่าเมื่อเทียบรอยยิ้มของเขากับฉีอวิ๋นเหล่ยแล้ว กลับให้ความรู้สึกที่เสแสร้งจอมปลอมมากกว่า
“เฟิงอู๋ เจ้าเองรึ ?!”
เมื่อเห็นบุรุษผู้นั้น ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ผงะไปก่อนจะกล่าวขึ้นมา
บุรุษผู้นี้ก็คือคนจากตระกูลเฟิงซึ่งเป็นตระกูลลับใต้ดินของดินแดนอ้างว้าง เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับแนวหน้าของแผ่นดิน
แท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้ก็คืออสูรระดับจ้าวพิภพ —- ฟีนิกซ์บรรพกาล
ฟีนิกซ์ชนิดนี้พบได้ยากยิ่ง พวกมันเป็นอสูรมายาที่มีศักยภาพโดดเด่นตั้งแต่เกิด ด้วยความที่เป็นเผ่าอสูรมายาสายเลือดชั้นสูงจึงทำให้พวกมันมีพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
อย่างไรก็ตาม เฟิงอู๋ที่ดูเหมือนกับสุภาพบุรุษผู้นี้กลับสร้างชื่อให้ตนเองในด้านที่ไม่ดีนัก
ตระกูลเฟิงและกลุ่มพญายมถือเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นในความสัมพันธ์ต่อกัน ภายในขุมกำลังพญายมมีคนจากตระกูลเฟิงหลายคนกุมตำแหน่งสำคัญอยู่ ดังนั้นแล้วเมื่อเห็นเฟิงอู๋มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่และเดินเข้าไปอยู่ข้าง ๆ จูตี๋ ทุกคนจึงไม่ประหลาดใจนัก
“ฮ่า ๆ ๆ ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่ และซูเสี่ยวจวิ้น ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะรวมตัวกันอยู่ที่นี่”
เฟิงอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันขณะจ้องมองฉีอวิ๋นเหล่ย
“หรือว่าพวกเจ้าเองก็เข้าป่านี้มาเพื่อของสิ่งนั้นเหมือนกัน ?”
ด้วยคำถามนี้ของเฟิงอู๋ ฉินอวี้โม่ที่แอบฟังอยู่ไกล ๆ ก็อึ้งงัน
ของสิ่งนั้นที่ว่าคงจะเป็นสมบัติหรือของล้ำค่าบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ขนาดทายาทอสูรมายาชั้นสูงอย่างเจ้าก็ยังมาเพื่อของสิ่งนั้นเหมือนกันรึ ? ฉะนั้นการที่พวกข้ามาก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ฉีอวิ๋นเหล่ยตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ ๆ เช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบคุกเข่าขอขมาเสียเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือสำเร็จโทษพวกเจ้าให้ต้องอับอายขายหน้า”
เฟิงอู๋กล่าวเย้ยหยันด้วยรอยยิ้มที่ยั่วยุเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินคำพูดยั่วยุของเฟิงอู๋ สีหน้าของฉีอวิ๋นเหล่ยพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เหวินซื่อชู่ที่อยู่ข้าง ๆ ไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา ร่างของเขาหายไปพลันพุ่งเข้าจู่โจมเฟิงอู๋ทันที
ในฉับพลันทันใดฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายปะทะกันจนเกิดเสียงดังลั่น
“สมแล้วจริง ๆ ที่ติดอันดับสองของทำเนียบรุ่นเยาว์ เจ้าแข็งแกร่งจนทำให้ข้าประหลาดใจได้มากทีเดียว”
เฟิงอู๋กล่าวขณะจ้องมองเหวินซื่อชู่ ภายในแววตาของเขาแฝงด้วยความอิจฉาอยู่ส่วนหนึ่ง
เหวินซื่อชู่ไม่พูดให้เสียเวลา เขาเปิดฉากจู่โจมเฟิงอู๋อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักหายใจ
เมื่อเห็นเฟิงอู๋และเหวินซื่อชู่เปิดศึกกันอย่างดุเดือด ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ไม่ลังเลพลันพุ่งทะยานเข้าใส่จูตี๋ที่ยืนอยู่ตรงข้าม
คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างก็พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายหนึ่งจนสนามรบเกิดความโกลาหลขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกันขึ้นมาอีกหน ร่างของฉินอวี้โม่ที่ยืนหลบอยู่ในฝูงชนก็เกิดแสงสว่างวาบ จากนั้นในชั่วอึดใจต่อมา ร่างของนางก็หายไปเสียเช่นนั้นราวกับสลายไปในอากาศ
เสียงเมื่อครู่เป็นทักษะอีกอย่างของเสี่ยวม่านที่เรียกว่า ‘เสียงเร้นกาย’ วิชานี้จะทำให้ฉินอวี้โม่อยู่ในสภาพล่องหนได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขอเพียงศัตรูไม่ได้มีพลังยุทธ์ที่สูงส่งจนเกินไปก็ยากจะมองเห็นตัวนางได้
แน่นอนว่าวิชานี้มีระยะเวลาที่จำกัด ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเสี่ยวม่าน อย่างมากสุดก็จะคงสภาพล่องหนไว้ได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม แต่เวลาเพียงเท่านั้นก็มากพอจะให้ฉินอวี้โม่ลงมือทำอะไรได้แล้ว
ในสนามรบตอนนี้ คนจากพญายมและตระกูลเฟิงสี่คนกำลังรุมเล่นงานซูเสี่ยวจวิ้นอยู่
ซูเสี่ยวจวิ้นไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องสู้แบบหนึ่งต่อสี่ เพียงพริบตาเดียวนางก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนัก
ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ ย่องเข้าไปข้างหลังของหนึ่งในสี่คนนั้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะซัดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาเข้าใส่อย่างไม่ลังเลจนอีกฝ่ายสลบกลางอากาศและล้มไปกองบนพื้น
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนที่ยืนดูอยู่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่นัก พวกเขาต่างก็คิดว่านั่นเป็นฝีมือของซูเสี่ยวจวิ้น ฉะนั้นแล้วจึงไม่มีใครรับรู้ถึงความผิดปกติ
แต่ตัวซูเสี่ยวจวิ้นเองกลับผงะไป นางเบิกตากว้างด้วยสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางไม่ได้ลงมือกับคนผู้นั้น แต่อีกฝ่ายกลับล้มลงไป สาวน้อยอดหันไปมองรอบ ๆ ไม่ได้ แต่ก็ไม่พบเลยว่าเป็นฝีมือของใครที่มาช่วยนางไว้
ปัง!
ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ชายอีกคนหนึ่งก็ล้มลงไป
ครั้งนี้ ซูเสี่ยวจวิ้นก็ยังสัมผัสถึงสภาวะพลังหรือกลิ่นอายใด ๆ ไม่ได้เลย แต่นางก็รู้ตัวแล้วว่ามีคนกำลังแอบช่วยนางอยู่อย่างลับ ๆ
นั่นก็เพราะว่านางยังไม่เคยสัมผัสตัวคนผู้นั้นแม้แต่น้อยทว่าเขากลับล้มลงไปเสียได้ หากไม่ใช่เพราะมีคนคอยช่วยนาง แล้วจะมีอะไรได้อีก ?
ในตอนนี้สาวน้อยรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก คนที่มาช่วยนางจะต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่ เพราะนางไม่สามารถสัมผัสถึงพลังของอีกฝ่ายได้เลย อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าขณะนี้อีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการโจมตีเพียงสองครั้งก็สามารถเผด็จศึกบุคคลลงได้ถึงสองคน
คนที่ช่วยนางจะต้องมีฝีมือที่สูงส่งและลงมือได้เฉียบขาดจริง ๆ เท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้
ฉินอวี้โม่ยังไม่หยุดให้การช่วยเหลือ นางไม่คิดจะอำพรางการกระทำของตัวเองแต่กลับเลือกที่จะเล่นงานชายอีกคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงคนล้มลงไปบนพื้นดังขึ้นมาให้ได้ยินหลายครั้ง
จนกระทั่งคู่ต่อสู้ของซูเสี่ยวจวิ้นเหลือเพียงคนเดียว ฉินอวี้โม่ถึงหยุดลงมือและรีบกลับเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป คนของพญายมและตระกูลเฟิงก็ล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นกว่าครึ่ง ไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกเขาเป็นหรือตาย
ณ ตอนนี้… ในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นหรือรับรู้ได้แล้วว่ามีคนแอบช่วยซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่น ๆ อยู่อย่างลับ ๆ
“ออกมา ! เจ้าหนูสกปรก กล้าลงมือแต่ไม่กล้าปรากฏตัวอย่างนั้นรึ ?! ขี้ขลาด !”
เฟิงอู๋ที่แยกตัวออกมาจากเหวินซื่อชู่ตะโกนอย่างเดือดดาล ขณะเดียวกันจูตี๋ก็แยกออกมาจากฉีอวิ๋นเหล่ยแล้วเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองหันไปมองรอบ ๆ ด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น ใบหน้าของพวกเขาดูบูดบึ้งถึงขีดสุด
ก่อนหน้านี้พวกเขายังเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าอยู่เลย ทว่าเพียงแค่ไม่กี่อึดใจกลับกลายเป็นรองไปโดยที่พวกเขาแทบไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
“พี่อวิ๋นเหล่ย พี่ซื่อชู่ ดูเหมือนว่ามีคนคอยแอบช่วยเราอยู่อย่างลับ ๆ”
ซูเสี่ยวจวิ้นกระซิบบอกกับพี่ชายทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ เพราะอยากรู้เหลือเกินว่าเป็นผู้ใดกันที่มาช่วยพวกเขาเอาไว้
ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักหน้าก่อนจะหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิสัมผัสกลิ่นอายรอบ ๆ ด้าน ทว่ากลับไม่พบกลิ่นอายของผู้ที่น่าจะเป็นคนที่เข้ามาช่วยพวกเขาเลย
เหวินซื่อชู่เองก็สัมผัสถึงกลิ่นอายไม่ได้เช่นกัน ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยเริ่มปรากฏอาการสับสนและงุนงง
“เหอะ… ใช้พลังอำพรางตัวแล้วลอบกัดผู้อื่น ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายยิ่งนัก ถ้าแน่จริงก็ขอให้รีบโผล่หน้าออกมา”
จูตี๋สาดวาจาเย็นชา เขาไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
“ฉีอวิ๋นเหล่ย เป็นพวกเจ้าใช่หรือไม่ที่ใช้คนผู้นี้แอบมาเล่นงานพวกเรา บอกมาว่ามันเป็นใคร ?!”
เฟิงอู๋หันไปถามฉีอวิ๋นเหล่ยอย่างเดือดดาล
“ข้าไม่ทราบ คนผู้นั้นอาจจะเป็นคนที่แค้นพวกเจ้าก็ได้นี่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยตอบกลับไปอย่างไม่แยแส
“เช่นนั้นหรือว่าจะเป็นฉินอวี้โม่ที่กำลังโด่งดังอยู่ในตอนนี้ ได้ยินว่านางเองก็มีความแค้นกับกลุ่มพญายมของพวกเจ้าไม่ใช่รึ ?”
เมื่อถามอีกฝ่ายแล้วไม่ได้ความ เฟิงอู๋จึงหันกลับมาพูดกับจูตี๋แทน ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นคนที่ลึกลับมาก หากเป็นฝีมือของนางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
จูตี๋ส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แม้ฉินอวี้โม่จะแข็งแกร่งแต่นางก็ไม่มีทางปกปิดกลิ่นอายจนเราสัมผัสไม่ได้เช่นนี้ ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากพบพวกเรา นางควรจะรีบซ่อนตัวเสียมากกว่า ไม่มีทางที่จะลงมือก่อนเช่นนี้แน่”
จูตี๋กล่าว เขาไม่เห็นด้วยกับการคาดเดาของเฟิงอู๋และไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของฉินอวี้โม่
เมื่อได้ยินที่พวกเขาคุยกัน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มมุมปากก่อนจะปรากฏกายขึ้นอย่างช้า ๆ
.