หลัวหลินรู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนที่มองมาและเขายิ้มเบาๆ
หลังจากพยักหน้าให้กับเยว่ชิงและคนอื่นๆ เขาก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอนว่าไม่มีข้อสงสัยสำหรับผู้ชนะอันดับหนึ่งในงานชุมนุมครั้งนี้และนั่นก็คืออวี๋โม่ บุรุษหนุ่มอายุสิบเก้าปีผู้หลอมคฤหาสน์เฟิงหัวซึ่งเป็นอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูงที่มีคุณสมบัติในการพัฒนาได้”
ทันทีที่สิ้นเสียงหลัวหลิน เสียงปรบมือจากทุกคนก็ดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ
พวกเขาไม่มีความขุ่นข้องหมองใจต่อฉินอวี้โม่ หลังจากได้เห็นพรสวรรค์และความสามารถของนาง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมอยากจะประจบประแจงนาง คนเหล่านี้จึงมีท่าทีสุภาพนอบน้อมต่อนางอย่างยิ่ง
และฉินอวี้โม่ก็คว้าชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้และมันได้รับการรับรองจากกรรมการหลายคน ยิ่งไปกว่านั้น คฤหาสน์เฟิงหัวของนางก็ถือเป็นสิ่งหลอมที่มีมูลค่าสูงสุดของงานครั้งนี้ก็ว่าได้
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้คว้าชัยชนะในกลุ่มอายุน้อยกว่ายี่สิบปีก็คืออวี๋โม่เช่นกัน”
การชุมนุมช่างหลอมแบ่งออกเป็นสามกลุ่มอายุ นอกเหนือจากผู้ชนะของงานชุมนุมครั้งนี้ก็ยังต้องมีการเลือกผู้ชนะของแต่ละกลุ่มอายุด้วยเช่นกัน
ฉินอวี้โม่มีอายุเพียงสิบเก้าปีและแน่นอนว่านางเป็นผู้ชนะในกลุ่มอายุต่ำกว่ายี่สิบปีเช่นกัน
“สำหรับช่างหลอมในกลุ่มอายุระหว่างยี่สิบถึงหนึ่งร้อยปี ผู้ที่คว้าชัยชนะในกลุ่มนี้คือจูโยวหรานผู้หลอมอุปกรณ์ระดับวิจิตรขั้นสูง และเขามีอายุเพียงสี่สิบหกปีเท่านั้น”
หลัวหลินหันหน้ามองไปในทิศทางของจูโยวหรานและยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เดิมทีจูโยวหรานผู้นี้มองไปในทิศทางของฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมระคนริษยา ทว่าเมื่อจู่ๆได้ยินหลัวหลินขานชื่อของตนเองและเห็นสายตาของทุกคนที่มองมา เขาก็ชะงักค้างไปเล็กน้อย
“ยินดีด้วย ปรมาจารย์จูโยวหราน”
ช่างหลอมที่อยู่ใกล้ๆส่งยิ้มพร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับเขา
จูโยวหรานเรียกสติกลับคืนมาในทันทีทว่าสีหน้าของเขายังคงแสดงความประหลาดใจและไม่อยากเชื่ออย่างชัดเจน งานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาเข้าร่วมการแข่งขัน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าตนเองจะคว้าอันดับหนึ่งในกลุ่มอายุยี่สิบถึงหนึ่งร้อยปีมาครองได้
เมื่อหลัวหลินเห็นสีหน้าท่าทางของจูโยวหราน เขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง จูโยวหรานผู้นี้เป็นบุรุษที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนอย่างแท้จริง
“สำหรับกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี…”
เมื่อมองไปที่หวังซั่วและเฟิงเสวี่ยเฉิน ผู้อาวุโสหลัวหลินก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย
สิ่งหลอมของหวังซั่วและเฟิงเสวี่ยเฉินไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นักและความแข็งแกร่งของทั้งสองก็แทบจะเหมือนกันจนยากที่จะตัดสินใจผู้แพ้และผู้ชนะ ก่อนหน้านี้กรรมการตัดสินหลายคนหารือกันและตัดสินที่จะมอบตำแหน่งผู้ชนะให้กับกู่หยวน
ทว่า… กู่หยวนไม่ได้ส่งผลงานสิ่งหลอมของเขาและหวังซั่วคงไม่ยินยอมคล้อยตามง่ายๆ
หวังซั่วมองเฟิงเสวี่ยเฉินอย่างเป็นปฏิปักษ์ เขาหลงลำพองใจเมื่อกู่หยวนเต็มใจสละสิทธิ์และไม่แสดงผลงานของตนเอง เพราะว่าสิ่งหลอมของตัวเขาและเฟิงเสวี่ยเฉินอยู่ในระดับเดียวกันทว่าเขาใช้เวลาที่น้อยกว่า ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าตนเองควรได้เป็นผู้ชนะของกลุ่มอายุนี้
เฟิงเสวี่ยเฉินยิ้มอย่างไร้กังวลและเมินแววตาของหวังซั่วไปโดยปริยาย
“ข้าว่าคงไม่จำเป็นต้องประกาศรายชื่อผู้ชนะในกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี ถึงอย่างไรเสี่ยวอวี๋โม่ก็เป็นผู้คว้าชัยชนะของงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ได้ แม้สำหรับช่างหลอมอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีอย่างเราๆ ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เราก็ไม่มีทางเทียบได้กับเสี่ยวอวี๋โม่ผู้นี้”
กู่หยวนกล่าวกับทุกคน
“พี่กู่หยวนพูดถูก พวกเราแก่แล้วและปลื้มใจเหลือเกินที่ได้เห็นคนรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์หลายคนในงานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้ ต่อให้เป็นผู้ชนะในกลุ่มอายุ สุดท้ายก็ต้องแพ้ให้กับเสี่ยวอวี๋โม่อยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตำแหน่งผู้ชนะในกลุ่มอายุก็ไม่ได้มีความหมายแต่อย่างใด”
เฟิงเสวี่ยเฉินเห็นด้วยกับวาจาของกู่หยวน เขาเองก็ไม่สนใจอันดับตำแหน่งใดๆเช่นกัน ครานี้เขามาเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมเพียงเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่ไม่มีความสามารถบังเอิญคว้าชัยชนะและได้แผนที่ซากปรักหักพังไปครอง
ในเมื่อฉินอวี้โม่ถือเป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่ประกาศศักดาในงานชุมนุมครั้งนี้และคว้าชัยชนะไปครอง อันดับใดๆก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเขา
เมื่อได้ยินวาจาของทั้งกู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉิน หวังซั่วซึ่งยังพอมีหวังก็สีหน้าบิดเบี้ยวทันที
แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดว่าต่อให้จะไม่ได้คว้าชัยชนะของงานชุมนุมครั้งนี้ หากว่าได้เป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี เขาก็จะได้รางวัลดีๆติดมือกลับไป ทว่าการที่ทั้งกู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉินประกาศออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ หากว่าเขายังพยายามดิ้นรนให้ได้อันดับหนึ่งของกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีมาครอบครอง มันจะเป็นการเสียหน้าไม่น้อยสำหรับบุคคลในระดับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น กู่หยวน เฟิงเสวี่ยเฉินและตัวเขาเป็นช่างหลอมสามอันดับแรกในดินแดนนี้ ในเมื่อทั้งสองยืนยันเช่นนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคล้อยตาม
“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดว่ากู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉินพูดถูก เด็กหนุ่มอวี๋โม่เป็นคนที่น่าทึ่งที่สุดในงานนี้ สำหรับเรื่องอันดับ พวกเราไม่สนใจหรอก เพราะเหตุนั้นก็ไม่จำเป็นต้องประกาศอันดับหนึ่งของกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี”
หวังซั่วยิ้มบางๆและกล่าวพลางชำเลืองมองฉินอวี้โม่ น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย
หากไม่ทราบถึงลักษณะนิสัยของหวังซั่ว หลายคนคงคิดว่าเขาเป็นเพียงช่างหลอมมากฝีมือคนหนึ่งที่ยินดีกับความสำเร็จของช่างหลอมรุ่นเยาว์
อย่างไรก็ตาม เพราะทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของหวังซั่วจึงไม่มีใครคิดเช่นนั้น
ทุกคนเข้าใจดีว่าสาเหตุที่หวังซั่วกล่าวเช่นนั้นเป็นเพราะได้เห็นทัศนคติและอากัปกิริยาของกู่หยวนและเฟิงเสวี่ยเฉิน
“เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มการแข่งขันอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีก็จะยกเลิกอันดับทั้งหมดไป”
หลัวหลินชำเลืองมองเยว่ชิงและเห็นเพียงแค่ว่าประธานสมาคมพยักหน้าน้อยๆด้วยความเข้าใจในความหมายของเขา
อันดับของกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไหร่นัก ในบรรดาช่างหลอมที่เข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมซึ่งมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อย หากว่าพวกเขาไม่ได้เก่งกาจเหนือชั้น พวกเขาก็มีพรสวรรค์อยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี หากว่ายังทะลวงพลังถึงระดับปรมาจารย์ไม่ได้ มันก็บ่งบอกแล้วว่าช่างหลอมคนนั้นจะไม่มีการพัฒนาที่สำคัญใดๆในอนาคต
จุดประสงค์หลักที่สมาคมช่างหลอมจัดงานชุมนุมช่างหลอมขึ้นมาก็เพื่อสนับสนุนศาสตร์การหลอมและค้นหาช่างหลอมรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์คนใหม่ๆในดินแดน หากว่าสามารถโน้มน้าวใจพวกเขาได้ คนรุ่นเยาว์เหล่านั้นก็จะได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของทางสมาคม หากว่าเชื้อเชิญไม่สำเร็จ สมาคมก็ยังสามารถมอบรางวัลเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเส้นทางการหลอมของพวกเขาต่อไป
การยกเลิกการจัดอันดับในกลุ่มอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปีจะส่งผลให้มีของรางวัลสำหรับคนรุ่นเยาว์และช่างหลอมมากพรสวรรค์มากขึ้นซึ่งนั่นเป็นผลลัพธ์ที่ทางสมาคมช่างหลอมก็ต้องการเช่นกัน
สำหรับช่างหลอมรุ่นใหม่ มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน
“แต่ละอันดับของกลุ่มอายุน้อยกว่ายี่สิบปีและกลุ่มอายุระหว่างยี่สิบถึงหนึ่งร้อยปีจะติดประกาศบนกระดานข่าวของสมาคมช่างหลอม ทุกคนเพียงต้องตรวจสอบอันดับของตนเอง จากนั้นก็ไปหาผู้จัดการของสมาคม แสดงตัวตนของตนเองและรับรางวัลตามอันดับที่ได้รับ”
หลัวหลินยิ้มและกล่าวต่อ
วันนี้เป็นเพียงการประกาศอันดับและพรุ่งนี้จะถึงเวลาสำหรับการมอบรางวัล อันดับต่างๆจะถูกติดไว้บนกระดานข่าวของสมาคมรวมถึงรางวัลก็จะถูกระบุไว้อย่างละเอียด เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนเพียงต้องไปแสดงตัวและรับรางวัลของตนเองเท่านั้น
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่แสดงความเห็นใด
ช่างหลอมที่มีอายุน้อยกว่าหนึ่งร้อยปีต่างก็มีความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาต่างก็อยากรู้อันดับและรางวัลที่ตนเองจะได้รับ
“เสี่ยวอวี๋โม่ หลังจากนี้เจ้าจะต้องเข้าไปที่สมาคมช่างหลอมของพวกเรา ประธานสมาคมจะมอบรางวัลให้กับเจ้าด้วยตัวท่านเอง”
ผู้อาวุโสหลัวหลินยิ้มให้กับฉินอวี้โม่ รางวัลสำหรับผู้คว้าชัยชนะในการแข่งขันปีนี้จะได้รับจากเยว่ชิงซึ่งเป็นประธานสมาคมช่างหลอม นอกเหนือจากแผนที่ซากปรักหักพังของยอดฝีมือขอบเขตเซียนก็ยังมีสิ่งอื่นๆที่หลิวหลัวไม่ได้แจกแจงรายละเอียด
“อีกอย่าง ในเมื่อเจ้าตกลงเข้าร่วมกับสมาคมและเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสมาคมช่างหลอมของเราแล้ว เจ้าควรเข้าไปที่ทางสมาคมเพื่อรับป้ายประจำตัว เจ้าจะมีอำนาจเหมือนผู้อาวุโสทั่วๆไปของสมาคม เจ้าจะทำอะไรในสมาคมได้สะดวกมากขึ้น”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับคำ
“ผู้อาวุโสหลัวหลิน รางวัลสำหรับผู้ชนะในงานชุมนุมช่างหลอมปีนี้คือแผนที่ซากปรักหักพังจริงๆหรือขอรับ?”
ใครบางคนอดเอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้ไม่ได้
แม้ว่าสมาคมช่างหลอมได้ส่งคนไปแจ้งข่าวเรื่องรางวัลแล้วก่อนหน้านี้ หลายคนก็ยังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นัก ถึงอย่างไรแล้วแผนที่ซากปรักหักพังของยอดฝีมือขอบเขตเซียนก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก หากว่าสมาคมช่างหลอมมีมันอยู่ในการครอบครอง พวกเขาก็สามารถเก็บมันไว้เองได้ เหตุใดทางสมาคมจึงจัดงานชุมนุมช่างหลอมและมอบสิ่งล้ำค่าเช่นนี้ให้เป็นรางวัลแก่ผู้ชนะ?
“ฮ่าๆๆ จริงแน่นอน สมาคมช่างหลอมของเราไม่มีทางหลอกลวงผู้อื่น”
หลัวหลินหัวเราะเบาๆ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีบางคนที่ไม่เชื่อ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด
ถึงอย่างไรแล้วแผนที่ซากปรักหักพังก็เป็นสมบัติที่มีมูลค่าเป็นอย่างมาก มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางคนไม่เชื่อว่าของล้ำค่าเช่นนี้จะถูกมอบให้เป็นรางวัล
เมื่อได้ยินคำตอบจากหลัวหลิน ทุกคนก็พยักศีรษะทว่าสายตากลับมองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชมระคนอยากรู้
“เอาล่ะ งานชุมนุมช่างหลอมครั้งนี้จบลงแล้ว แยกย้ายกันเถอะ”
เยว่ชิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวกับทุกคน
เขาพยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่อีกครั้งและกล่าวลากรรมการตัดสินคนอื่นๆก่อนสมาชิกของทางสมาคมจะเดินกลับไปจัดการธุระต่างๆของสมาคม
“ฮ่าๆๆ การเดินทางมางานชุมนุมช่างหลอมในปีนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ”
เฟิงอู๋เฉินเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และคนอื่นๆพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจ
“หลานๆทุกคน ข้าขอตัวก่อน หากมีโอกาสอย่าลืมเข้ามาแวะเวียนที่ขุมกำลังหนึ่งนภาของข้า ข้าคิดว่าชางเอ๋อร์น่าจะออกจากการเก็บตัวเร็วๆนี้ หากเขารู้สภาวะพลังของพวกเจ้าในตอนนี้ เขาจะต้องตื่นเต้นและต้องการประมือกับพวกเจ้าเป็นแน่”
“ท่านลุงเฟิง ลืมไปได้เลยเจ้าค่ะ พวกเราไม่ใช่คู่มือของพี่อู๋ชางหรอก”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มอย่างเริงร่าเมื่อได้ยินวาจาของเฟิงอู๋เฉิน
เมื่อเห็นอากัปกิริยาของเด็กสาว เฟิงอู๋เฉินและเฟิงเสวี่ยเฉินก็อดหัวเราะอย่างเอ็นดูไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ข้าจะรอดูวันที่พวกเจ้าจะทำให้ทั่วทั้งดินแดนต้องสั่นสะเทือน”
เมื่อกล่าวจบ สองบุรุษจากขุมกำลังหนึ่งนภาก็ขี่อสูรมายาของตนเองออกจากเมืองไป๋อวี้ไปทันที พวกเขายังมีเรื่องที่ต้องดูแลจัดการภายในขุมกำลังและจะเสียเวลาอยู่ที่นี่นานไม่ได้
“ข้าก็จะรอดูวันนั้นเช่นกัน”
ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพมองฉินอวี้โม่อย่างจริงจังก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าทุกคน
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมหันหลังและมุ่งหน้าตรงไปในทิศทางของสมาคมช่างหลอม
เมื่อนางเดินหายไป สายตาของทุกคนก็มองไปในทิศทางที่นางจากไปและหารือกันอย่างดุเดือด
“ตัวตนที่แท้จริงของอวี๋โม่เป็นอย่างไรกันแน่? ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่น ครอบครองเพลิงจักรพรรดิและยังสามารถหลอมอุปกรณ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ออกมาได้ คว้าชัยชนะในงานชุมนุมช่างหลอมประจำปีนี้และได้แผนที่ซากปรักหักพังที่ล้ำค่าไปครอง เขาแกร่งกล้าสามารถขนาดนี้ด้วยวัยเพียงสิบเก้าปี ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของยอดฝีมือเช่นนี้ในดินแดนมาก่อน”
ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยความฉงนสงสัย
.