หลังจากเดินตามบุรุษคนนั้นไปยังห้องถัดไป ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยก็พบสตรีที่ดูคุ้นตา
สตรีนางนั้นสวมอาภรณ์สีแดงสด เรือนร่างสมบูรณ์แบบชวนให้ลุ่มหลงและรอยยิ้มหวานสะกดตาประดับบนใบหน้า สตรีผู้นี้คือฉุ่ยเยว่ที่ทั้งสองเคยได้พบในหอนางโลม
“ฮิๆๆ คุณชายทั้งสอง ได้พบกันอีกแล้วนะเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ฉุ่ยเยว่ก็ลุกขึ้นและยิ้มให้ทั้งสองอย่างเป็นมิตรพร้อมกล่าวทักทาย
“ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็เป็นแม่นางฉุ่ยเยว่นี่เอง”
ฉินอวี้โม่กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเช่นกัน หากแต่นางไม่คาดคิดว่าคนที่เชิญนางมาพบจะเป็นแม่นางฉุ่ยเยว่ผู้นี้
“คุณชายอวี๋โม่ยังคงสุภาพไม่เปลี่ยนแปลง เรียกข้าว่าฉุ่ยเยว่ก็พอเจ้าค่ะ”
ฉุ่ยเยว่กล่าวขณะผายมือเชื้อเชิญให้นั่งลงก่อนรินน้ำชาให้คนทั้งสอง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยก็นั่งลงอย่างไม่ลังเลก่อนหยิบน้ำชาขึ้นจิบ
“ยังคงหอมหวานเหมือนเดิม ไม่คิดเลยว่าเวลาไปไหนมาไหน ฉุ่ยเยว่จะพกชาของตัวเองติดตัวไปด้วยเสมอ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยเบา ๆ
“ฮ่าๆๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณชายอวี๋โม่จะจำรสชาของข้าได้ด้วย”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ฉุ่ยเยว่ก็อดยิ้มไม่ได้และรู้สึกชื่นชมนางมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าชอบดื่มชาของตนเองเป็นที่สุด ไม่ว่าน้ำชาข้างนอกจะรสดีแค่ไหน ข้าก็ไม่รู้สึกว่ามันฝาดละมุนลิ้นเหมือนชาของข้าเอง”
ถึงแม้นางจะรู้ว่าไม่มีความจำเป็นที่ตนเองจะต้องอธิบายเลย ฉุ่ยเยว่ก็เอ่ยปากอธิบายเหตุผลของตัวเองออกไปโดยสัญชาตญาณ
นางเป็นคนช่างเลือกและค่อนข้างจุกจิกไม่น้อย เมื่อเดินทางไปที่ใด ไม่ว่าชาข้างนอกจะเป็นชารสดีแค่ไหน นางก็ไม่รู้สึกว่ามันดีพอ เพราะเหตุนั้นทุกครั้งที่เดินทางไปข้างนอก นางจึงมักจะพกชาของตนเองติดตัวไว้เสมอ
“ฮ่าๆๆ แม่นางฉุ่ยเยว่ไม่ต้องอธิบายหรอก การได้ดื่มชารสดีก็เป็นความเพลิดเพลินสำหรับพวกเราเช่นกัน”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและกล่าวกับอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉุ่ยเยว่ก็อดหัวเราะร่าอีกครั้งไม่ได้
“จะว่าไปแล้ว การที่ครานี้ฉุ่ยเยว่เดินทางมาถึงเมืองไป๋อวี้ เจ้าจะเข้าร่วมงานชุมนุมด้วยงั้นรึ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถาม
“ฮิๆๆ ข้าไม่ใช่ช่างหลอมหรอก ข้าแค่ติดตามสหายคนหนึ่งที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเท่านั้น อีกอย่างการมาที่นี่ก็จะทำให้ข้าได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมด้วย”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบตามความจริง นางไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ครั้งนี้นางเดินทางมาพร้อมกับคนคนหนึ่งจริงๆ
“ดูสิ ครั้งนี้ข้ามากับเขา”
นางชี้นิ้วไปที่เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างพร้อมยิ้มเล็กน้อย
“ข้าขอแนะนำให้คุณชายทั้งสองได้รู้จัก นี่คือน้องชายของข้า–ฉุ่ยอู๋เหินเขาเป็นช่างหลอมระดับอาวุโส ครั้งนี้ข้าเดินทางมากับเขา”
“อู๋เหิน คุณชายทั้งสองนี้เป็นสหายของข้า คุณชายอวี๋โม่และคุณชายฉีอวิ๋นเหล่ย”
ฉุ่ยอู๋เหินเป็นเด็กหนุ่มที่ดูขี้อาย ทว่าเขาก็มีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก
“ยินดีที่ได้รู้จักพี่อวี๋โม่ พี่อวิ๋นเหล่ย”
ฉุ่ยอู๋เหินลุกขึ้นยืนและกล่าวทักทายฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋ยเหล่ย
“ยินดีที่ได้รู้จัก อู๋เหิน”
ทั้งสองยิ้มและกล่าวทักทายกับเด็กหนุ่มขี้อายตรงหน้า
ฉุ่ยอู๋เหินนั่งลงตามเดิมและไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีกขณะมองดู ‘บุรุษ’ ทั้งสองและพี่สาวของตนเองสนทนากันด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“น้องชายผู้นี้เป็นเด็กไร้บ้านที่ข้าพากลับมาตอนข้าออกไปท่องโลกเพื่อฝึกฝนเมื่อหลายปีก่อน เขาสูญเสียความทรงจำและเป็นคนเก็บตัวมีโลกส่วนตัวสูง หากเขาทำอะไรไม่สุภาพไปล่ะก็ ข้าก็ต้องขออภัยคุณชายทั้งสองด้วย”
ฉุ่ยเยว่ลูบศีรษะน้องชายเบาๆขณะอธิบายกับฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ย
ตอนที่นางออกไปท่องโลกเพื่อฝึกวิชาเมื่อหลายปีก่อน นางพบฉุ่ยอู๋เหินโดยบังเอิญในตอนที่เขาถูกไล่ล่าโดยอสูรดุร้ายและมีรอยฟกช้ำทั่วทั้งตัว
เมื่อเห็นสภาพน่าสงสารของเด็กหนุ่ม นางจึงช่วยเขาไว้
แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หลังจากหมดสติไปและฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายกลับสูญเสียความทรงจำและจำเรื่องราวก่อนหน้านั้นไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว
ฉุ่ยเยว่เองก็เป็นเด็กกำพร้า เมื่อเห็นชะตากรรมของอีกฝ่าย แน่นอนว่านางเข้าใจถึงความกังวลและความหดหู่เป็นอย่างดี
เพราะเหตุนั้นนางจึงพาฉุ่ยอู๋เหินกลับมาและเลี้ยงดูเขาในฐานะน้องชายของตนเอง
หลังจากนั้น นางค้นพบว่าถึงแม้น้องชายคนใหม่นี้จะมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์เพียงระดับกลางๆเท่านั้น ทว่าพรสวรรค์ในด้านการหลอมของเขาก็ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด ฉุ่ยเยว่จึงตั้งใจสนับสนุนให้เขาฝึกฝนและเอาดีในด้านนี้เพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นช่างหลอมมากฝีมือต่อไป
หนึ่งในจุดประสงค์ที่นางพาฉุ่ยอู๋เหินมาร่วมงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้เปิดหูเปิดตาและวัดระดับช่องว่างระหว่างความสามารถของเขาและช่างหลอมระดับสูงคนอื่นๆ จุดประสงค์อีกอย่างหนึ่งก็คือนางต้องการมองหาโอกาสให้น้องชายได้ฝึกฝนทักษะการหลอมจากช่างหลอมระดับสูงและมากฝีมือ
เพราะถึงอย่างไร ด้วยพรสวรรค์การหลอมของฉุ่ยอู๋เหิน หากไม่ได้ฝึกปรือฝีมืออย่างเหมาะสม มันก็คงจะน่าเสียดายมาก
หากว่าเขาได้เข้าร่วมสมาคมช่างหลอมหรือได้มีอาจารย์ฝีมือดีและสหายจิตใจเอื้อเฟื้อ เขาก็จะได้พัฒนากลายเป็นช่างหลอมอันดับต้นๆของดินแดนในสักวัน
เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากฉุ่ยเยว่ ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยเพียงพยักศีรษะโดยไม่ได้พูดอะไร
สำหรับฉุ่ยอู๋เหินผู้นี้ที่ไม่มีความทรงจำหรือข้อมูลใดๆ ทว่าเขากลายเป็นถึงช่างหลอมระดับอาวุโสด้วยอายุเพียงสิบสองหรือสิบสามปีเท่านั้น มันแสดงให้เห็นว่าทักษะการหลอมของเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ถ้าหากได้รับการฝึกฝนอย่างดีและมีอาจารย์มากวิชา เขาก็มีโอกาสพัฒนาไปถึงระดับปรมาจารย์ช่างหลอมได้ หรือแม้กระทั่งระดับจักรพรรดิหรือระดับเทวะ
“ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของอู๋เหิน เขาจะแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมในงานชุมนุมได้อย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มด้วยความประทับใจในพรสวรรค์ของเด็กหนุ่ม นางรู้สึกได้ว่าในงานชุมนุมช่างหลอมในครั้งนี้ ทางสมาคมช่างหลอมก็ต้องการจะค้นหาคนรุ่นเยาว์ฝีมือดีเป็นจำนวนมากเช่นกัน
หากเป็นเช่นนั้น ฉุ่ยอู๋เหินจะเจิดจรัสและดึงดูดความสนใจของสมาคมช่างหลอมได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น หากเขาเข้าร่วมกับทางสมาคมได้ ฉุ่ยอู๋เหินก็จะได้รับการฝึกฝนที่ดีที่สุดและเพียบพร้อมไปด้วยทรัพยากร ด้วยการฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้น เขาจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆในหมู่ช่างหลอมทั่วทั้งดินแดนได้อย่างแน่นอน
“ฮิๆๆ ข้าจะถือวาจาของท่านเป็นคำอวยพรก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อน้องชายของตนได้รับคำชมเชยเช่นนี้ก็ย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน ต่อให้ฉุ่ยอู๋เหินไม่ใช่น้องชายทางสายเลือด มันก็ไม่ได้ต่างกัน เมื่อฉุ่ยอู๋เหินได้รับคำชมและฉุ่ยเยว่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย
“ว่าแต่… คุณชายอวี๋โม่ก็เข้าร่วมการแข่งขันในงานชุมนุมด้วยรึเจ้าคะ?”
สตรีตรงหน้ายิ้มหวานและเอ่ยคำถามที่ติดค้างในใจ
แม้ว่านางไม่รู้สภาวะพลังและความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ฉุ่ยเยว่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังที่ไม่ธรรมดาเลย
หากว่ามีความชำนาญด้านศาสตร์การหลอมด้วยล่ะก็ ‘บุรุษลึกลับ’ ผู้นี้ก็จะน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
“ใช่แล้วล่ะ ข้าก็มาที่นี่เพื่อเข้าแข่งขันในงานชุมนุม”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ปิดบังใดๆ งานชุมนุมช่างหลอมจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนก็จะได้เห็นความสามารถที่แท้จริงของนาง แน่นอนว่านางไม่มีทางปิดบังทักษะการหลอมจากคนอื่นๆได้
เมื่อได้ฟังคำยืนยันของฉินอวี้โม่ ฉุ่ยเยว่ก็อดยิ้มตะลึงไม่ได้
แม้ว่านางคาดเดาไว้อยู่แล้ว หลังจากอีกฝ่ายตอบยืนยัน นางก็ยังคงตกใจอยู่ดี
บัดนี้ฉุ่ยเยว่เข้าใจแล้วว่าเหตุใด ‘คนคนนั้น’ จึงมองฉินอวี้โม่อย่างชื่นชมถึงเพียงนั้น
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าก็ขอให้คุณชายอวี๋โม่ได้อันดับดีๆในงานวันพรุ่งนี้นะเจ้าค่ะ”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มอีกครั้งและหันไปสบตาฉีอวิ๋นเหล่ย
“อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้าไม่รู้วิธีหลอมอุปกรณ์ใดๆหรอก ฮ่าๆๆ”
เมื่อเห็นแววตาของสตรีตรงหน้า ฉีอวิ๋นเหล่ยก็โบกมือปฏิเสธทันควัน
เขาไม่ใช่ ‘สัตว์ประหลาดในหมู่มวลมนุษย์’ อย่างฉินอวี้โม่และการหลอมต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นเวลานาน
ฉีอวิ๋นเหล่ยไม่สามารถยืนยันได้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่หากตนเองฝึกทักษะการหลอมอย่างเอาจริงเอาจัง
ฉินอวี้โม่และฉุ่ยเยว่อดหัวเราะให้กับวาจาติดตลกของบุรุษผู้อารมณ์ดีไม่ได้
“ฮิๆๆ คุณชายทั้งสองพักอยู่ในที่พักที่ทางสมาคมจัดไว้สำหรับผู้เข้าร่วมแข่งขันรึไม่เจ้าคะ?”
ฉุ่ยเยว่หัวเราะเบาๆและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและบอกที่พักของคณะเดินทางของตนเอง
“ลานอิสระของสมาคมช่างหลอม ไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะมีโอกาสได้พักที่นั่น”
เมื่อได้ยินคำตอบเกี่ยวกับที่พักจากอีกฝ่าย ฉุ่ยเยว่ก็ชะงักค้างไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
แม้ว่าลานกว้างของสมาคมช่างหลอมเป็นบริเวณที่เตรียมไว้สำหรับผู้เข้าร่วมแข่งขัน มันก็ไม่ใช่ที่ที่คนธรรมดาทั่วไปจะเข้าไปพักได้
การที่ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางได้พักที่นั่นแสดงให้เห็นว่ามีใครบางคนที่อยู่ในระดับผู้อาวุโสของสมาคมช่างหลอมได้ออกคำสั่งให้เตรียมการเช่นนั้น
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คณะเดินทางของฉินอวี้โม่กลายเป็นที่สนใจจากใครบางคนในสมาคมช่างหลอมแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉุ่ยเยว่จะไม่เอ่ยอะไรจนกว่านางจะมั่นใจอย่างแน่ชัด
“ฮิๆๆ เราพักอยู่ที่ห้อง 101 ถึงห้อง 105 ทางตะวันออกเฉียงใต้บนชั้นที่สอง หากคุณชายมีเรื่องให้ช่วยอะไรก็ไปหาพวกเราได้”
ฉุ่ยเยว่ยิ้มและกล่าวต่อ “ถึงอย่างไรเราก็เป็นมิตรสหายกันแล้วและข้าชื่นชมท่านทั้งสองมาก หากว่าคุณชายมีเรื่องให้ช่วยก็ไม่ต้องลังเลแต่อย่างใด”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบรับไมตรีของอีกฝ่าย
หลังจากสนทนากันต่อไประยะหนึ่ง ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยก็ร่ำลาฉุ่ยเยว่และปลีกตัวกลับไป
ทั้งสองเดินกลับไปหาคณะเดินทางของตนเอง ทว่าทั้งสองต่างก็มีความแปลกใจไม่ต่างกัน
“แม่นางฉุ่ยเยว่ผู้นี้ เจ้าคิดว่านางสนใจเรื่องเรามากเกินไปรึไม่?”
ฉีอวิ๋ยเหล่ยกล่าวด้วยความงุนงงสงสัยและไม่เข้าใจ
ฉุ่ยเยว่เป็นหญิงคณิกาอันดับหนึ่งของหอนางโลม แม้ว่าทั้งสองโชคที่นางยอมมาพบและสนทนาพาทีกันเป็นเวลานานในครั้งก่อน สถานการณ์ก็แตกต่างจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าฉุ่ยเยว่ในวันนี้ต้องการให้ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางทราบว่านางอยู่ที่สมาคมช่างหลอม
หากมีเรื่องอะไร ทั้งสองก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากนางได้
บรรดาจอมยุทธ์ทั่วทั้งดินแดนอ้างว้างต่างก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องยากนักที่จะได้พบหน้าแม่นางฉุ่ยเยว่ และสิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการที่นางขอเรียกพบใครด้วยตนเองเช่นนี้
เพราะเหตุนั้น ฉีอวิ๋นเหล่ยจึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย เขารู้สึกว่าแม่นางจากหอนางโลมคนนี้มีอะไรแอบแฝง
“ฮ่าๆๆ ทำไมจะต้องคิดให้ปวดหัวด้วยเล่า? ข้าไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายใดๆจากนาง และต่อให้นางมีแผนการสมคบคิดจริงๆ เราก็ไม่เห็นต้องกลัว พี่อวิ๋นเหล่ยไม่ต้องคิดมากไปหรอก รอดูต่อไปเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆอย่างไม่คิดอะไรให้วิตกกังวล
เห็นได้ชัดว่าฉุ่ยเยว่มีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแอบแฝง ทว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้รู้สึกถึงความมุ่งร้ายจากสตรีผู้นั้น
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหอนางโลมจะลึกลับอย่างมาก พวกเขาก็ไม่ได้น่ากลัวจนเกินไป ต่อให้ฉุ่ยเยว่มีแผนการชั่วร้ายอยู่จริง มันก็จะต้องเปิดเผยในสักวัน ไม่ว่าจะเป็นฉินอวี้โม่ เหวินซื่อชู่หรือฉีอวิ๋นเหล่ย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใดๆ
“ก็จริงอย่างที่ว่า เจ้าพูดถูก แต่ยังไงเราก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น”
ฉีอวิ๋นเหล่ยพยักศีรษะและไม่คิดมากเกินไป เขาเพียงแต่เอ่ยเตือนอีกฝ่ายให้ระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อกลับไปถึงห้องพักส่วนของคณะเดินทาง เหวินซื่อชู่ ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆก็กำลังมองมาที่ประตูเพื่อรอทั้งสองกลับมา
เมื่อเห็นคนที่รอเดินกลับมา พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นทั้งสองก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่ฟัง
เมื่อทราบว่าฉุ่ยเยว่คือคนที่ส่งคนมาเรียกทั้งสองไปพบ ซูเสี่ยวจวิ้นและเหวินซื่อชู่ก็ตงิดใจเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ
จากนั้นเวลาหนึ่งวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และภายในชั่วพริบตา วันเริ่มงานชุมนุมช่างหลอมก็มาถึง
.