ฉินอวี้โม่เล่าเรื่องที่นางบังเอิญคลาดกับหานโม่ฉือระหว่างเดินทางข้ามมิติให้ฉีอวิ๋นเหล่ยฟัง
“อ่อ เป็นเช่นนั้นนี่เอง” ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักหน้า “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยตามหาหานโม่ฉือหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็น เพราะอีกไม่นานเราก็จะได้เจอกันแล้ว”
เรื่องของหานโม่ฉือนั้นนางมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม พวกเขาเสมือนมีสายสัมพันธ์ที่เชื่อมหากันได้ ถึงไม่ต้องพูดหรืออยู่ใกล้กันก็รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่
เรื่องชื่อเสียงที่โด่งดังขึ้นมาของนาง หานโม่ฉือคงจะทราบแล้ว ส่วนเรื่องข่าวของงานชุมนุมวายุเมฆา เขาก็น่าจะได้ยินแล้วเช่นกัน หากเป็นหานโม่ฉือล่ะก็ เขาจะต้องรู้แน่ว่าเป้าหมายต่อไปของนางคือเมืองเฟิงอวิ๋นซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ดังนั้นแล้วพวกเขาคงจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้
เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ไม่ถามอะไรอีก ตัวเขาเองก็อยากจะทำความรู้จักกับหานโม่ฉือ เขาคิดว่าผู้ที่เป็นคู่ครองของฉินอวี้โม่ได้จะต้องเป็นอัจฉริยะแห่งยุคอย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่มีรายชื่อปรากฏในทำเนียบ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็คงจะไม่ธรรมดา
“พวกท่านคุยเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ ?”
ซูเสี่ยวจวิ้นเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแต้มยิ้มก่อนจะจับแขนของฉินอวี้โม่แล้วกล่าวถามอย่างออดอ้อน
“พวกเรากำลังพูดคุยถึงความน่ารักของเจ้าอยู่ไง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอามือลูบหัวของนางอย่างเอ็นดู สาวน้อยผู้นี้ทำให้นางนึกถึงฉีฉีทุกครั้ง ฉะนั้นแล้วเมื่อเห็นนาง ฉินอวี้โม่จึงเอ็นดูเป็นพิเศษ
เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่รวมถึงถูกนางลูบหัว ซูเสี่ยวจวิ้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
ท่าทีของฉินอวี้โม่และซูเสี่ยวจวิ้นทำฉีอวิ๋นเหล่ยที่มองอยู่อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้
“อวี๋โม่ เจ้าอย่าทำเช่นนั้นบ่อย ๆ จะดีกว่า มิฉะนั้นในอนาคตนางจะหาคู่แต่งงานยากเอานะ”
ตอนนี้ซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่ยังไม่รู้เรื่องตัวตนของฉินอวี้โม่ อีกทั้งยังไม่ทราบว่านางเป็นผู้หญิง จากที่มองดูฉีอวิ๋นเหล่ยก็พอจะรู้ว่าซูเสี่ยวจวิ้นชอบฉินอวี้โม่
ถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้
เมื่อได้ยินคำเตือนของฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไป นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หญิงสาวในโลกนี้เป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าโลกใบเดิมของนาง ในตอนนี้อีกฝ่ายก็เข้าใจว่านางเป็นบุรุษ ฉะนั้นการทำแบบนี้เห็นทีว่าจะไม่เหมาะสมนัก
“ฮ่า ๆ ๆ สำหรับข้า เสี่ยวจวิ้นก็เหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง ข้าแค่คิดว่านางน่ารักน่าเอ็นดูเท่านั้นเอง” ฉินอวี้โม่รีบกล่าวขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะทำให้ซูเสี่ยวจวิ้นเลิกล้มความคิดเรื่องชอบนางไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ภายในแววตาของซูเสี่ยวจวิ้นก็มีร่องรอยของความผิดหวังปรากฏให้เห็น แต่ไม่นานก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
ต้องยอมรับว่ารูปลักษณ์และกลิ่นอายของฉินอวี้โม่ทำให้นางรู้สึกสนใจ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สูงและยังสวมหน้ากากตลอดเวลาทำให้มองไม่เห็นใบหน้า แต่จากบรรยากาศที่สัมผัสได้และจากท่าทางที่สง่างามก็ทำให้ซูเสี่ยวจวิ้นเริ่มจะตกหลุมรักฉินอวี้โม่เข้าให้แล้ว
ทว่านางเป็นเด็กฉลาด เมื่อฉินอวี้โม่กล่าวเช่นนั้นออกมานางก็เข้าใจความหมายในทันที นางเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรอีก
การเป็นพี่น้องก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก
ทางด้านของเหวินซื่อชู่ก็ยังคงเดินต่อไปโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่ทั้งสามคนคุยกัน หลังจากเดินทางกันต่ออีกครึ่งวัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังก่อนจะเห็นกลุ่มคนปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมองอะไรบางอย่างอยู่
“นั่นมันต้นจินหยินมิใช่หรือ ?!”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองไปด้านหน้าและเห็นต้นไม้สูงใหญ่ที่งดงามต้นหนึ่ง มันเป็นต้นไม้ที่ดูน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ใบของมันมีสีที่ต่างกันและแค่มองดูก็รู้ได้แล้วว่าเป็นต้นไม้มายาที่ไม่ธรรมดา ด้านหนึ่งมีสีทองขณะที่อีกด้านมีสีเงิน บนกิ่งไม้มีผลไม้ห้อยอยู่เกือบสิบผลซึ่งแต่ละผลส่องแสงอ่อน ๆ ออกมาทำให้ผู้คนที่มองดูถึงกับน้ำลายไหล
เมื่อมองไปยังทิศทางที่ซูเสี่ยวจวิ้นชี้ พวกฉินอวี้โม่ก็สังเกตเห็นต้นไม้ต้นใหญ่
“ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นจินหยินจริง ๆ” ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักหน้า
ต้นไม้ต้นนี้ตรงกับข้อมูลที่ขุมกำลังของพวกเขาให้มาทุกประการ ฉะนั้นมันต้องเป็นต้นจินหยินอย่างแน่นอน
“มีคนหลายคนให้ความสนใจผลจินหยินอย่างที่คิดไว้จริง ๆ” เมื่อเห็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันใกล้ ๆ ต้นจินหยิน ซูเสี่ยวจวิ้นก็กล่าวขึ้นมา
แม้ว่าขุมกำลังใหญ่ ๆ จะไม่ได้ส่งคนมาแต่พวกขุมกำลังเล็ก ๆ ต่างก็ส่งคนมาไม่น้อย จากที่สังเกตดูก็มีคนที่นางคุ้นหน้าอยู่หลายคน
“ผลจินหยินถือเป็นผลไม้หายากและล้ำค่ามาก สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่ถึงขั้นจ้าวพิภพ มันถือเป็นผลไม้แห่งเทพเลยก็ว่าได้ การที่มีคนจำนวนมากมารอเก็บก็ไม่เกินความคาดหมาย” ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าว เรื่องนี้เขาคาดไว้อยู่แล้ว การที่มีคนจำนวนมากมารอเก็บมันก็บ่งบอกได้ถึงความล้ำค่าของผลจินหยินนี้
“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี ?” ซูเสี่ยวจวิ้นมองไปยังคนจำนวนมากก่อนจะหันกลับมามองฉีอวิ๋นเหล่ยแล้วกล่าวถาม
“รอดูสถานการณ์ไปก่อนจะดีกว่า ต้นไม้มายาเช่นนี้มักจะมีอสูรมายาค่อยปกป้อง อีกไม่นานพวกอสูรมายาก็คงจะแห่มากันแล้ว ยิ่งกว่านั้นข้ายังไม่เห็นพวกจูตี๋เลย เราอย่าเพิ่งรีบร้อนจะดีกว่า”
ฉีอวิ๋นเหล่ยสังเกตการณ์โดยรอบก่อนจะพบพื้นที่ว่าง ๆ จุดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากต้นจินหยินนัก
“เราไปรอตรงนั้นกันก่อนดีกว่า รอดูสถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
เมื่อได้ยินที่ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าว คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าก่อนจะเดินตามเขาไปโดยที่ฉินอวี้โม่เองก็ตามไปและนั่งลงพร้อมกับทุกคน
“พอดูดี ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าผลจินหยินจะมีไม่น้อยกว่าสิบผลเลยนะ” ซูเสี่ยวจวิ้นที่กำลังพยายามนับจำนวนผลจินหยินจากระยะไกลกล่าวขึ้นมา
“ข้าเกรงว่าหลังจากนี้คงจะเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ถึงพวกเราจะแข็งแกร่งแต่เต็มที่ก็คงจะแย่งมาได้สี่ถึงห้าผลเท่านั้น การชิงมาทั้งหมดคงจะยากเกินไป” ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวเสมือนเป็นการบอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมเอาไว้
หากการแย่งชิงเริ่มต้นขึ้น พวกเขาจะต้องพยายามชิงผลจินหยินมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนเรื่องจะชิงมาทั้งหมดนั้นก็ลืมไปได้เลยเพราะคงเป็นไปไม่ได้แน่
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเตรียมความพร้อมเอาไว้ หลังจากนี้อาจจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น ถึงตอนนั้นนางจะต้องแย่งชิงผลจินหยินมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เผื่อในกรณีที่นางพบเสี่ยวเหยียน นางจะได้มอบให้สาวน้อยสักผลหนึ่ง
ส่วนของหานโม่ฉือนั้นนางไม่ได้กังวลนัก เพราะนางมั่นใจว่าป่านนี้ความแข็งแกร่งของเขาคงจะก้าวข้ามขอบเขตจ้าวพิภพไปแล้ว
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
คนกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มของจูตี๋และเฟิงอู๋ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนมากขึ้นกว่าครั้งก่อน พวกเขาคงจะเรียกกำลังเสริมมาเพื่อความมั่นใจ
“เหอะ! ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะมารอกันก่อนแล้ว” เมื่อเห็นพวกฉินอวี้โม่ จูตี๋ก็กล่าวอย่างเย็นชา
“แล้วอย่างไร ? ใครมาก่อนใช่ว่าจะเป็นผู้ชนะเสมอไป”
เฟิงอู๋ชำเลืองมองทางพวกฉินอวี้โม่ก่อนจะทำทีเป็นไม่สนใจ
“ไปหาที่นั่งรอกันเถิด อย่างไรวันนี้ผลจินหยินก็ต้องเป็นของพวกเรา”
เฟิงอู๋ชี้ไปยังที่โล่ง ๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ต้นจินหยินก่อนจะเดินนำทุกคนไป
“เจ้าพวกคนหน้าไม่อาย!”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองคนกลุ่มนั้นด้วยสายตาดูถูก นางอดไม่ได้ที่จะด่าทอพวกเขาไปสักประโยค
“ถึงจะไร้ยางอายแต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ใช่น้อย ๆ พวกเราต้องระวังเอาไว้ด้วย” ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวเตือนทุกคน
ทุกคนพยักหน้าอย่างจริงจังก่อนจะมองไปที่กลุ่มของเฟิงอู๋ด้วยสายตาระแวดระวัง
“ดูเหมือนว่าผลจินหยินสุกเต็มที่แล้ว!”
ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็เห็นว่าผลจินหยินเปล่งแสงสว่างกว่าที่เคย แถมกลิ่นหอมของมันก็รุนแรงขึ้นจนแม้ว่าจะอยู่ไกลก็ยังได้กลิ่นอย่างชัดเจน นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าผลไม้สุกเต็มที่แล้ว
ผลจินหยินคือผลไม้มายา ฉะนั้นจึงมีลักษณะที่พิเศษคือต้องเด็ดตอนที่สุกเต็มที่เท่านั้น มิฉะนั้นจะไร้คุณค่าไปโดยปริยาย
มีเพียงตอนที่มันสุกเต็มที่แล้วเท่านั้นที่มันจะแสดงประสิทธิภาพทั้งหมดของมันออกมาได้
ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงจดจ่อเฝ้ามองมันอยู่รอบ ๆ โดยไม่มีใครคิดจะลงมือเด็ดมันก่อนแต่อย่างใด
ตอนนี้เมื่อมันเกือบจะสุกอย่างเต็มที่แล้ว ทุกคนจึงลุกขึ้นมาและเตรียมความพร้อมเพราะกลัวว่าจะถูกกลุ่มอื่นตัดหน้าไป
ในระหว่างที่หลายคนกำลังมองไปรอบ ๆ ก็มีร่างของคนคนหนึ่งหายไปพลันพุ่งเข้าไปหาผลจินหยินอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นคนผู้นั้นพุ่งเข้าไปหาต้นจินหยิน คนอื่น ๆ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ในตอนนี้บางคนเริ่มทะยานออกไปหาต้นจินหยินหมายจะคว้าผลไม้วิเศษมาครอบครอง
อย่างไรก็ตาม คนส่วนมากกลับยังไม่เคลื่อนไหว พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าผลไม้มายาที่วิเศษเช่นนี้จะต้องมีผู้พิทักษ์อยู่แน่ หากอสูรมายาพวกนั้นปรากฏตัวออกมาโจมตีคงไม่ใช่เรื่องดี
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ทันทีที่คนกลุ่มนั้นเข้าไปใกล้ผลจินหยิน พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรงปรากฏขึ้นข้าง ๆ ก่อนที่จะพบเห็นอสูรมายารูปร่างเหมือนนกพุ่งเข้ามาจู่โจมจนทำให้คนที่เข้าไปเก็บผลจินหยินร่วงลงไปบนพื้นและนอนแน่นิ่งไป เป็นหรือตายก็ไม่อาจจะทราบได้
“เจ้าพวกมนุษย์ ข้าขอเตือนว่าอย่าคิดมาแย่งชิงผลไม้วิเศษของข้าจะดีกว่า”
เสียงที่จริงจังดังมาเข้าหูของทุกคน ก่อนที่บุรุษในชุดสีเงินจะปรากฏตัวขึ้นบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งของต้นจินหยิน
“เจ้าเป็นใครกัน ?!”
เมื่อเห็นชายผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็ชะงักไป
“เหอะ! อย่าเอาข้าผู้นี้ไปรวมกับมนุษย์โสโครกอย่างพวกเจ้า”
ชายผู้นั้นกล่าววาจาเหยียดหยามด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะกวาดสายตามองมนุษย์ที่อยู่เบื้องล่าง “ข้าคือผู้พิทักษ์ของต้นจินหยิน — ราชาเขาเงิน จะเอาข้าไม่เทียบกับมนุษย์ตัวกระจ้อยอย่างพวกเจ้าได้อย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินวาจาที่เหยียดหยามเช่นนั้นก็ทำให้หลายคนขมวดคิ้ว
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟัง “ถ้าข้าจำไม่ผิด ราชาเขาเงินคืออสูรมายาประเภทนก ส่วนจะเป็นนกชนิดใดนั้นข้าเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่นั่นเป็นอสูรมายาที่มีสายเลือดสูงส่งไม่แพ้หงส์แดง ส่วนพรสวรรค์ก็ไม่ใช่ธรรมดา”
จากนั้นเขาก็หันไปมองราชาเขาเงินอีกครั้งก่อนจะอธิบายต่อ “ความแข็งแกร่งของราชาเขาเงินตนนี้ ข้าคิดว่าคงจะอยู่ในระดับจ้าวพิภพขั้นสูงสุดเป็นแน่”
เหวินซื่อชู่และฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อฟังจากที่ฉีอวิ๋นเหล่ยพูดแล้ว พวกเขาก็เข้าใจว่าราชาเขาเงินตนนี้คงรับมือได้ไม่ง่าย
อสูรมายาระดับจ้าวพิภพขั้นสูงสุดไม่ใช่อะไรที่จอมยุทธ์ระดับจ้าวพิภพขั้นต้นอย่างพวกเขาจะรับมือได้
‘นายหญิง ถ้าข้าดูไม่ผิด ราชาเขาเงินตนนี้จริง ๆ แล้วก็คืออสูรโบราณ—วิหคอมตะ’
เสียงของหงส์แดงดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่ามันจะพอรู้เกี่ยวกับราชาเขาเงินอยู่บ้าง
วิหคอมตะเป็นอสูรที่แม้จะตายไปแล้ว แต่วิญาณก็จะไม่มีวันถูกทำลายและสามารถเกิดใหม่ได้ อสูรตนนี้มีศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าหงส์แดงหากวัดกันตามสายเลือด
‘นายหญิง ถ้าท่านทำได้ ท่านสยบและทำพันธสัญญากับมันจะดีกว่า มันจะเป็นผู้ช่วยที่ดีสำหรับท่านนะ’
เสียงของอสูรพลับพลึงแดงทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของฉินอวี้โม่เต้นรัวขึ้นมา
.