“ฮ่าๆๆ ข้าเก็บตัวหายไปเสียนาน ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีใครหน้าไหนที่บังอาจมารังแกนายหญิงของข้า!”
ทันใดนั้น น้ำเสียงทรงอิทธิพลของซิวก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่จนทำให้นางชะงักค้าง
“ซิว เจ้าวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์แล้วรึ?”
หลังจากชะงักไปชั่วขณะ ความสุขก็ถาโถมล้นเข้ามาในหัวใจของนาง หลังจากคำนวณเวลาที่ผ่านมา ซิวเข้าสู่ช่วงเก็บตัวนานพอสมควรแล้ว บัดนี้มันตื่นขึ้นมาในงานชุมนุมช่างหลอมพอดีพอดิบ หากการวิวัฒนาการของมันเสร็จสมบูรณ์ ฉินอวี้โม่ก็สามารถใช้ทักษะการหลอมของนางได้อย่างเต็มที่เพื่อหลอมอุปกรณ์ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดหวังไว้
“ยังหรอก เพียงแต่ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงโลกภายนอกและสื่อสารกับท่านได้ หากนายหญิงต้องการให้ข้าออกไปเหมือนก่อนหน้านี้ เกรงว่ามันจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก”
ซิวกล่าวโดยไม่ปิดบังอะไร
มันยังไม่สามารถออกมาตามปกติได้ในตอนนี้
การวิวัฒนาการของมันยังดำเนินมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้นและยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เพื่อให้กระบวนการเสร็จสมบูรณ์
แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ฉินอวี้โม่ก็สามารถยืมพลังเพลิงจากมันได้ซึ่งจะเป็นการช่วยนางในการหล่อหลอมได้เป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก เพียงแค่รอดูผลงานของข้า”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเพื่อให้ซิววางใจและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับนาง
“นายหญิง มนุษย์ผู้นี้ริอาจข่มขวัญท่านด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์และเขาหลงตัวเองมาก หากท่านไม่สั่งสอนเขาสักหน่อยล่ะก็ เขาก็คงจะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินหนา”
เสียงของซิวยังคงทรงพลังในโสตประสาทของนางเช่นเดิม
“ก็แค่เพลิงของเจ้ากวางศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีตัวน้อย คิดว่ามันเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังจริงๆรึ?”
ซิวกล่าวอีกครั้งซึ่งเต็มไปด้วยความหมายของการดูหมิ่นเพลิงของกวางศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี
เมื่อได้ยินวาจาของซิว ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที หากนางคาดเดาไม่ผิด ตอนนี้นางจะสามารถใช้เพลิงของซิวได้อีกครั้งแล้วใช่หรือไม่?
“ฮ่าๆๆ แม้ว่าข้าจะยังเพิ่มระดับไม่ได้ ตอนนี้ท่านก็สามารถสื่อสารกับข้าและใช้เพลิงของข้าได้แล้ว งานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ ข้าจะใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของข้าสั่งสอนเด็กน้อยพวกนั้นให้ได้รู้ว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร!”
ซิวยิ้มกริ่มขณะเสียงของมันค่อยๆหายไปจากห้วงจิตของฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้เมื่อได้ยินวาจาของอสูรมายาคู่กาย
ว่ากันตามตรง นางชื่นชอบการใช้อำนาจข่มขวัญผู้อื่นและแสดงท่าทีหยิ่งทะนงเป็นที่สุด
“ฮ่าๆๆ ก็แค่เพลิงของกวางศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสี อย่าคิดว่ามันจะไร้เทียมทาน”
ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองหวังซั่วอย่างเหยียดหยามขณะกล่าวเบาๆ “อีกอย่าง มีช่างหลอมตั้งมากมายที่รอจะเริ่มต้นการหลอมอยู่ ท่านไม่รู้สึกละอายใจเลยรึที่ทำให้ทุกคนเสียเวลาเช่นนี้?”
หลังกล่าวจบ อดีตนักฆ่าสาวก็ไม่รอช้าอีกต่อไปและเพลิงเลือนรางปรากฏบนปลายนิ้วมือของนาง
เพลิงนั้นมิได้ดูยิ่งใหญ่หรือเป็นประกายระยับ มันเพียงแต่ปรากฏขึ้นมาบนปลายนิ้วของฉินอวี้โม่เท่านั้น ทว่าสีหน้าของหวังซั่วก็เปลี่ยนไปในทันที
ฟึ่บ!
เพลิงในมือของหวังซั่วดับลงไปทันทีและไม่ว่าจะพยายามจุดมันเพียงใด เขาก็ไม่สามารถจุดมันขึ้นมาได้อีก
เพลิงทั้งหมดที่ปลายนิ้วมือของทุกคนในที่นี้ก็ดับลงเช่นกัน แม้กระทั่งเพลิงของยอดฝีมือสนั่นดินแดนอย่างกู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“สวรรค์! ช่างเป็นเพลิงที่ทรงพลังยิ่งนัก!”
ใครบางคนอดอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงไม่ได้ขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่อย่างสงสัย ทว่าสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความทึ่งตะลึงมากกว่า
“มันทำให้เพลิงทั้งหมดดับไปได้ ไม่เว้นแม้แต่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์หวังซั่ว นั่นมันเป็นเพลิงในระดับใดกัน?”
ใครบางคนกล่าวด้วยความฉงนสงสัยและความตื่นตระหนกปรากฏชัดเจนบนใบหน้า
“ต่อให้เพลิงของข้าจะอยู่ในระดับสูงเพียงเท่านั้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่ได้น้อยหน้าไปมากนัก ทว่าตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่าอสูรมายาของข้ากำลังสั่นระริกและถึงขั้นก้มหัวศิโรราบ เพลิงของบุรุษผู้นั้นไม่ใช่แค่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเป็นแน่!”
คนผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวด้วยความสงสัย เขารู้สึกถึงความผิดปกติของอสูรมายาในมิติเชื่อมอสูรของตนเองได้อย่างชัดเจน
“หรือว่ามันจะเป็นเพลิงในตำนานที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์…เพลิงจักรพรรดิในตำนาน!”
ใครบางคนพึมพำข้อสันนิษฐานของตนเองออกมาและใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวเหยเกทันที
เพลิงจักรพรรดิคือเพลิงที่เหนือกว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์ แรงกดดันของมันแกร่งกล้ากว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์หลายเท่าตัว ว่ากันว่าช่างหลอมที่ครอบครองเพลิงจักรพรรดิจะมีโอกาสพัฒนากลายช่างหลอมระดับจักรพรรดิในตำนานได้และกลายเป็นช่างหลอมอันดับสูงสุดของทั้งดินแดน
ยิ่งไปกว่านั้น ช่างหลอมที่มีเพลิงจักรพรรดิก็จะต้องมีอสูรประจำตัวที่ทรงพลังอย่างที่สุดเช่นกัน ซึ่งบุคคลเช่นนี้ก็ย่อมเป็นยอดฝีมือผู้เกรียงไกรในดินแดนอย่างแท้จริง
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่โดยอัตโนมัติและสถานการณ์พลิกผันในทันที
ไม่มีใครรู้สภาวะพลังที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ในตอนนี้และไม่มีใครทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของนาง ทุกคนรู้เพียงแค่ว่า ‘บุรุษลึกลับ’ นามว่าอวี๋โม่มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ฉินอวี้โม่รู้ดีว่านับจากวันนี้ไป นางจะต้องตกเป็นเป้าสนใจของทุกขุมกำลังในดินแดนอ้างว้างอย่างแน่นอน
“สหายเยว่ เด็กหนุ่มนั่นเป็นใครกัน?”
การปรากฏอย่างกะทันหันของเพลิงจักรพรรดิทำให้เย่าเหยียนผู้เป็นประธานสมาคมโอสถอดยืนขึ้นด้วยความตกตะลึงไม่ได้
ทั้งผู้หลอมโอสถและช่างหลอมอาวุธอุปกรณ์ต่างก็ต้องใช้เพลิงที่ทรงพลังเพื่อช่วยในการหลอม ซึ่งในการหลอมโอสถ เพลิงจักรพรรดิก็ถือเป็นเพลิงที่ทรงพลังอย่างที่สุด
เย่าเหยียนใช้ชีวิตมานานหลายร้อยปีแต่เขาเคยได้ยินว่ามีคนเพียงน้อยนิดที่ครอบครองเพลิงจักรพรรดิ บัดนี้เมื่อเห็น ‘บุรุษหนุ่ม’ ใช้มัน เขาก็ย่อมตกตะลึงไปโดยปริยาย
“ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อน”
เยว่ชิงส่ายศีรษะเบาๆ เขาเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน
เขาไม่เคยได้ยินว่ามีช่างหลอมผู้ครอบครองเพลิงจักรพรรดิอยู่ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้
หากเขารู้ว่ามียอดฝีมือเช่นนี้อยู่ในดินแดน เขาจะต้องหาทางติดต่อทาบทามให้คนผู้นั้นเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมช่างหลอมอย่างแน่นอน ช่างหลอมที่มีเพลิงจักรพรรดิมีคุณสมบัติที่จะพัฒนาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างหรือแม้กระทั่งดินแดนเทพมายาได้
“ข้ารู้เพียงว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับเหวินซื่อชู่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้น ไม่ทราบว่าน้องเฟิงรู้จักเขารึไม่?”
เยว่ชิงหันไปมองเฟิงอู๋เฉินและชำเลืองมองผู้นำขุมกำลังเอกพิภพด้วยเช่นกัน
เขาไม่เชื่อว่าผู้นำขุมกำลังที่เป็นหน่วยข่าวกรองอันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้างจะไม่รู้จักตัวตนของ ‘บุรุษลึกลับ’ ผู้นี้
เฟิงอู๋เฉินและผู้นำขุมกำลังเอกพิภพสบตาเยว่ชิง ทว่าไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร ทั้งสองเพียงมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยความตกตะลึง
“ฮ่าๆๆ ปรมาจารย์หวังซั่ว ดูเหมือนว่าเพลิงของท่านจะไม่ได้วิเศษวิโสมากนัก”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาและวาจาของทุกคน นางเพียงยิ้มกริ่มขณะกล่าวกับหวังซั่ว
ใบหน้าของหวังซั่วเหยเกอย่างยิ่ง เขาไม่คาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะครอบครองเพลิงที่ทรงพลังอย่างเพลิงจักรพรรดิ
หากเขารู้เรื่องนี้มาก่อน เขาก็ไม่มีทางใช้เพลิงของตนเองข่มขวัญนางอย่างแน่นอน
บัดนี้หากฉินอวี้โม่ใช้เพลิงข่มทุกคน ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดก็จะไม่สามารถลงมือหลอมอุปกรณ์ของตนเองได้ เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนจะพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้แข่งขันด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังซั่วก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดขณะกล่าว “อวี๋โม่ เจ้าคิดจะใช้เพลิงจักรพรรดิเพื่อข่มพวกเราจนไม่สามารถหลอมอุปกรณ์อย่างนั้นรึ? หากเป็นในกรณีนี้ เจ้าก็จะคว้าชัยชนะของงานชุมนุมครั้งนี้ไปครอง”
เขาหยุดชั่วคราวก่อนกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม หากเจ้าคิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ เจ้าคิดว่าพวกเราจะปล่อยเจ้าลอยนวลไปง่ายๆรึ?”
เมื่อได้ยินวาจาของหวังซั่ว ช่างหลอมหลายคนก็มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแปลกๆ
ผู้ถูกกล่าวหายิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านและกล่าว “ฮ่าๆๆ ปรมาจารย์หวังซั่ว ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นแก่ตัวและไร้ความคิดเช่นท่าน”
แน่นอนว่านางไม่มีความคิดที่จะทำเช่นนั้น การข่มขวัญคู่ต่อสู้ให้พ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้แข่งขันวัดความสามารถแบบนั้นไม่ใช่วิถีของนาง
“แน่นอนว่าข้าจะใช้ทักษะการหลอมของข้าเพื่อแสดงให้ท่านได้เห็นว่าความสิ้นหวังและความเชื่อมั่นผิดๆเป็นอย่างไร!”
เมื่อกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็ผ่อนแรงกดดันที่ซิวแผ่ออกมาเพื่อให้เพลิงของทุกคนกลับคืนสู่ปกติ
“หึ อย่าคิดว่าการมีเพลิงจักรพรรดิจะทำให้เจ้าเทียบกับช่างหลอมระดับจักรพรรดิในตำนานได้ นอกจากเปลวเพลิง ทักษะและเคล็ดลับก็ยังถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง”
หวังซั่วแค่นเสียงเย็นชาทว่าใบหน้าของเขายังคงบิดเบี้ยว
“ฮ่าๆๆ ท่านปรมาจารย์ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าความสามารถในการหล่อหลอมจะเก่งกาจได้เหมือนกับฝีปากของท่านหรือไม่ ฮ่าๆๆ”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบาๆก่อนเลิกให้ความสนใจเขาอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนยิ้มให้กับฉินอวี้โม่เล็กน้อยโดยไม่เอ่ยอะไร จากนั้นทุกคนก็เริ่มหลอมอุปกรณ์ของตนเอง
ว่ากันตามตรง การแสดงอิทธิฤทธิ์น่าเกรงขามของฉินอวี้โม่เมื่อครู่นี้ทำให้หลายคนสาแก่ใจอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะอากัปกิริยากดขี่ข่มเหงของหวังซั่วก่อนหน้านี้ ผู้คนก็คงจะไม่รู้สึกอคติต่อหวังซั่วมากนัก การที่นางกระทำเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นการฉีกหน้าหวังซั่วได้มากทีเดียว
ถึงอย่างไรแล้ว บางทีหวังซั่วก็อาจจะคิดใช้เพลิงเพื่อรบกวนการหลอมของพวกเขาและส่งผลให้พวกเขาไม่มีสมาธิจดจ่อในการหลอม
ตอนนี้เมื่อฉินอวี้โม่แสดงอิทธิฤทธิ์แกร่งกล้าออกมา หวังซั่วก็คงจะไม่กล้าทำอะไรหยิ่งผยองอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ทัศนคติทะนงตนของหวังซั่วก็ทำให้หลายคนไม่พอใจนัก ด้วยการจัดการของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าหลายคนต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน
กู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉินก็มองไปที่ฉินอวี้โม่โดยไม่เอ่ยอะไร ทว่าทั้งสองรู้สึกได้ว่าอาจมีบางอย่างที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นในงานชุมนุมครั้งนี้
ตูม!
หวังซั่วหยิบเตาหลอมออกมาวางไว้ตรงหน้า
“เตาหลอมชิงหมิง!”
เมื่อหลายๆคนเห็นเตาหลอมนี้ พวกเขาก็จำได้ในแวบแรกและอดอุทานออกมาไม่ได้
เตาหลอมชิงหมิงเป็นเตาหลอมอันดับสี่ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระดับวิจิตรที่ช่างหลอมหลายคนต้องการครอบครอง
“หึ เตาหลอมก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะมีเตาหลอมดีๆรึไม่”
หวังซั่วแค่นเสียงขณะมองฉินอวี้โม่อย่างท้าทาย
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆอีกครั้งและกล่าวพร้อมแสงส่องวาบ “แล้วท่านเคยเห็นเตาหลอมใดที่ทนทานต่อเพลิงจักรพรรดิได้บ้างหรือ?”
ทุกคนไม่เห็นว่าฉินอวี้โม่หยิบเตาหลอมใดออกมา ทว่ามองเห็นวัสดุปริมาณมากปรากฏตรงหน้านางและอดประหลาดใจไม่ได้
ตรงหน้าฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยวัสดุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัสดุระดับสูง แร่เหล็กลึกลับอายุนับหมื่นปี แร่น้ำแข็งอายุพันปี หินมายาจำนวนมาก ก้อนผลึกและแม้กระทั่งแก่นมายาของอสูรมายาระดับสูง ทั้งหมดกองพะเนินตรงหน้านางราวกับเนินเขาเล็กๆ
แม้ว่าช่างหลอมแต่ละคนในที่นี้ล้วนไม่ใช่คนยากจน ทว่าเมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่ พวกเขาเหล่านี้รู้สึกด้อยค่าไปในทันที
แม้ว่าวาจาของฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ฟังดูทะนงตนพอสมควร คำพูดเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ
เพลิงจักรพรรดิทรงพลังมากเกินไปและมีเตาหลอมเพียงน้อยนิดที่จะทนทานต่อมันได้
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เกรงว่าอดีตนักฆ่าสาวจะเตรียมการหลอมอุปกรณ์ด้วยมือเปล่า การที่สามารถทำเช่นนี้ได้ อย่างน้อยนางก็ต้องเป็นช่างหลอมในระดับเชี่ยวชาญ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากขึ้น ไม่ว่าคนผู้นี้มาจากที่ใด ‘เขา’ ก็มาเพื่อเอาชนะทุกคน!
“ฮ่าๆๆ พี่อวี๋โม่เก่งที่สุด พี่อวี๋โม่สู้ๆ!”
ซูเสี่ยวจวิ้นหัวเราะอย่างชอบใจและส่งเสียงเชียร์ฉินอวี้โม่ดังชัดเจน
“ฉินอวี้โม่ผู้นี้ทะนงตนจริงๆ ทว่า…ความทะนงตนของนางก็น่าอิจฉายิ่งนัก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มเช่นกันและเขารู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น
คุณหนูสี่ตระกูลฉินเลิกสนใจทุกอย่างรอบตัวขณะเริ่มเตรียมวัสดุสำหรับหลอมสิ่งที่ต้องการ
.