พวกเขาทั้งสี่อยู่ในห้องอาหารระยะหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น พวกเขาก็แยกย้ายกลับไปที่ห้องพักของตนเองเพื่อพักผ่อนเอาแรง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่ต้องการพักผ่อน นางจึงหยิบวัสดุทั้งหมดที่ได้มาจากโรงประมูลออกมาและศึกษาทักษะการหลอมของตนเอง
ทักษะการหลอมของนางในปัจจุบันยังถือว่าอ่อนด้อยเกินไป และหากนางอยากได้อันดับดี ๆ ในการแข่งขันของงานชุมนุมช่างหลอมที่จะจัดขึ้นหลังเดือนมกราคมนั้น นางยังต้องฝึกปรือพัฒนาวิชาหลอมให้ชำนาญมากขึ้น
หลังจากสั่งให้ราชาเขาเงินที่เพิ่งทำพันธสัญญาใหม่ช่วยคุ้มกันห้องไว้นั้น ฉินอวี้โม่ก็เริ่มดำเนินเส้นทางการหลอมอย่างเอาจริงเอาจริงทันที
ภายในชั่วข้ามคืน ด้วยการฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นจริงจัง ทักษะการหลอมของนางก็พัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก
ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าในไม่ช้าทักษะการหลอมของนางจะบรรลุระดับเชี่ยวชาญ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก !
เช้าวันต่อมา ฉินอวี้โม่เก็บเตาหลอมและวัสดุต่าง ๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
นางลุกขึ้นไปเปิดประตูและพบว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกคือฉีอวิ๋นเหล่ย
“เจ้าไม่คิดจะเชิญข้าเข้าไปนั่งข้างในหรอกรึ ?”
เมื่อพบฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว
บัดนี้คุณหนูตระกูลฉินมิได้สวมหน้ากากบดบังใบหน้าและไม่ได้แต่งกายด้วยอาภรณ์เป็นทางการ นางสวมอาภรณ์สีขาวนวลและเส้นผมสลวยถูกมัดไว้อย่างหลวม ๆ เส้นผมส่วนหนึ่งที่ปรกหน้าดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ทว่านั่นไม่อาจซ่อนความงดงามดุจฟ้าประทานของนางไว้ได้
แม้ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืน ใบหน้าของนางก็ไร้ซึ่งร่องรอยความอิดโรยใด ๆ ในทางตรงกันข้าม นางกลับดูงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เข้ามาก่อนสิ”
ฉินอวี้โม่กระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย กลิ่นอายจากร่างกายของฉีอวิ๋นเหล่ยทำให้นางรู้สึกราวกับได้อยู่ใกล้พี่ชายผู้มีจิตใจดี
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โม่เอ๋อร์ เป็นอย่างที่ข้าได้รู้มาไม่มีผิด รูปโฉมของเจ้าช่างงดงามดุจเทพเซียนอย่างแท้จริง”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเดินเข้ามาภายในห้องพักและนั่งลงก่อนมองเห็นราชาเขาเงินที่อยู่ด้านข้าง
“ดูเหมือนว่าสิ่งที่ข้าคาดการณ์ไว้จะถูกต้อง เมื่อวานนี้เจ้าสยบราชาเขาเงินมาเป็นอสูรพันธสัญญาได้จริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของฉีอวิ๋นเหล่ย
“ถ้านับกันตามความเป็นจริงแล้วเจ้าควรจะเรียกข้าว่าพี่อวิ๋นเหล่ย ทว่าหากเจ้าไม่ชอบใจ จะเรียกแบบเดิมก็ย่อมได้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอบอุ่น
ฉีเยวี่ยนฟานบิดาของฉีอวิ๋นเหล่ยและฉีเยวี่ยนเวยบิดาของฉีอวี้เป็นพี่น้องกัน ในอดีต ฉีเยวี่ยนฟานผู้เป็นบิดาของฉีอวิ๋นเหล่ยเดินทางมาที่ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้เพื่อหาประสบการณ์ในขณะที่ฉีเยวี่ยนเวยบิดาของฉีอวี้อยู่ที่ดินแดนหวนหลิง
บัดนี้ที่เวลาผ่านมานานหลายทศวรรษ ความแตกต่างด้านความพลังของบุรุษสองพี่น้องก็เพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นั่นมิได้ซ่อนเร้นความรู้สึกผูกพันระหว่างทั้งสองพี่น้อง
ข่าวคราวของฉินอวี้โม่ถูกส่งต่อมายังฉีเยวี่ยนฟานโดยฉีเยวี่ยนเวย
ยิ่งไปกว่านั้น ฉีเยวี่ยนฟานมีความสัมพันธ์อันดีกับฉินเทียนบิดาของฉินอวี้โม่เช่นกัน ทั้งสองได้พบปะกันหลายครั้งหลายคราในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้และทั้งสองก็ถูกชะตากันมาก
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนั้น ไม่แปลกที่ฉินอวี้โม่จะเรียกฉีอวิ๋นเหล่ยว่าพี่ชายได้
ฉินอวี้โม่เองก็เป็นคนร่าเริงและมองโลกในแง่ดี นางยิ้มกว้างและกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยคำเรียกใหม่ “ท่านพี่อวิ๋นเหล่ย ท่านลุงเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า บิดาของข้าสบายดี ตอนที่ข้ามาที่นี่ เขาบอกไว้ว่าถ้าข้าได้พบเจ้า ข้าจะต้องทำตัวสนิทสนมกับเจ้าเข้าไว้ อีกทั้งเขายังบอกอีกว่าโม่เอ๋อร์ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าไม่ว่าจะเป็นด้านพรสวรรค์ รูปโฉมหรือพลังความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นใคร หากได้ครองคู่กับสตรีอย่างเจ้า คนผู้นั้นจะต้องมีความสุขเป็นแน่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย
เมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและรู้สึกสนิทใจกับเขามากขึ้น
ในเมื่อบุรุษตรงหน้าเอ่ยวาจาได้อย่างเถรตรงก็หมายความว่าเขาไม่มีความคิดในทิศทางนั้น ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้เรื่องระหว่างนางและหานโม่ฉือพอสมควร
“บุรุษนามว่าหานโม่ฉือผู้นั้น เขาช่างโชคดีจริงเชียว น่าเสียดายที่เขาพบเจ้าก่อนและทำให้เจ้ารักและอุทิศตนต่อเขาเช่นนี้”
ประโยคต่อมาของฉีอวิ๋นเหล่ยทำให้นางอดหัวเราะไม่ได้
“พี่อวิ๋นเหล่ย บิดาของข้าเป็นอย่างไรบ้างตลอดหลายปีมานี้ ?”
เมื่อนึกถึงฉินเทียน บิดาผู้พลัดพราก ฉินอวี้โม่จึงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“ฮ่า ฮ่า ในอดีตก็ไม่ค่อยดีนัก ทว่าบัดนี้ชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็ได้กระจายไปทั่วดินแดนอ้างว้างแล้ว แม้แต่บิดาของข้าก็อาจไม่ทัดเทียมกับท่านอาได้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเล่าเรื่องราวคร่าวๆของฉินเทียนตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาให้ฉินอวี้โม่ได้รับรู้
ในตอนแรกที่ฉินเทียนมายังดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ เขายังเป็นคนธรรมดาที่ไม่โดดเด่น
เวลานั้น ทั้งบิดาของฉีอวิ๋นเหล่ยและฉินเทียนยังไม่มีพลังอำนาจมากนัก
ทั้งสองได้พบกับโดยบังเอิญระหว่างการแสวงหาประสบการณ์ในดินแดนใหญ่และเกิดถูกชะตากัน จากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นมิตรสหายที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
เมื่อได้รู้จุดมุ่งหมายของฉินเทียนในการเดินทางมายังดินแดนอ้างว้าง ฉีเยวี่ยนฟานก็สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
ฉีเยวี่ยนฟานย้ายรกรากมาที่ดินแดนอ้างว้างก่อนฉินเทียนเป็นระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าตอนนั้นพลังอำนาจของเขายังไม่มากนัก ทว่าเขาก็เลื่องชื่อพอสมควร
ในตอนนั้น ฉีเยวี่ยนฟานพยายามโน้มน้าวชักชวนให้ฉินเทียนกลับไปกับเขาและออกเดินทางท่องยุทธภพด้วยกัน การได้พบสหายร่วมทางที่ถูกชะตาและมีจุดมุ่งหมายไปในทิศทางเดียวกันไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
เขาไม่อยากรบกวนฉีเยวี่ยนฟาน ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง และฉีเยวี่ยนฟานก็ไม่ได้รู้ข่าวคราวของอีกฝ่ายอีกเลย
ตลอดเวลานานกว่าสิบปี ถึงแม้ฉีเยวี่ยนฟานรู้ว่าฉินเทียนยังอยู่ในดินแดนอ้างว้าง เขาก็ไม่รู้ว่าสหายผู้นั้นอยู่ที่ใด
จนกระทั่งเวลาดำเนินผ่านมาจนถึงจุดหนึ่ง ผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็ถือกำเนิดและเลื่องชื่อเกรียงไกรไปทั่วดินแดน ฉีเยวี่ยนฟานไม่ทราบเลยว่าสหายฉินเทียนได้ก่อตั้งขุมกำลังที่ไม่อ่อนแอไปกว่าตนเองมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้
ในตอนนั้นเองที่เขาก็ได้รับข่าวสารของฉินอวี้โม่รู้และทราบว่านางกำลังเดินทางมาที่นี่เพื่อตามหาบิดาผู้พลัดพราก
อย่างไรก็ตาม ด้วยระยะทางที่ห่างไกลระหว่างพวกเขาและขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ ฉีเยวี่ยนฟานจึงยังไม่มีโอกาสได้แจ้งข่าวนี้ให้ฉินเทียนได้ทราบ
ฉีเยวี่ยนฟานเพียงแต่สั่งให้ฉีอวิ๋นเหล่ยเดินทางไปที่งานชุมนุมวายุเมฆาและคาดหวังว่าจะได้พบกับฉินอวี้โม่
หากได้พบกันดั่งที่ตั้งใจไว้ พวกเขาจะส่งข่าวกลับไปเพื่อที่ตัวเขาจะได้ติดต่อไปยังขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬและเตรียมการตามสมควร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดคือการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่จะทำให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลครั้งใหญ่เช่นนี้
ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้นมา นางก็สร้างผลงานครั้งใหญ่และขึ้นเป็นอันดับสี่ของทำเนียบรุ่นเยาว์ได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งเป็นการฟาดหน้าขุมกำลังพญายมฉาดใหญ่
ต้องกล่าวเลยว่าความทะนงและองอาจกล้าหาญของฉินอวี้โม่ไม่ต่างจากผู้เป็นบิดาแม้แต่น้อย
“ข้าคิดว่าท่านอาน่าจะไปเยือนขุมกำลังพญายมแล้ว และจูอวิ๋นชางซึ่งเป็นผู้นำของขุมกำลังจะต้องได้รับวาจาข่มขู่จากท่านอาแล้วเป็นแน่”
แม้ว่าใบหน้าของฉีอวิ๋นเหล่ยยังคงฉายด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงของเขากลับจริงจังอย่างมาก
พวกเขาเข้าใจลักษณะนิสัยของฉินเทียนอย่างแท้จริง การได้รับรู้ว่าจูอวิ๋นชางริอาจรังแกบุตรสาวของตนและไม่เตือนกลุ่มพญายมให้รู้ความนั้นมิใช่ตัวเขาอย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่อดยิ้มด้วยความปลื้มใจไม่ได้ ราวกับว่านางได้เห็นภาพที่บิดาของตนไปเยือนกลุ่มพญายมด้วยตาตัวเอง
“อีกอย่าง บิดาของเจ้าก็มีศิษย์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของเขาเช่นกัน”
เมื่อคิดได้ว่าฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่ทราบเรื่องนี้ ฉีอวิ๋นเหล่ยจึงกล่าวออกไป
“ใช่ฉินจ้านที่อยู่ในอันดับสามของทำเนียบรุ่นเยาว์รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ปะติดปะต่อข้อมูลและคาดเดาก่อนกล่าวออกไป
“ถูกต้อง”
ฉิอวิ๋นเหล่ยพยักหน้าและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฉินจ้านผู้นี้ทรงพลังมากในแง่ของความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ ต่อให้เขาประจันหน้ากับเหวินซื่อชู่หรือเฟิงอู๋ชาง สองคนนั้นก็อาจเทียบเขาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับอาจารย์มากและเขาก็เป็นคนดี”
ฉินจ้านผู้นี้ ฉีอวิ๋นเหลยมองว่าเขาเป็นคนดีทีเดียว ทั้งลักษณะนิสัยใจคอและพรสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับเหนือชั้นซึ่งฉีอวิ๋นเหลยก็ชื่นชมนับถือเขาอย่างมาก
เมื่อได้ยินวาจาของฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินอวี้โม่เพียงแต่พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก
อย่างไรก็ตาม บัดนี้นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพี่ชายคนนี้ของนาง ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่น่าจะใช่จอมยุทธ์ธรรมดาๆเช่นกัน
“พี่อวิ๋นเหล่ย ข้ายังสงสัยอีกอย่าง ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของท่าน ไม่มีทางเลยที่ท่านจะอยู่เพียงอันดับหกในทำเนียบรุ่นเยาว์ ข้าคิดว่าต่อให้ท่านประจันหน้ากับคนที่อยู่ในสามอันดับแรกของทำเนียบรุ่นเยาว์ ท่านก็คงจะไม่ตกเป็นรอง ดังนั้นเหตุใดท่านจึงเต็มใจอยู่ในอันดับต่ำกว่าจูฉีเล่า ?”
ความแข็งแกร่งของฉีอวิ๋นเหล่ยไม่อ่อนด้อยกว่าเหวินซื่อชู่อย่างแน่นอน ทว่าอันดับของเขาอยู่ต่ำหว่าจูฉีใจคดเสียอีก นั่นทำให้ฉินอวี้โม่สงสัยไม่น้อย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นั่นเพราะข้าไม่อยากทำตัวโดดเด่นต่างหากล่ะ!”
ฉีอวิ๋ยเหล่ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจและลุกขึ้น
“โม่เอ๋อร์ ข้าว่าเสี่ยวจวิ้นดูจะถูกชะตากับเจ้ามากเกินไป นางอยู่ในวัยที่หัวใจว้าวุ่น ข้าขอแนะนำให้เจ้าทำทุกอย่างให้ชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ หากนางหลงรักเจ้าเข้าจริงๆ มันจะจบไม่สวยแน่”
หลังทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เป็นเหมือนระเบิดลงกลางห้อง ฉีอวิ๋นเหล่ยก็จากไปอย่างวางท่า
เพราะถึงอย่างไร เมื่อไตร่ตรองจากเวลา ซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชูก็น่าจะมาถึงในไม่ช้า
คุณหนูตระกูลฉินชะงักไปเล็กน้อยและรู้สึกอับจนหนทาง ฉีอวิ๋นเหล่ยในเวลานี้ดูจะมีลักษณะคล้ายกับหลินจิ้งหงอยู่เหมือนกัน
“นายหญิง ข้าว่าเขาก็พูดจามีเหตุผล เด็กน้อยนั่นดูจะสนใจท่านจริง ๆ”
เสียงของพลับพลึงแดงดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และทำให้นางตะลึงไปชั่วขณะ
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว สิ่งที่ทั้งสองกล่าวก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลรองรับ
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตัดสินใจจะอธิบายกับซูเสี่ยวจวิ้นเมื่อได้โอกาส
“พี่อวี้โม่ ท่านตื่นรึยัง ?”
เมื่อนึกถึงซูเสี่ยวจวิ้น เสียงของนางก็ดังขึ้นพอดิบพอดี
“นายหญิง ข้างนอกนั่นคือเด็กสาวนั่นและบุรุษผู้เยือกเย็น”
หลังจากพลับพลึงแดงกล่าวจบ มันก็กลับเข้าไปในกำไลมิติและไม่ได้ส่งเสียงใดๆอีก
ฉินอวี้โม่รวบรวมสติชั่วครู่หนึ่งก่อนสวมหน้ากากบดบังใบหน้าและก้าวออกไป
ผู้ที่อยู่หน้าประตูคือซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู เมื่อฉินอวี้โม่เปิดประตู ซูเสี่ยวจวิ้นก็ยิ้มร่าและเข้ามาเกาะแขนนางทันที
ในขณะเดียวกัน เหวินซื่อชูก็พยักหน้าเล็กน้อยซึ่งถือเป็นการทักทายฉินอวี้โม่ในแบบฉบับของเขา
“พี่อวี๋โม่ ลงไปหาอะไรกินกันเถอะ พี่อวิ๋นเหล่ยล่วงหน้าไปแล้ว”
ซูเสี่ยวจวิ้นเกาะแขนฉินอวี้โม่ไม่ห่างและเดินลงไปชั้นล่าง
เหวินซื่อชู่เดินตามทั้งสองไปอย่างเงียบๆโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไร
อย่างไรก็ตาม ขณะเดินลงไปชั้นล่างนั้น พวกเขาก็ได้พบกับร่างที่คุ้นตาจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถง
“หึ บังเอิญจริงเชียว ไม่คิดเลยว่าจะได้พบพวกเจ้าทั้งหมดที่นี่ !”
คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวเหน็บแนม
คนผู้นั้นคือจูตี๋ผู้ที่เศร้าสลดอย่างที่สุดเพราะล้มเหลวในการขโมยผลจินหยินในป่ารัตติกาล
ถัดจากเขาคือเฟิงอู๋ผู้ซึ่งไม่สบอารมณ์ไม่ต่างกัน
ตรงข้ามพวกเขาทั้งสองคือชายวัยกลางคนสองคนที่ดูจะมีอายุมากกว่า
“พวกคนโง่เง่า คงจะเป็นเรื่องที่หดหู่มากกับการที่ไม่ได้ครอบครองผลจินหยินแม้แต่ผลเดียว”
อย่างไรก็ตาม ซูเสี่ยวจวิ้นไม่ไว้หน้าพวกเขาแม้แต่น้อยและเอ่ยวาจาซ้ำเติมความเจ็บปวดของทั้งสองโดยไม่ลังเลด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
สีหน้าของทั้งเฟิงอู๋และจูตี๋บิดเบี้ยวมากยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินวาจาเย้ยหยันของซูเสี่ยวจวิ้น
“เด็กน้อย เจ้าพูดว่าอะไรนะ! ลองพูดใหม่อีกทีซิ!”
เฟิงอู๋กล่าวอย่างเกรี้ยวกราด เขาขุ่นเคืองเรื่องนี้มากอยู่แล้ว เมื่อคิดว่าเด็กตัวกะเปี๊ยกอย่างซูเสี่ยวจวิ้นและอริคนอื่น ๆได้ผลจินหยินไปครอบครอง เขาก็แค้นเคืองยิ่งกว่าเดิม
บัดนี้เขาต้องการที่จะระบายโทสะคุกรุ่นอย่างเร่งด่วนและซูเสี่ยวจวิ้นพร้อมคณะก็ปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างเหมาะเจาะพอดี ในที่สุดเขาก็มีที่ระบายความโกรธแค้นที่สุมแน่นแทบระเบิดอยู่ในอก
“หึ หึ หึ น่าอายจริง ๆ พวกไร้ความสามารถที่ไม่ได้ครองผลจินหยิน แม้แต่ข้าก็ยังมีเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
ซูเสี่ยวจวิ้นหัวเราะเยาะเย้ยพวกเขาอย่างไม่ไว้หน้า และบรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดขึ้นทันที
.