หลังจากทั้งสองพูดจาตอบโต้กัน ทั้งห้องก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ
ซูเสี่ยวจวิ้นปรี่เข้าไปข้างฉินอวี้โม่และคว้าแขนของนางมาเกาะไว้ไม่เปลี่ยนแปลงก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้มกริ่ม “ทีแรกข้าก็คิดว่าพี่อวี้โม่เป็นบุรุษยอดเยี่ยมที่ไม่ด้อยไปกว่าท่านและพี่ซื่อชู่ ตอนนี้เมื่อข้าได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของพี่อวี้โม่แล้ว ทำไมข้ายังรู้สึกว่าความรู้สึกที่ข้ามีต่อพี่อวี้โม่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ?”
ฉินอวี้โม่และบุรุษทั้งสองแทบเหงื่อตกเมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาไม่สงวนท่าทีของซูเสี่ยวจวิ้น
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ถึงกับพูดไม่ออก ทั้งสองไม่คิดเลยว่าเด็กสาวอย่างซูเสี่ยวจวิ้นจะกล้าเอ่ยวาจาอย่างเปิดเผยเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามตรง อาภรณ์ในแบบบุรุษของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้กอปรกับความเก่งกาจอาจหาญของนาง ไม่ยากเลยที่จะทำให้ผู้อื่นถูกตาต้องใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสีหน้าท่าทางที่แข็งทื่อของพวกท่านสิ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของคนทั้งสาม ซูเสี่ยวจวิ้นก็อดหัวเราะด้วยความสาแก่ใจไม่ได้
“พี่อวี้โม่ ต่อไปนี้ท่านจะสวมอาภรณ์แบบบุรุษหรือเปลี่ยนกลับเป็นอาภรณ์แบบสตรีเล่า ? หากท่านออกไปแสดงตัวด้วยรูปโฉมงดงามไร้ที่เปรียบเช่นนี้ แม้แต่จงอู๋หยานผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในแผ่นดินก็จะต้องอับอายเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวตอบ “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น ข้าจะสวมอาภรณ์บุรุษต่อไป รูปลักษณ์สตรีจะตกเป็นเป้าสายตาผู้คนได้ง่ายไม่ว่าข้าไปที่ใด หากจูอวิ๋นชางออกตามล่าพวกเรา ต่อให้พวกเราจะไม่เกรงกลัวเขา ทว่าพวกเราก็ไม่มีเวลาที่จะมาเพื่อรับมือกับเขา”
“พี่อวี้โม่มีความคิดที่รอบคอบจริงเชียว ไม่รู้ว่าจะมีบุรุษมากมายเพียงใดที่หมายปองท่านหากได้ยลโฉมในยามสวมอาภรณ์แบบสตรีงดงามดุจเทพจุติเช่นนี้ แม้เมื่อเปลี่ยนเป็นอาภรณ์แบบบุรุษ คนเหล่านั้นก็ยังต้องมองพี่อวี้โม่ไม่วางตา”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองเหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยพร้อมกล่าวติดตลก “แม้แต่ตอนที่พี่ซื่อชู่และพี่อวิ๋นเหล่ยได้ยลโฉมพี่อวี้โม่ แววตาท่าทางของพวกเขาก็ไม่เหมือนเดิม”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเหงื่อแตกพลั่กและมองซูเสี่ยวจวิ้นด้วยแววตาห้ามปรามให้นางหยุดพูดเรื่องไร้สาระ
ซูเสี่ยวจวิ้นแลบลิ้นอย่างล้อเลียนโดยไม่สนใจท่าทางเก้อกระดากของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หลังจากสนทนากันอย่างเพลิดเพลินหรรษา ทุกคนก็กลับออกไป และเมื่อฉินอวี้โม่เปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย ทุกคนก็พร้อมที่จะออกเดินทาง
ฉินอวี้โม่เปลี่ยนกลับเป็นอาภรณ์บุรุษอย่างรวดเร็วพร้อมสวมหน้ากากบดบังใบหน้าก่อนออกจากห้องพักตรงไปที่ห้องโถงรับรองและพบกับคนอื่น ๆ
“พี่อวี๋โม่ ไปกันเถอะ”
ซูเสี่ยวจวิ้นเดินตรงเข้ามาและคว้าแขนฉินอวี้โม่ไปเกาะไว้อย่างแนบชิด ปากเล็กได้รูปของนางยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุข
ฉินอวี้โม่ถึงกับต้องนวดศีรษะของตนเองเพราะอากัปกิริยาของเด็กสาวผู้นี้ จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าออกจากโรงเตี๊ยมด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
จุดหมายปลายทางคือเมืองไป๋อวี้ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเยี่ยหลาย
จากเมืองเยี่ยหลายไปจนถึงเมืองไป๋อวี้ พวกเขาจะต้องเดินทางผ่านผืนป่าสองผืนและเมืองสามเมือง
หลังออกจากเขตเมืองเยี่ยหลาย พวกเขาใช้เวลาสามวันเพื่อมาถึงเมืองแรก—เมืองซิวเสียน
**休闲 ซิวเสียน แปลว่า ความผ่อนคลาย
เป็นอย่างชื่อของมัน บรรยากาศในเมืองซิวเสียนแห่งนี้เต็มไปด้วยความผ่อนคลายและการพักผ่อน ในเมืองนี้มีสถานที่โด่งดังอยู่สองแห่ง ที่แรกคือบ่อนการพนันที่ทุกคนให้ความสนใจและอีกที่คือหอนางโลมซึ่งเป็นที่รวมตัวของบุรุษจำนวนมาก
แม้ว่านี่คือดินแดนที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพยำเกรงสูงสุดและทุกคนจดจ่อกับการหมั่นฝึกฝนวิชา ทว่าก็ยังมีสถานที่อย่างหอนางโลมให้ได้เห็นในหลายแห่ง
อย่างไรก็ตาม หอนางโลมในเมืองซิวเสียนแห่งนี้ค่อนข้างแตกต่างจากที่พบเห็นในเมืองอื่น ๆ
ภายในหอนางโลมของเมืองซิวเสียนแห่งนี้ สตรีส่วนใหญ่ยินดีเข้าร่วมให้บริการ ทว่าก็ไม่ได้ขายเรือนร่างอย่างหญิงคณิกา
อย่างไรก็ตาม ยังมีหญิงคณิกาจำนวนไม่น้อยที่เต็มใจขายเรือนร่างของตนเองและหอนางโลมก็ไม่ได้หักห้ามเช่นกัน
ฉินอวี้โม่สนใจหอนางโลมนี้เป็นอย่างมาก หอนางโลมเป็นสถานที่สืบเสาะข้อมูลที่ง่ายที่สุดในเมืองและนางมีโอกาสค้นหาเบาะแสเรื่องที่ต้องการรู้ได้จากที่นี่ ดังนั้นเมื่อมาถึงเมืองซิวเสียน นางจึงตัดสินใจไปที่หอนางโลมโดยไม่รีรอ
เมื่อได้รู้สิ่งที่คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินคิดจะทำ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ถึงกับพูดไม่ออก เหวินซื่อชู่เองก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร เพียงแต่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในทางกลับกัน ดรุณีน้อยอย่างซูเสี่ยวจวิ้นมีท่าทีตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา
“อะแฮ่ม เสี่ยวจวิ้น เจ้าและพี่เหวินซื่อชู่ของเจ้าไปที่อื่นกันก่อนเถอะ ข้าจะไปที่หอนางโลมกับพี่อวี้โม่ของเจ้าเอง”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกระแอมเบา ๆ ก่อนบอกให้ซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่แยกไปที่อื่น
“ทำไมล่ะ ? ข้าก็อยากจะไปที่หอนางโลมนั่นเหมือนกัน”
ซูเสี่ยวจวิ้นค้านเสียงแข็งโดยไม่ลังเลและแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน
นางเองก็สนใจใครรู้เกี่ยวกับหอนางโลมเช่นกัน แล้วเหตุใดนางจึงจะต้องยอมไปที่อื่นที่ไม่อยากไปด้วยเล่า ?
“ที่แบบนั้นไม่เหมาะกับเด็กอย่างเจ้าหรอก เจ้ายังเด็กมาก อีกอย่างคนที่นั่นอาจไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าไป เจ้าไปที่บ่อนการพนันกับซื่อชู่เสียเลยจะดีกว่า บางทีเจ้าอาจจะโกยกำไรมาได้มากมาย”
อย่างไรก็ตาม ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่ลังเลที่จะขัดขวางซูเสี่ยวจวิ้นอย่างสุดความสามารถ
แม้ว่าหอนางโลมที่นี่จะมีชื่อเสียงในทางที่ดี เขาก็กังวลว่านางอาจจะต้องเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น
ซูเสี่ยวจวิ้นยังเด็กมาก แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้นางได้เห็นด้านมืดของโลก
ซูเสี่ยวจวิ้นไม่ยอมลดละและกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเหวินซื่อชู่คว้าแขนเล็ก ๆ ของนางอย่างเร็วและพาตัวนางไปในทิศทางของบ่อนการพนันโดยไม่รีรอ
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่เหวินไม่ช่ำชองในเรื่องสตรีและเขาก็เย็นชายิ้มยาก เขาไม่อยากไปที่หอนางโลมหรอก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มมุมปากและกล่าวอธิบาย เขารู้จักเหวินซื่อชู่บุรุษยิ้มยากเป็นอย่างดี
ฉินอวี้โม่ไม่ได้พูดอะไรและเดินตรงไปที่หอนางโลมพร้อมกับฉีอวิ๋นเหล่ย
หอนางโลมตั้งอยู่บนถนนเส้นที่แออัดที่สุดตรงใจกลางเมืองซิวเสียน มันเป็นอาคารสามชั้นซึ่งโดดเด่นสะดุดตาอย่างมากในเมืองแห่งนี้
ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยใช้เวลาหนึ่งก้านธูปในการเดินไปถึงทางเข้าของหอนางโลม
หอนางโลมแห่งนี้ต่างจากที่ฉินอวี้โม่จินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง ที่นี่มีสาวใช้เพียงสองคนยืนต้อนรับข้างหน้าอาคารด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
ที่นี่ไม่มีสตรีแต่งเครื่องประทินโฉมหนาเตอะยืนอ้อยอิ่งอยู่นอกอาคาร อีกทั้งยังไร้ซึ่งกลิ่นของผงสีชาดและแป้งผัดหน้า ทุกอย่างที่เห็นตรงหน้าไม่เหมือนกับสิ่งที่เทียบได้กับหอนางโลมในโลกที่ ‘เธอ’ จากมาแม้แต่น้อย
“นายท่าน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยเข้ามาใกล้ สาวใช้ร่างเล็กก็กล่าวอย่างเคารพด้วยน้ำเสียงหวานใสน่าฟังและนำทางทั้งสองเข้าไปข้างใน
เมื่อก้าวเท้าเข้าในตัวอาคาร อดีตนักฆ่าสาวก็รู้สึกแปลกไปเล็กน้อย
ภายในไม่มีบรรยากาศน่าอึดอัดและไม่มีหญิงคณิกาลอยชายอยู่โดยรอบ มีเพียงกลิ่นหอมบาง ๆ ลอยมาแตะจมูกและเสียงพิณบรรเลงเสนาะหูเท่านั้น
“ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองต้องการห้องชั้นบน ชั้นล่าง หรือห้องรับรองรึเจ้าคะ ?”
สาวใช้ร่างอรชรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ
“ห้องชั้นบน”
ฉีอวิ๋นเหล่ยตัดสินใจโดยไม่รอให้ฉินอวี้โม่พูดอะไร
ตอนนี้มีหลายคนนั่งอยู่ในห้องโถงนี้ สตรีหลายนางนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาทั้งสองและกำลังสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน
อย่างไรก็ตาม ห้องโถงนี้ไร้ซึ่งบรรยากาศความน่าสงสัยและคนเหล่านี้ดูเหมือนมิตรสหายเก่าแก่ที่กำลังสนทนาพาทีกันอย่างออกรส
เมื่อได้ยินว่าทั้งสองต้องการห้องชั้นบน บุรุษอายุน้อยคนหนึ่งก็ยิ้มอย่างสุภาพและนำทางขึ้นไปยังชั้นที่สาม
เขาเปิดประตูห้องและเดินนำเข้าไป
ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอวล ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่หนาแน่นยิ่งกว่าข้างนอกเสียอีก
“ชั้นบนของเรามีเพียงสามห้องเท่านั้น เพียงแค่ท่านทั้งสองนั่งอยู่ข้างใน มันก็สามารถช่วยในการบ่มเพาะวรยุทธ์ได้เช่นกัน แน่นอนว่าราคาจะสูงสักหน่อย เมื่อถึงเวลาที่ท่านจะกลับก็เพียงเอ่ยเรียกข้าและจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเท่านั้น”
เด็กหนุ่มอธิบายอย่างยิ้มแย้มและยังคงท่าทางเคารพนอบน้อมเช่นเดิม
ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะโดยไม่พูดอะไร
“นายท่าน นี่คือรายชื่อสตรีในหอนางโลมของเรา เชิญท่านทั้งสองเลือกสตรีที่ท่านสนใจได้เลยขอรับ”
ชายหนุ่มยื่นรายชื่อให้กับฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย บนนั้นมีรายชื่อมากมายซึ่งน่าจะเป็นชื่อของสตรีทั้งหมดในหอนางโลมแห่งนี้
ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยรับรายชื่อจากเด็กหนุ่มและไล่สายตาดู
รายชื่อดังกล่าวระบุข้อมูลอย่างละเอียดจนอดีตนักฆ่าสาวยังประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ ความงดงามหรือพลังความแข็งแกร่ง รายชื่อฉบับนี้มีการแนะนำสตรีในหอนางโลมมากมาย
แม้แต่ด้านขวาของบางรายชื่อจะมีตัวหนังสือระบุไว้ว่า ‘ขายเรือนร่าง’ อย่างชัดเจน ไม่น่าเชื่อเลยว่าสตรีเหล่านี้จะขายทั้งศิลปะและเรือนร่างของตนเอง
เดิมทีฉินอวี้โม่มาหอนางโลมแห่งนี้เพื่อสืบหาเบาะแสข่าวสาร ด้วยเหตุนั้นนางจึงเลือกชื่อที่อยู่บนสุดของรายชื่อทั้งหมดอย่างไม่ลังเลซึ่งควรจะเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุดในหอนางโลมแห่งนี้
“นายท่าน ขออภัยขอรับ โดยปกติแล้วแม่นางฉุ่ยเยว่ไม่ได้รับแขกง่ายนัก หานางต้องการจะเรียกนาง ท่านจะต้องตอบคำถามของนางให้ถูกต้องเสียก่อน”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสุภาพพลางอธิบาย
สตรีหมายเลขหนึ่งของหอนางโลมมีนามว่าฉุ่ยเยว่ซึ่งเป็นชื่อที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดน
พลังของฉุ่ยเยว่ผู้นี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีพอสมควรและนางอยู่ในอันดับยี่สิบของทำเนียบรุ่นเยาว์ ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มีรูปโฉมงดงามและมีชื่อเสียงโด่งดัง บุรุษมากมายเดินทางมาที่หอนางโลมแห่งนี้เพื่อเพียงยลโฉมนาง ทว่ามีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะสมปรารถนา
“ไปเตรียมมาสิ”
ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยมองหน้ากันอย่างรู้ใจ ทั้งสองล้วนคิดว่าการสืบข่าวครานี้น่าสนใจไม่น้อย
ทั้งสองเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของฉุ่ยเยว่มาก่อน นางเป็นสตรีที่พบหน้าได้ยากอย่างที่สุด ทว่านั่นก็ทำให้ทั้งสองสนใจมากขึ้น
เด็กหนุ่มพยักศีรษะรับคำและจากไป หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมคำโคลงคู่ฉบับหนึ่ง
“แม่นางฉุ่ยเยว่แต่งโคลงคู่มาประโยคหนึ่ง หากท่านทั้งสองตอบคำโคลงคู่ได้ นางจะมาให้ความรื่นรมย์กับท่านตลอดทั้งวันโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมใด ๆ”
เด็กหนุ่มยิ้มและยื่นกระดาษโคลงคู่นั้นให้กับฉินอวี้โม่
นางรับมันมาพร้อมรอยยิ้มเช่นกันและอ่านโคลงคู่ที่ได้รับ
“หนึ่งใจ หนึ่งความคิด สามารถเปลี่ยนกลุ่มมิตรสหาย!”
แม้ว่ามันดูเหมือนเป็นโคลงคู่ธรรมดา ๆ ทว่ามันก็ไม่ง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันดูยากซับซ้อนเกินไปสำหรับฉินอวี้โม่ ในชีวิตก่อน ‘เธอ’ ในร่างของคุณหนูสี่ก็ดูโทรทัศน์และเคยเห็นคำโคลงคู่มามากมาย บังเอิญเหลือเกินที่นางเคยเห็นโคลงบทนี้เช่นกัน
นางหยิบปากกาและจรดอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระดาษ จากนั้นฉินอวี้โม่ก็บอกให้เด็กหนุ่มคนเดิมนำมันไปส่งให้กับแม่นางฉุ่ยเยว่
เด็กหนุ่มไม่ได้ถือวิสาสะอ่านเนื้อหาในนั้น เขาเพียงยิ้มและมุ่งหน้าไปส่งสิ่งที่ได้มาจากฉินอวี้โม่ให้กับแม่นางโดยตรง
ภายในห้องถัดจากฉินอวี้โม่ สตรีสวมอาภรณ์สีแดงสดนั่งอยู่ในห้องนั้นพร้อมรอยยิ้มงามประดับใบหน้า
กลิ่นอายความน่าหลงใหลแผ่มาจากร่างของนางซึ่งดึงดูดใจเป็นที่สุด รูปร่างงดงามไร้ที่ตินี้ทำให้ผู้คนมากมายแทบกลั้นใจตายเพราะความริษยา
“แม่นางฉุ่ยเยว่ นี่ขอรับ”
เด็กหนุ่มรับใช้ยื่นโคลงของฉินอวี้โม่ให้กับแม่นางผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าสถานะของสตรีนามว่าฉุ่ยเยว่ผู้นี้น่าจะอยู่ในระดับสูงมาก
ฉุ่ยเยว่ยิ้มตอบขณะรับกระดาษแผ่นดังกล่าว
“ความงดงามไร้ที่ติ ดึงดูดจิต แขกพลันมา!”
เมื่อได้เห็นผลงานตรงหน้า มุมปากของนางก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงความพึงพอใจอย่างที่สุด
“ช่างเป็นสองบุรุษที่น่าสนใจจริงเชียว”
นางอดกล่าวพร้อมถอนหายใจอย่างพึงพอใจไม่ได้ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกังวานสดใสดุจดั่งนกน้อยซึ่งฟังดูอ่อนหวานเป็นที่สุด
“ไปกันเถอะ ข้าจะไปพบกับบุรุษทั้งสองท่านนี้”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มอย่างมีความสุขและเดินตรงไปที่ห้องของฉินอวี้โม่
“อวี้โม่ เจ้าแต่งโคลงคู่อะไรกลับไปงั้นรึ ?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับโคลงคู่ของฉินอวี้โม่อย่างมาก
คุณหนูสี่ตระกูลฉินยิ้มบาง ๆ และตอบฉีอวิ๋นเหล่ยเกี่ยวกับคำโคลงเมื่อครู่
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศเช่นนี้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยชะงักไปเล็กน้อยทว่าอดกล่าวแสดงความประหลาดใจออกไปไม่ได้
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มตอบ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ประตูห้องของทั้งสองก็ถูกเปิดออก
ฉุ่ยเยว่ยกยิ้มมุมปากและเดินทอดน่องเข้ามาอย่างช้าๆ
เมื่อได้พบแม่นางฉุ่ยเยว่ผู้เลื่องชื่อ ทั้งสองก็ชะงักค้างไปชั่วขณะก่อนที่รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏที่มุมปาก
.