เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็หันกลับไปมอง นางเห็นบุรุษในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
บุรุษผู้นั้นมีอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า และด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มอ่อนโยนผู้มีจิตใจดี
“นายน้อย”
ดูเหมือนทหารเฝ้าประตูเมืองจะรู้จักกับชายหนุ่มใจดีผู้นี้ ทหารผู้นั้นโค้งทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
“ให้พวกเขาเข้าไปเถอะ ข้ารับประกันให้เอง”
ชายผู้นั้นกล่าวและหันมาส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่ “ข้าลั่วอวิ๋น มีธุระที่เมืองนี้พอดี เราเข้าไปด้วยกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายช่วยนางแก้ปัญหาหนักอกไปได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าลั่วอวิ๋นผู้นี้มีจุดประสงค์อย่างไร แต่ดูๆ ไปแล้วเขาก็ไม่น่าจะใช่คนที่เลวร้ายนัก
ยิ่งกว่านั้นทหารที่เฝ้าประตูยังเรียกเขาว่านายน้อย อีกทั้งเจ้าเมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็ใช้แซ่ลั่ว สำหรับฉินอวี้โม่แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของลั่วอวิ๋นผู้นี้จึงเห็นได้ชัดและคาดเดาได้ไม่ยาก
“ขอบคุณท่านมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเดินเข้าไปในเมืองเยว่กวางพร้อมกับลั่วอวิ๋น
หลังจากผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว อดีตคุณหนูสี่ก็ได้พบว่าภายในเมืองนี้รุ่งเรืองยิ่งกว่าภาพที่เห็นจากภายนอกเสียอีก ผู้คนมากมายเดินไปมาขวักไขว่ ตึกรามบ้านช่องโอ่อ่าใหญ่โต ทั้งยังดูหรูหราตระการ ร้านรวงจำนวนมากถูกสร้างอยู่ในรูปแบบของอาคารสูงที่มีตั้งแต่สองชั้นไปจนถึงสี่หรือห้าชั้นตั้งเรียงรายแน่นขนัดอยู่เต็มสองข้างทาง ทว่าก็ยังคงดูเรียบร้อยเป็นระบบระเบียบ นอกจากนี้ถนนหนทางของเมืองก็กว้างขวางสะอาดตาและมีโคมไฟสาธารณะขนาดใหญ่แขวนเอาไว้เพื่อให้แสงสว่างอยู่จนสุดทาง เมืองเยว่กวางนี้เป็นเมืองใหญ่ที่เจริญและครึกครื้นเป็นอย่างมาก
“แม่นางจะไปที่ไหนต่อ?”
ดูเหมือนว่าลั่วอวิ๋นจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้หญิง เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับยิ้มใจดี
“ข้าอยากจะไปที่สมาคมทหารรับจ้างก่อน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าชื่อฉินอวี้โม่มาจากเมืองหลิงซี….”
.
.
หลังออกจากจวนตระกูลฉินมาได้ อดีตคุณหนูผู้เพิ่งจะเผาเรือนศัตรูหัวใจของมารดาก็มุ่งตรงไปยังโรงหมอทันที นางไม่สนใจสายตาแสดงความประหลาดใจปนตกตะลึงของเสี่ยวโร่วตอนที่เห็นอาชาสีนิลบินได้และรีบพาสาวใช้ตัวน้อยขึ้นหลังเสี่ยวเฮยก่อนจะบินตรงมาที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
แท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางของอดีตคุณหนูสี่ก็คือเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น — นครไป๋อวิ๋น
ตอนนี้นางไม่ทราบข้อมูลใดๆ ที่จะใช้ตามหาผู้เป็นมารดา และไม่รู้เลยว่านางจะถูกพาตัวไปที่แห่งใด เบาะแสเพียงอย่างเดียวของนางก็คืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกยอดฝีมือที่มีฝีมือสูงส่งมากผู้หนึ่งพาตัวไป และสถานที่ที่จะมีโอกาสจะได้พบเจอเบาะแสอื่นหรือได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับยอดฝีมือเก่งกาจที่เดินทางมากับสตรีวัยกลางคนก็ต้องเป็นเมืองที่ใหญ่และเจริญมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางต้องเดินทางไปตามเมืองใหญ่เพื่อเพิ่มโอกาสในการสืบหาข่าวของมารดา และนครไป๋อวิ๋นก็เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในเขตนี้และยังเป็นสถานที่ตั้งของขุมกำลังซึ่งเป็นจุดรวมตัวของยอดฝีมือจำนวนมาก ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจออกเดินทางไปเยือนนครแห่งนั้น
ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากความทรงจำของคุณหนูสี่ตัวจริงไม่ผิดแล้วล่ะก็ ฉินเซียวบุตรชายคนโตแห่งตระกูลฉิน พี่ชายร่วมมารดาของนางตอนนี้ก็น่าจะอยู่ภายในนครไป๋อวิ๋นด้วย
.
.
เมื่อได้ฟังจนจบลั่วอวิ๋นก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “อ่อ แม่นางฉินตั้งใจจะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์เพื่อไปยังนครไป๋อวิ๋น”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ลั่วอวิ๋นเป็นชายหนุ่มที่สุภาพมากอย่างแท้จริง เพราะแม้ว่านางจะเอ่ยเล่าเรื่องราวคร่าวๆ อย่างคลุมเครือและดูจะเต็มไปด้วยปริศนาแต่เขากลับไม่ได้สอบถามสิ่งใดมากความให้นางอึดอัดแม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่กำลังรู้สึกว่าชายผู้นี้คบหาได้ง่าย
“หึหึ แม่นางฉินผ่านมาที่เมืองเยว่กวางของเราโดยบังเอิญ ข้าว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต เช่นนั้นมันจะดีกว่าหรือไม่หากแม่นางอยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อรอเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองที่กำลังจะมาถึง”
“เทศกาลอสูรล้อมเมือง?”
ฉินอวี้โม่เองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน เป็นเพราะเมืองเยว่กวางแห่งนี้อยู่ติดกับป่าแสงจันทร์จึงมักจะถูกอสูรมายาบุกโจมตีอยู่บ่อยครั้งทำให้ต้องมีการรักษาความปลอดภัยของเมืองทั้งทางบกและทางอากาศ และในทุกห้าปีจะมีวันหนึ่งที่กองทัพของเหล่าอสูรมายาบุกเข้าล้อมเมือง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด แต่ทุกๆ ห้าปี วันที่กองทัพอสูรเหล่านั้นบุกเข้าโจมตีเมืองจะต้องตรงกันเสมอ
เมื่อวันนั้นมาถึงอสูรมายาจำนวนมหาศาลจะบุกออกมาจากป่าแสงจันทร์พร้อมๆ กัน แล้วพุ่งเข้าโอบล้อมโจมตีเมืองเยว่กวางจากแทบทุกทิศ โดยในกองทัพอสูรมายาเหล่านั้นจะมีตั้งแต่สัตว์อสูรที่อ่อนแอไปจนถึงสัตว์อสูรที่ทรงพลังและมีระดับสูง ชาวเมืองคุ้นชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเช่นนี้และเรียกขานวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ‘วันอสูรล้อมเมือง’
ซึ่งเรื่องนี้ก็สามารถดึงดูดยอดฝีมือจำนวนมากให้เข้ามาในเมืองเพื่อต่อกรกับฝูงสัตว์อสูรได้ ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีจากที่เพียงแค่เตรียมตัวตั้งรับก็แปรเปลี่ยนเป็นเริ่มแข่งขันกันสังหารอสูรมายาจนเกิดเป็น ‘เทศกาลอสูรล้อมเมือง’ เหมือนเช่นทุกวันนี้
และหากผู้ใดออกมาล่าและสังหารเหล่าอสูรมายาในวันนี้จะไม่ใช่แค่เพียงได้แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่ทางการของเมืองเยว่กวางก็จะมอบรางวัลให้กับผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการสังหารอสูรมายาอีกด้วย
“อีกเจ็ดวันนับจากวันนี้จะเป็นวันที่อสูรมายาบุกโจมตีเมือง ปีนี้ทางสำนักเจ้าเมืองได้เตรียมรางวัลสุดพิเศษไว้เรียบร้อยแล้ว”
ลั่วอวิ๋นยิ้มและเปิดเผยข้อมูลที่เขาได้รู้มาออกไปเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ “ข้าจะลองคิดดูอีกที อย่างไรก็ขอบคุณท่านมาก คุณชายลั่วอวิ๋น”
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดลั่วอวิ๋นผู้นี้ถึงได้ช่วยเหลือนางให้ผ่านเข้าเมืองได้ นั่นก็เป็นเพราะอีกฝ่ายมองเห็นเสี่ยวเฮยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนาง และที่สาวอดีตนักฆ่ารู้เรื่องนี้ก็เพราะเห็นอีกฝ่ายลอบมองมันอยู่บ่อยครั้ง
“คุณชายลั่ว เหตุใดท่านถึงช่วยให้ข้าผ่านเข้าเมืองมา? ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนไม่ดีหรือ?”
แม้ว่าจะคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงได้แล้ว แต่นางก็ยังอยากจะยืนยันให้มั่นใจจึงแกล้งถามลองเชิงบุรุษตรงหน้าออกไป เธอกำลังอยากรู้ว่าลั่วอวิ๋นคนนี้คนที่เธอคิดว่าน่าคบหาจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
“เพราะว่าความรู้สึก”
ลั่วอวิ๋นยิ้มละไมพลางกล่าวตอบ “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนเลวร้ายอะไร เจ้ามีอสูรระดับนั้นเป็นผู้พิทักษ์อยู่แล้ว หากว่าเจ้าเป็นคนไม่ดีจริงๆ ล่ะก็ เจ้าคงจะไม่เสียเวลาเจรจากับยามเฝ้าประตูเมืองและคงจะใช้กำลังฝ่าเข้ามานานแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำตอบของบุรุษหนุ่มใจดี ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มไม่ได้ ลั่วอวิ๋นผู้นี้ดูจะเป็นคนดีไม่น้อยจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวก่อน”
ฉินอวี้โม่โค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนจะหันหลังและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังสมาคมทหารรับจ้างแห่งเมืองเยว่กวาง
“ลาก่อนแม่นาง”
หลังจากร่ำลากันแล้วลั่วอวิ๋นเองก็หันหลังและมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จวนของเจ้าเมืองตั้งอยู่