ณ ห้องโถงของสมาคมช่างหลอม บรรยากาศทั่วบริเวณค่อนข้างตึงเครียด
หลายคนมารวมตัวกันที่นี่และจ้องมองไปตรงกลางห้องโถงพลางหารือกัน
บัดนี้มีคนสองกลุ่มยืนอยู่ตรงกลางและกำลังเผชิญหน้ากัน ฝ่ายหนึ่งมีท่าทีโกรธจัดในขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยใจเย็น
“ฉีอวิ๋นเหล่ย ส่งตัวฉินอวี้โม่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ผู้ที่เอ่ยขึ้นหาใช่ใครอื่นนอกจากจูตี๋—คุณชายใหญ่แห่งขุมกำลังพญายม ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยโทสะและเขาจ้องมองฉีอวิ๋นเหล่ยด้วยแววตาเป็นปฏิปักษ์
“จูตี๋ หากเจ้าอยากตามหาฉินอวี้โม่ก็ไปหาซะสิ จะมาถามจากข้าเพื่ออะไรกัน? ฉินอวี้ไม่ได้อยู่กับข้า ข้าจะส่งตัวนางให้กับเจ้าได้อย่างไร?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงและอากัปกิริยาเรียบเฉย ดูไม่ทุกข์ร้อนกับท่าทางของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ ฉีอวิ๋นเหล่ย อย่าทำไขสือนักเลย เรารู้แล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสหายของเจ้าและหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มของเจ้า หากเจ้าส่งตัวนางมาแต่โดยดี เราจะไม่แตะต้องพวกเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ ทว่าหากเจ้ายังช่วยกันปกปิดต่อไป อย่ามากล่าวโทษว่าพวกข้าทำรุนแรงก็แล้วกัน”
เฟิงอู๋แสยะยิ้มและกล่าวด้วยวาจามุ่งร้ายอย่างไม่ปิดบัง
ก่อนหน้านี้ พวกเขาตั้งใจที่จะเดินทางออกไปจากเมืองไป๋อวี้และมุ่งหน้ากลับจวนตระกูลเฟิง ทว่าพวกเขาได้รับข่าวด่วนเกี่ยวกับฉินอวี้โม่
จูตี๋และฉินอวี้โม่มีเรื่องบาดหมางเคืองใจกันและขุมกำลังพญายมก็กระจายข่าวออกไปแล้วว่าหากใครพบตัวฉินอวี้โม่ ให้นำตัวนางกลับไปที่ตระกูลเพื่อให้นางก้มหัวคำนับยอมรับความผิดทั้งหมดของตนเอง ในเมื่อตอนนี้พวกเขารู้ว่านางอยู่ที่ใด พวกเขาก็ย่อมไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ
ในฐานะมิตรสหายของจูตี๋ เฟิงอู๋ก็ต้องการการสนับสนุนจากจูอวิ๋นชางเช่นกัน เมื่อรู้ข่าวเรื่องฉินอวี้โม่ เขาจึงไม่พลาดโอกาสมีส่วนร่วมเพื่อที่จูอวิ๋นชางจะได้สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่เป็นการตอบแทนในภายภาคหน้า
“เฟิงอู๋ ข้าทนความยโสโอหังของเจ้าไม่ได้จริงๆ จนตอนนี้เจ้าก็ยังไม่รู้อีกรึว่าพวกเราไม่ได้เกรงกลัวเจ้า”
ฉีอวิ๋นเหล่ยส่ายศีรษะและมองอีกฝ่ายอย่างเย้ยหยันและยียวน
เขาหมดคำพูดกับการอากัปกิริยาของอีกฝ่ายจริงๆ เฟิงอู๋มักทำตัวโอหังอยู่เสมอ ไม่ว่าพ่ายแพ้ต่อพวกเขากี่ครั้งก็ไม่เคยหลาบจำ ถ้าหากมีสิ่งใดที่ฉีอวิ๋นเหล่ยและพวกกลัวเฟิงอู๋และจูตี๋ พวกเขาก็คงกลัวเพียงว่าเฟิงอู๋จะไม่ทำในสิ่งที่พูด
เมื่อได้ยินวาจาเย้ยหยันของฉีอวิ๋นเหล่ย สีหน้าของเฟิงอู๋ก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยทันที
เขาไม่เคยมีพรสวรรค์ในด้านการใช้ฝีปาก ไม่ว่าจะเป็นฉีอวิ๋นเหล่ยหรือซูเสี่ยวจวิ้นก็สามารถเอาชนะเขาจนจมดินได้เสมอ
“หยุดพล่ามเรื่องไร้สาระและรีบส่งตัวฉินอวี้โม่มาทันที!”
จูตี๋ประกาศกร้าว ทั้งวาจาและแววตาของเขาแสดงถึงความมุ่งร้ายอย่างชัดเจนและไม่ปกปิดอีกต่อไป
ครานี้เขามั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก่อนหน้านี้คนของขุมกำลังพญายมจำนวนหนึ่งได้เดินทางมาที่นี่ นอกจากนี้มียังกลุ่มของหวังซั่วที่ติดตามตระกูลเฟิงอยู่เช่นกัน เพราะเมื่อคืนนี้หวังซั่วได้ตอบตกลงที่จะช่วยเฟิงอู๋ชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิง ถือได้ว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว
และฉินอวี้โม่ผู้นี้มีเรื่องบาดหมางกับหวังซั่วเช่นกัน แน่นอนว่าปรมาจารย์ช่างหลอมผู้หยิ่งทะนงไม่มีทางปล่อยให้โอกาสล้างแค้นนี้ผ่านไปเสียเฉยๆ บัดนี้พวกเขาถือไพ่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
เมื่อเปรียบเทียบกัน ฝ่ายฉีอวิ๋นเหล่ยก็ยังมีสมาชิกอยู่พอสมควร ทว่าพวกเขาก็ดูอ่อนแอกว่าเล็กน้อย
“จูตี๋ เจ้าไม่เข้าใจภาษาคนรึไง? ข้าบอกว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้อยู่กับข้า ข้าจะส่งตัวนางให้กับเจ้าได้อย่างไรกันเล่า?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ยเบาๆพลางมองจูตี๋และยิ้มอย่างไม่แยแส “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฉินอวี้โม่อยู่กับข้าจริงๆ ข้าก็หาใช่คนไร้เกียรติที่จะทอดทิ้งมิตรสหายเพื่อเอาตัวรอด”
วาจาของเขาแดกดันถากถางอย่างเปิดเผย ชื่อเสียงของขุมกำลังพญายมฉาวโฉ่เป็นที่สุดและเขาก็ไม่มีทางที่จะทรยศหรือทอดทิ้งมิตรสหายของตนเองเป็นอันขาด
“เหอะ ถ้างั้นก็อย่ากล่าวโทษพวกข้าก็แล้วกัน หากเจ้าไม่ส่งตัวฉินอวี้โม่มา พวกข้าก็จะตามหานางเอง!”
จูตี๋แค่นเสียงเย็นชาและไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำอีกต่อไป
“อวี๋โม่ ออกมาเดี๋ยวนี้! ข้ารู้ว่าเจ้าคือฉินอวี้โม่ อย่ามัวแต่หดหัวหลบอยู่ใต้กระดอง รีบโผล่หัวออกมาซะ!”
จูตี๋ตะโกนลั่นด้วยเสียงดังจนได้ยินทั่วสมาคมช่างหลอม เขาเปิดเผยตัวตนแท้ที่จริงของ ‘อวี๋โม่’ ต่อหน้าทุกคน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนโดยรอบที่มาชมการปะทะคารมของทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกตะลึง
“ข้าหูฝาดไปรึไม่? จูตี๋กล่าวว่าช่างหลอมอวี๋โม่คือฉินอวี้โม่ผู้ที่เลื่องชื่อในดินแดนก่อนหน้านี้งั้นรึ?!”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงของเขาเจือปนความตกใจและความไม่อยากเชื่อ
“ถ้าเจ้าหูฝาด ข้าก็คงหูฝาดไปเช่นกัน”
อีกคนกล่าวด้วยความตกใจและไม่อยากเชื่อเช่นกัน
“บ้าจริง ช่างหลอมอวี๋โม่ก็คือฉินอวี้โม่ผู้ที่โด่งดังในดินแดนเมื่อไม่นานมานี้จริงๆหรือ นี่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ!”
ใครอีกคนกล่าวอย่างไม่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
ชื่อของฉินอวี้โม่แพร่กระจายไปทั่วดินแดนเมื่อไม่นานมานี้และมันดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย เมื่อวานนี้ ช่างหลอมอวี๋โม่ได้สร้างชื่อในการแข่งขันจนรู้กันไปทั่วเมือง ไม่คิดเลยว่าเจ้าของชื่อทั้งสองจะเป็นคนเดียวกัน อวี๋โม่ก็คือฉินอวี้โม่..เรื่องนี้ยากที่จะทำใจเชื่อได้
“สวรรค์! ช่างหลอมอวี๋โม่ก็คือฉินอวี้โม่ แต่นางเป็นสตรีไม่ใช่รึ?”
สตรีนางหนึ่งโพล่งออกมาด้วยอากัปกิริยาตกใจราวกับได้ยินเสียงหัวใจของตนเองแตกสลาย
“ไม่คิดเลยว่า ‘เขา’ จะเป็นสตรี…”
สตรีอีกคนเศร้าใจเช่นกัน ลักษณะท่าทางของช่างหลอมอวี๋โม่เมื่อวานนี้ดึงดูดใจนางเป็นที่สุดและนางตั้งใจที่จะสารภาพรักกับอวี๋โม่คนนั้น ทว่านางไม่คิดเลยว่าบุรุษที่หมายปองแท้จริงแล้วเป็นสตรีปลอมตัวมา
“เหอะ ข้าไม่สนใจหรอก สตรีเก่งกาจแบบนั้นจะไม่เป็นที่หมายปองได้อย่างไร? เมื่อช่างหลอมอวี๋โม่ออกมา ข้าจะไปสารภาพความในใจกับนาง ต่อให้ถูกปฏิเสธข้าก็ไม่สน”
บุรุษคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปสารภาพความในใจกับฉินอวี้โม่
“ข้าด้วย ข้าไปด้วย!”
บุรุษอีกคนกล่าวเสริมทันทีโดยแทบลืมไปว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด
ความจริงฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่โด่งดังในเรื่องรูปโฉมงดงามสะท้านทั้งแผ่นดินเช่นกัน อีกทั้งด้วยพรสวรรค์และเสน่ห์เหลือล้นของนาง มันก็เพียงพอที่จะดึงดูดใจจนพวกเขาโงหัวไม่ขึ้น หากพวกเขาได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของนาง ต่อให้ต้องรบรากับผู้คน พวกเขาก็ไม่สนใจ
“หุบปากซะ!”
เมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของคนโดยรอบ สีหน้าของจูตี๋และพวกก็บิดเบี้ยวมากขึ้น เขาไม่คิดเลยว่าคนเหล่านี้จะหลงใหลศัตรูของเขาจนเสียสติไปเช่นนี้ เมื่อได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่เกรงกลัวและหลีกเลี่ยงไปเท่านั้น ทว่ากลับเปี่ยมด้วยความชื่นชมหลงใหลและจะแห่ไปสารภาพรักกับนาง
ฉินอวี้โม่มีเรื่องบาดหมางฝังลึกกับขุมกำลังพญายมของพวกเขา การที่คนเหล่านี้แสดงความเห็นเช่นนี้จนออกนอกหน้าก็เท่ากับว่าไม่มีใครเห็นขุมกำลังพญายมของพวกเขาอยู่ในสายตา
“เฮ้ พวกเจ้าจะจัดการอะไรได้?!”
คนเหล่านั้นเมินเฉยวาจาของจูตี๋โดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของขุมกำลังพญายม ถึงอย่างไรจูตี๋ก็ไม่ได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาและพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นจอมยุทธ์อิสระ ต่อให้ขุมกำลังพญายมต้องการถือโทษคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถระบุตัวตนหรือจับพวกเขาได้
เมื่อได้ยินวาจาของคนเหล่านั้น จูตี๋ก็เดือดดาลมากยิ่งขึ้น ในขณะที่เขาต้องการจะสั่งสอนบทเรียนให้คนเหล่านี้ได้รู้สำนึก เฟิงอู๋ก็เข้ามาห้ามปรามเขาไว้
“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าข่าวที่แพร่หลายไปทั่วดินแดนก่อนหน้านี้ไม่จริงเลยสักนิด ลือกันว่าฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลและพลังอำนาจใดๆและให้ความสำคัญกับมิตรสหายเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าบัดนี้สหายของนางตกอยู่ในอันตรายแต่ก็ยังหดหัวและไม่โผล่หน้าออกมา ข้านึกว่าฉินอวี้โม่จะเป็นสตรีที่ควรค่าแก่การยกย่องชื่นชมเสียอีก ดูตอนนี้สิ มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้น ฮ่าๆๆ”
เฟิงอู๋กล่าวเย้ยขณะพยายามยั่วยุฉินอวี้โม่ให้แสดงตัวออกมา
“เฟิงอู๋ เจ้านี่เข้าใจอะไรยากจริงๆ พวกข้าไม่เห็นจะรู้สึกถึงอันตรายอะไรใดๆ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวขณะมองเฟิงอู๋ด้วยแววตาเย้ยหยันยิ่งกว่าเดิม เฟิงอู๋ผู้นี้หน้าหนาเกินทน แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะดูเหมือนเสียเปรียบเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองตกอยู่ในอันตราย
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นฉีอวิ๋นเหล่ยหรือเหวินซื่อชู่ พวกเขาล้วนมีไพ่ตายซ่อนไว้ ลำพังเพียงคนเก่งแต่ปากอย่างเฟิงอู๋ไม่มีทางทำอะไรพวกเขาได้
“ฉีอวิ๋นเหล่ย หากฉินอวี้โม่ไม่ยอมออกมา อย่ามาโทษว่าพวกข้าทำเกินไปล่ะ ข้าอยากจะรู้นักว่าหากเจ้าและเหวินซื่อชู่ถูกจับตัว นางจะยังซ่อนตัวไม่ยอมออกมาอีกรึไม่”
เฟิงอู๋ยิ้มอย่างไม่แยแส เขาและจูตี๋ก็มีไพ่ตายซ่อนไว้เช่นกัน หากว่าวันนี้มีการต่อสู้เกิดขึ้นจริง การเอาชนะบุรุษสองคนตรงหน้าก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
“เฟิงอู๋ เจ้าจะยั่วโมโหข้าเพื่ออะไร?”
ระหว่างช่วงสภาวะจนมุมที่ไม่มีฝ่ายใดเหนือกว่านี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคน จากนั้นเพียงชั่วครู่พร้อมกับลมพัดผ่าน ร่างสง่างามก็ปรากฏกายข้างฉีอวิ๋นเหล่ยในทันที
“ในเมื่อเจ้าอยากพบข้านัก ข้าก็มาแล้วนี่ไง”
เสียงนั้นฟังดูเฉยเมยไม่แยแสราวกับไม่ได้เห็นเฟิงอู๋อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เจ้าของเสียงนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเห็นเฟิงอู๋เป็นเพียงมดตัวกระจ้อยที่ไร้ค่า
ฉินอวี้โม่ได้ฟังสถานการณ์โดยรวมจากซูเสี่ยวจวิ้นระหว่างเดินมาที่นี่
ก่อนหน้านี้นางใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวตลอดทั้งคืน
ภายในคฤหาสน์ไม่มีกลางวันและกลางคืน ด้วยเหตุนั้นนางจึงไม่รู้เวลาที่ล่วงเลยไป
อย่างไรก็ตาม เฟิงอู๋และจูตี๋มุ่งหน้าตรงมาที่สมาคมช่างหลอมทันทีที่ฟ้าสางและมาตะโกนเรียกร้องให้ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆออกมาพบ
แน่นอนว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ก็ไม่เกรงกลัวพวกเขาและเดินออกมาในห้องโถงอย่างสบายๆไม่ทุกข์ร้อน
เมื่อมาถึงห้องโถงแห่งนี้ ทั้งสองฝ่ายก็ประจันหน้าและสาดวาจาร้อนแรงใส่กัน
เฟิงอู๋และจูตี๋มาที่นี่เพื่อตามหาตัวฉินอวี้โม่ ในขณะที่ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่บอกให้ซูเสี่ยวจวิ้นไปบอกฉินอวี้โม่ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองถ่วงเวลาอยู่ที่นี่
ทั้งสองไม่ได้เกรงกลัวเฟิงอู๋และจูตี๋แม้แต่น้อย พวกเขาเพียงรอดูว่าฉินอวี้โม่จะอยากออกมาพบกับอีกฝ่ายหรือไม่
แน่นอนว่าอดีตนักฆ่าสาวไม่สะทกสะท้านและนางมุ่งหน้าตรงมาที่นี่ทันทีที่รู้เรื่องและทันได้ยินวาจาของเฟิงอู๋
ถึงแม้นางจะทราบดีว่าเฟิงอู๋จงใจกล่าวยั่วยุเพื่อบีบบังคับให้นางออกมา ทว่าในเมื่อตัวตนที่แท้จริงของตนเองถูกเปิดเผยแล้ว นางก็ไม่มีเรื่องให้ต้องปิดบังอีกต่อไป
ในเมื่อเฟิงอู๋ปากกล้าอยากให้นางออกมาพบ นางก็ย่อมตอบสนองต่อความต้องการของเขา
“อวี้โม่ ออกมาสักทีนะ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่มาปรากฏตรงหน้า ฉีอวิ๋นเหล่ยก็กล่าวขึ้นเบาๆ
“พี่อวิ๋นเหล่ย พี่ซื่อชู่ พวกท่านปวดหัวมามากแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่พลางกล่าวต่อ “ที่เหลือข้าจะจัดการต่อเอง”
บุรุษทั้งสองมองหน้ากันก่อนพยักศีรษะ พวกเขาเชื่อมั่นใจตัวฉินอวี้โม่ ในเมื่อนางลั่นวาจาว่าจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พวกเขาก็ไม่คัดค้าน
“เหอะ ฉินอวี้โม่ อวี๋โม่ กว่าจะโผล่หัวออกมาได้!”
จูตี๋แค่นเสียงและกล่าวถากถางทันทีที่เห็นเป้าหมาย
“พวกเจ้านี่ช่างโง่เขลาจริง ๆ หากข้าจงใจปิดบังตัวตนของตนเอง ข้าก็คงไม่ใช่นามว่า ‘โม่’ นับประสาอะไรกับการเข้าร่วมงานชุมนุมช่างหลอมอย่างเปิดเผยเช่นนี้”
คุณหนูสี่ตระกูลฉินแสยะยิ้มมุมปากและกล่าวเย้ยอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้นางเพียงไม่อยากนำพาปัญหามาเร็วเกินไป ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่านางเกรงกลัวขุมกำลังพญายม ด้วยสถานะของนางในปัจจุบัน ต่อให้เป็นผู้นำขุมกำลังหนึ่งนภาอย่างเฟิงอู๋เฉิน นางก็ไร้ซึ่งความเกรงกลัว นับประสาอะไรกับผู้ที่เป็นเพียงบุตรชายของผู้นำขุมกำลังพญายมตรงหน้านี้