“อวี๋โม่ ขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ได้เจ้าพวกเราคงแย่แล้ว”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และสวมกอดนางเบาๆพร้อมยิ้มอย่างอบอุ่น
“ฮ่าๆๆ อย่าสุภาพนักเลย ท่านก็รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบาๆและไม่ยอมรับคำขอบคุณจากอีกฝ่าย
บุรุษผู้อบอุ่นเพียงยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“พวกขุมกำลังเมฆาทะยาน เกรงว่าพวกเขาจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ ตอนนี้พวกเขาก็คิดที่จะร่วมมือกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายมแล้ว บางทีอาจจะมีแผนการต่อไปเตรียมไว้และคงจะไม่ยอมรามือง่ายๆแน่ เช่นนั้นเราจะต้องส่งคนกลับไปแจ้งข่าวเพื่อให้บิดาของข้า ท่านลุงซูและท่านลุงฉินระวังตัวไว้”
ฉีอวิ๋นเหล่ยใคร่ครวญครู่หนึ่งและตัดสินใจส่งข่าวกลับไป
ขุมกำลังเมฆาทะยานมีเจตนาชั่วร้ายอย่างเปิดเผย จากสถานการณ์ของไห่ป้าหวัง เขาน่าจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายม หากพวกเขาพยายามจะเอาชนะและทำลายขุมกำลังที่ไม่มั่นคงอื่นๆ เกรงว่าจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในดินแดนอ้างว้างอย่างแน่นอน!
“ข้าเห็นด้วย ท่านควรส่งข่าวกลับไป พวกเขาจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเผื่อว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเห็นด้วย นางคิดว่าการที่ฉีอวิ๋นเหล่ยจะส่งข่าวกลับไปแจ้งตระกูลและขุมกำลังอื่นๆถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
“โชคดีที่อสูรโฉมงามของเจ้าปรากฏตัวทันเวลา ไม่เช่นนั้นวันนี้เราคงแย่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มอย่างโล่งใจ อันที่จริงตอนที่เขาเห็นไห่ป้าหวังปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังใส่ฉินอวี้โม่ เขาเตรียมใช้ไพ่ตายของตนเองแล้ว
ต่อให้มารยาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา คุณหนูสี่ก็จะไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ออกไป
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อย
ต่อให้ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่พูดอะไร นางก็รู้เป็นอย่างดี
ทั้งเขาและเหวินซื่อชู่ต่างก็มีไพ่ตายของตนเอง ต่อให้มารยาจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาก็ไม่มีทางที่จะเกิดอะไรขึ้นกับนาง
“ต่อจากนี้เจ้าจะเดินทางเพียงคนเดียวอีกรึไม่?”
เหวินซื่อชู่ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึก
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าวพร้อมรอยยิ้มยืนยัน “ที่นี่ไม่มีอะไรให้ข้าทำเลย ในป่านี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ไห่ป้าหวังและคนพวกนั้นก็กำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดด้วยเจตนาที่ชั่วร้าย ข้าว่ามันจะเป็นการดีที่สุดหากเรารีบเดินทางไปที่เมืองไป๋อวี้กันก่อน”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็พยักศีรษะเห็นห้องต้องกันและเริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองไป๋อวี้
…..
อีกฟากหนึ่งของป่า ไห่ป้าหวังหลบหนีออกมาจากกลุ่มของฉินอวี้โม่จนถึงจุดที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว ใบหน้าของเขาบัดนี้ยังคงบิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้
“สหายไห่ เราจะทำอย่างไรกันต่อไป?”
สีหน้าท่าทางของสหายอู๋เองก็ไม่สู้ดีนักเช่นกัน เขาเอ่ยถามสหายด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปม
สหายไห่ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ “อยู่ดีๆไอ้เด็กหนุ่มคนนั้นก็โผล่มาและยังมีผู้ใช้ข่ายอาคมคอยช่วย เราจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้อีกต่อไป”
เขาหยุดพักชั่วคราวและกล่าวต่อ “ไปที่เมืองไป๋อวี้กันก่อนเถอะ งานชุมนุมช่างหลอมที่จะเกิดขึ้นถือเป็นงานใหญ่ของดินแดน หากเราได้แผนที่ซากปรักหักพังของยอดฝีมือขอบเขตเซียนมาครอบครอง เราก็จะยืดอกได้อย่างภาคภูมิตอนเข้าร่วมกับตระกูลเฟิงและขุมกำลังพญายม”
สหายอู๋ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขาเพียงพยักศีรษะรับฟังและเห็นด้วยเท่านั้น
“อีกอย่าง ช่างหลอมของเราจะเดินทางมาถึงในเร็วๆนี้ใช่รึไม่?”
สหายไห่นึกขึ้นไปและเอ่ยถาม
“ไม่ต้องกังวลไป สหายไห่ เขาจะมาถึงก่อนเริ่มงานชุมนุมช่างหลอมประมาณสามวัน”
ไห่ป้าหวังพยักศีรษะโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองไป๋อวี้
ในขณะเดียวกันนั้น สหายไห่ก็ส่งคนไปสืบข่าวเกี่ยวกับบุรุษลึกลับนามว่า ‘อวี๋โม่’ เขาอยากรู้นักว่าคนที่ขัดขวางแผนการของเขาแท้จริงแล้วเป็นใครมาจากไหน
……
สามวันผ่านไป ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางก็ปรากฏตัวหน้าประตูเมืองไป๋อวี้
เมืองหยกขาวแห่งนี้งดงามอย่างแท้จริง
** เมืองไป๋อวี้ >> 白玉 แปลว่า หยกสีขาว
กำแพงเมืองใหม่เอี่ยมของที่นี่แม้ว่าไม่ได้มีระดับความสูงที่มากนัก มันก็ดูประณีตละเอียดอย่างน่าประทับใจ ถึงแม้พื้นที่ไม่ได้กว้างขวางเท่าไหร่นัก มันก็ไม่แออัดจนเกินไปและคึกคักอย่างมาก
ฉินอวี้โม่มองมันเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็รับรู้ได้ว่าเมืองไป๋อวี้แห่งนี้ดูเหมือนปราสาทแบบตะวันตกในยุคสมัยโบราณในชาติก่อนที่นางจากมา
การสร้างเมืองไป๋อวี้ให้เป็นอย่างทุกวันนี้ ช่างฝีมือในเมืองนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ที่นี่ไม่มีการคุ้มกันตรวจตราคนเข้า-ออกหน้าประตู เห็นได้ชัดว่าเมืองนี้ไม่กังวลว่าใครจะเข้ามาสร้างปัญหาหรือก่อความไม่สงบ
ในฐานะเมืองที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่สมาคมช่างหลอมและหนึ่งในเมืองที่โด่งดังที่สุดในดินแดนอ้างว้าง เมืองไป๋อวี้ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะมาสร้างปัญหาที่นี่
เพราะไม่ว่าคนเหล่านั้นจะทรงพลังเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้ามีเรื่องกับสมาคมช่างหลอมอย่างแน่นอน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของสี่สมาคมใหญ่จะไม่มากเท่ากับขุมกำลังอันดับต้นๆของดินแดน อิทธิพลของสมาคมใหญ่ทั้งสี่ก็แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากหนึ่งในสี่สมาคมถูกหยามเกียรติ มันก็มีขุมกำลังมากมายที่พร้อมจะจัดการกับกลุ่มคนที่ท้าทายเพื่อใช้โอกาสนี้ในการผูกมิตรไมตรีกับทางสมาคม
ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองไป๋อวี้โดยไม่ลังเลและเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมในเมือง
พวกเขาเข้าออกโรงเตี๊ยมหลายแห่งติดต่อกัน ทว่าห้องพักทั้งหมดล้วนมีคนจับจองไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่างานชุมนุมช่างหลอมนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายจนแม้กระทั่งเจ็ดวันก่อนเริ่มงานก็มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาถึงที่นี่กันแล้ว
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย พวกเขาไม่มีที่พักในเมืองไป๋อวี้และไม่มีคนรู้จักคุ้นเคยอยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว หากไม่มีห้องพักว่างในโรงเตี๊ยมทุกแห่งของเมือง เกรงว่าพวกเขาจะต้องกินนอนตามถนนรายทาง
เมื่อสอบถามโรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่งและพบว่าไม่มีห้องว่างเช่นกันนั้น สีหน้าของคุณหนูสี่และคณะก็หม่นหมองซังกะตาย
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเป็นคนฉลาดพอสมควร เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และทุกคน เขาพอจะคาดเดาบางสิ่งบางอย่างได้
“ฮ่าๆๆ ข้าต้องขออภัยจริงๆ พวกท่านก็น่าจะรู้ว่าเป็นเพราะงานชุมนุมนี้ ห้องพักทั้งหมดในโรงเตี๊ยมของเราจึงเต็มตั้งแต่เช้าตรู่แล้วขอรับ คิดว่าโรงเตี๊ยมทุกแห่งในเมืองไป๋อวี้ก็น่าจะเหมือนกันหมด”
เถ้าแก่ยิ้มพร้อมกล่าวขออภัยจากใจจริง
ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ส่งยิ้มให้กับเถ้าแก่ขณะเตรียมหันหลังกลับออกไปพลางคิดหาหนทางอื่น
ทันใดนั้นเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็กล่าวรั้งคณะเดินทางฉินอวี้โม่
“พวกท่านมีใครมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมรึไม่?”
เถ้าแก่ลอบมองฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก่อนสายตาบรรจบลงที่ฉีอวิ๋นเหล่ยราวกับเขามองออกว่าบุรุษสุภาพอ่อนโยนคือผู้นำของคณะเดินทางนี้
เมื่อฉีอวิ๋นเหล่ยได้ยินคำถาม เขาก็พยักศีรษะเบาๆและไม่ได้ปกปิดข้อมูล
ในเมื่อจู่ๆเถ้าแก่เอ่ยถามเช่นนี้ มันจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาอยากจะบอกเป็นแน่
“ฮ่าๆๆ หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักหรอกขอรับ เท่าที่ข้ารู้ สมาคมช่างหลอมได้เตรียมที่พักไว้สำหรับช่างหลอมที่เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว”
เถ้าแก่กล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับอธิบาย
งานชุมนุมช่างหลอมเป็นงานใหญ่ประจำปีงานหนึ่งที่เปิดต้อนรับช่างหลอมจากทั่วทุกสารทิศ
สำหรับช่างหลอมทุกคน จิตใจและสมาธิที่มั่นคงคือสิ่งที่สำคัญมากหากว่าพวกเขาต้องการแสดงฝีมืออย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนั้น สมาคมช่างหลอมจึงเตรียมที่พักจำนวนมากสำรองให้พวกเขาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่บรรดาผู้ที่มาทีหลังจะได้มีห้องพัก
อย่างไรก็ตาม หากต้องการเข้าพักที่นั่น บรรดาจอมยุทธ์จะต้องยืนยันตัวตนความเป็นช่างหลอมของตนเองเสียก่อน
กล่าวคือพวกเขาต้องไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อประเมินระดับฝีมือในการหลอมและจะได้เข้าพักในสถานที่ที่สมาคมเตรียมไว้
หลังจากฟังคำอธิบายของเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ฉินอวี้โม่และทุกคนก็เข้าใจเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
สมาคมช่างหลอมร่ำรวยมหาศาล จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีสถานที่สำรองสำหรับพักอาศัย
เพียงแต่หากผู้ใดอยากเข้าพักในที่ที่สมาคมเตรียมไว้ คนผู้นั้นจะต้องเข้ารับการประเมินฝีมือก่อน
“ขอบคุณเถ้าแก่มากที่บอกรายละเอียดกับพวกเรา”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ จากนั้นคณะเดินทางก็กลับออกไปจากโรงเตี๊ยม
“ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าสมาคมช่างหลอมจะประเมินระดับฝีมือการหลอมของพวกเจ้าในระดับไหน”
เขากล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาไม่เคยเข้าใจทักษะการหลอมที่แท้จริงของเหวินซื่อชู่และฉินอวี้โม่มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น หากใครอยากเข้าร่วมงานชุมนุม คนคนนั้นจะต้องไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อรับการประเมินฝีมือ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆจึงมุ่งหน้าไปรับการประเมินทันทีเพื่อดูระดับของตนเองก่อนไปหาที่พัก
คณะเดินทางพูดคุยและหัวเราะกันอย่างเพลิดเพลินขณะเดินตรงไปที่สมาคมช่างหลอม
เมืองไป๋อวี้แห่งนี้ไม่มีจวนเจ้าเมืองและจุดที่ถือว่าเป็นพิกัดสำคัญใจกลางเมืองคือจุดที่ตั้งของสมาคมช่างหลอม
คุณหนูสี่ตระกูลฉินและคนอื่นๆเดินเข้าไปและมองเห็นอาคารแบบตะวันตกขนาดเล็กสองชั้นที่มีลักษณะเป็นวงแหวนตั้งตระหง่านตรงหน้าซึ่งดูยิ่งใหญ่อย่างที่สุด
หน้าประตูของสมาคมช่างหลอมมีเด็กรับใช้ร่างเล็กสองคนยืนต้อนรับอยู่
ใบหน้าของทั้งสองยิ้มแย้มแจ่มใสและดูเข้าถึงได้ง่าย
ขณะที่ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางกำลังจะเดินเข้าไป จู่ๆคนกลุ่มหนึ่งก็เดินตัดเข้ามาจากอีกทาง
คนเหล่านั้นเบียดผ่านฉินอวี้โม่อย่างหยาบคายและไม่ใส่ใจเพื่อแทรกไปยืนข้างหน้า
“เฮ้ พวกเจ้าไม่รู้จักคำว่า ‘มาก่อนได้ก่อน’ รึไง?!”
ในตอนแรกซูเสี่ยวจวิ้นร่าเริงอารมณ์ดี อีกทั้งยังตื่นเต้นที่จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ทว่านางก็เกิดอารมณ์ฉุนเฉียวทันทีที่คนหยาบคายเหล่านี้แทรกแถวแซงคิว
“หึ เงียบปากซะ ไอ้พวกบ้านนอก!”
เมื่อคนกลุ่มนั้นได้ยินวาจาของเด็กสาว พวกเขาไม่สนใจคำพูดของนางด้วยซ้ำแต่กลับกล่าวดูถูกอีกฝ่ายอย่างทะนงตน
“ผู้อาวุโสหวังซั่ว ถึงแล้วขอรับ !”
คนเหล่านั้นยืนแบ่งเป็นสองฝั่งและแบกเสลี่ยงไว้บนบ่า
ผู้ที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงสูงคือบุรุษวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี เปลือกตาของเขาปิดสนิทและไม่อาจคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไร
“อืม..”
เสียงเบาดังมาจากริมฝีปากของบุรุษคนดังกล่าว จากนั้นเขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา
รอยยิ้มบางยกขึ้นที่มุมปากของเขาเมื่อเห็นว่ามาถึงสมาคมช่างหลอมแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตัวเขาจะนิ่งเฉยและไม่ได้มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อน จู่ๆแรงกดดันที่ไม่รู้ต้นกำเนิดก็กระแทกเข้าที่เสลี่ยงของเขา
ตุบ ! โอ๊ย!
เสลี่ยงประจำตัวของบุรุษวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสหวังซั่ว’ ทรุดล้มลงและร่างของเขากระแทกพื้นอย่างแรงจนอดส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดไม่ได้
“ใครกัน?!”
เมื่อเห็นอากัปกิริยาและสีหน้าอับอายของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่และคณะก็อดหัวเราะอย่างสาแก่ใจไม่ได้
เด็กรับใช้สองคนหน้าประตูก็ขำพรืดออกมาเช่นกัน
หลายคนที่น่าจะเป็นลูกน้องของหวังซั่วปรี่เข้าไปช่วยพยุงเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นก็จ้องมองคณะเดินทางฉินอวี้โม่ตาเขม็งและลั่นวาจาดังสนั่น!
“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าเสลี่ยงนั่นจะแข็งแรงไม่พอกระมัง”
อดีตนักฆ่าสาวกล่าวเย้ยหยันอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่ว่าหวังซั่วผู้นี้จะเป็นใคร กลุ่มของเขาก็หยิ่งทะนงและพูดจาดูหมิ่นผู้อื่นอย่างมาก คนพวกนี้คิดว่าตนเองสูงส่งและนึกจะทำอะไรใครที่อ่อนแอกว่าก็ได้
“พี่อวี๋โม่ เป็นไปได้รึไม่ว่าผู้อาวุโสหวังซั่วตัวหนักเกินไปและนั่งทับจนเสลี่ยงพังน่ะ? ฮ่า ๆ ๆ”
ซูเสี่ยวจวิ้นอดกล่าวเยาะเย้ยออกมาไม่ได้เช่นกันและน้ำเสียงของนางหยามเกียรติอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
นางตระหนักถึงพลังที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ดีและนั่นมาจากฉีอวิ๋นเหล่ยข้างกายนางนี่เอง
ผู้อาวุโสหวังซั่วคนนี้ทะนงตนมากเกินไปและฉีอวิ๋นเหล่ยอดสั่งสอนเขาไม่ได้
“บัดซบ! พวกเจ้าไม่รู้รึว่าผู้อาวุโสหวังซั่วคือใคร!”
เมื่อทนฟังคำดูหมิ่นจากฉินอวี้โม่และคนอื่นๆไม่ไหว บุรุษคนหนึ่งก็อดลั่นวาจาออกไปไม่ได้
.