ณ เมืองไป๋อวี้ ภายในห้องพักของฉินอวี้โม่ คณะเดินทางของนางกำลังพูดคุยหารือเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
“แปลกจริง คนพวกนั้นรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของพี่อวี้โม่ได้ยังไง?”
จู่ๆซูเสี่ยวจวิ้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้และเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มีเฉพาะนาง เหวินซื่อชู่และฉีอวิ๋นเหล่ยเท่านั้นที่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ แล้วเฟิงอู๋และคนอื่นๆรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?
คำพูดของซูเสี่ยวจวิ้นจุดประกายความสงสัยจนฉินอวี้โม่และบุรุษทั้งสองมองหน้ากันด้วยความสับสน
เด็กสาวพูดถูก นอกเหนือจากฉินอวี้โม่ก็มีเพียงสามคนในห้องนี้เท่านั้นที่รู้ว่านางเป็นใคร ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เฟิงอู๋และจูตี๋รู้ได้อย่างไรว่าอวี๋โม่คือฉินอวี้โม่?
“อวี้โม่ นอกจากพวกเรายังมีใครอีกรึไม่ที่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย
อดีตนักฆ่าสาวไตร่ตรองอย่างจริงจังครู่หนึ่ง นอกเหนือจากทั้งสามก็มีเพียงไม่กี่คนในสมาคมช่างหลอมที่รู้เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม นางเชื่อว่าคนจากสมาคมช่างหลอมไม่มีทางที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะเมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันจะไม่เป็นผลดีกับสมาคมช่างหลอมอย่างแน่นอน
“เจ้าลองถามท่านประธานเยว่ชิงดูสิ”
ทั้งสามมองหน้ากันก่อนเอ่ยบอกให้นางถามความจากเยว่ชิง ถึงแม้มันจะเป็นไปได้น้อยว่าเรื่องนี้หลุดออกไปเพราะสมาชิกของสมาคม ทว่าในเมื่อสงสัยเรื่องนี้ นางก็สามารถถามออกไปตรงๆได้
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนเอื้อมเปิดประตูเตรียมออกไปข้างนอกอย่างไม่รอช้า
ทว่าเมื่อก้าวออกจากลานเล็กๆของที่พัก พวกเขาก็พบว่ามีคนมากมายรวมตัวกันอยู่รอบๆลานและดูเหมือนว่ากำลังรอนางอยู่
“สวรรค์ ในที่สุดข้าก็ได้ยลโฉมจอมยุทธ์อวี้โม่!”
ใครคนหนึ่งมองเห็นฉินอวี้โม่จากไกลๆและโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นางช่างงดงามยิ่งนัก ข้าแทบจะเป็นลมเพราะความสุขใจ!”
อีกคนกล่าวแสดงความเห็นโดยที่มีแววตาเป็นประกายสุกใส
เมื่อได้ยินคนเหล่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและชักเท้าถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว
“ข้างนอกนั่นน่ากลัวเกินไป!”
นางทอดถอนหายใจอย่างปลงตก คนเหล่านี้หลงใหลในตัวนางจนเสียสติไปแล้ว ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็เข้าใจว่าการเป็นคนดังโดดเด่นไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
“ฮ่าๆๆ ข้าลืมบอกพี่อวี้โม่น่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ ซูเสี่ยวจวิ้นก็อดหัวเราะไม่ได้
ฉีอวิ๋นเหล่ยหัวเราะออกมาเช่นกัน และแม้แต่บุรุษยิ้มยากอย่างเหวินซื่อชู่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“แล้วข้าจะออกไปอย่างไรได้อีก?”
คุณหนูสี่ตระกูลเฉินรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย ในเมื่อมีคนมารวมตัวกันอยู่ข้างนอกนั่น นางจะออกไปจากที่นี่และไปหาประธานเยว่ชิงได้อย่างไร?
“ไม่ยากเลย พี่อวี้โม่มีคฤหาสน์เฟิงหัวนี่ คฤหาสน์ของท่านล่องหนได้ไม่ใช่รึ?”
เด็กสาวร่าเริงกล่าวพร้อมยิ้มกว้างและไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องเดือดร้อน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็นึกขึ้นได้ทันที
เมื่อครู่นางตกตะลึงจนสมองทึบไปชั่วขณะและลืมไปว่าตนเองมีคฤหาสน์นั้นอยู่ คฤหาสน์เฟิงหัวของนางไม่ใช่แค่เพื่ออวดอ้างเท่านั้น ด้วยคุณสมบัติล่องหนของมัน ไม่ว่ามีคนรายล้อมมากเพียงใดก็ไม่สามารถขวางกั้นนางได้
“ถ้างั้นทุกคนก็ระวังตัวด้วยล่ะ ข้าจะรีบกลับมา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเบาๆก่อนรีบเข้าไปในคฤหาสน์มิติของตนเองและมุ่งหน้าไปที่ห้องของเยว่ชิง
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างของฉินอวี้โม่ก็ค่อยๆปรากฏหน้าประตูพร้อมเสียงเคาะเบาๆ
“เข้ามาได้”
เสียงของเยว่ชิงดังมาจากข้างในและฉินอวี้โม่ผลักเปิดประตูก่อนเดินตรงเข้าไปอย่างไม่รีรอ
“เสี่ยวอวี้โม่นั่นเอง มีอะไรรึ?”
เมื่อเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือสมาชิกคนใหม่ผู้เลื่องชื่อ เยว่ชิงก็ยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมผายมือเป็นสัญญาณเชิญนางนั่งลง
ฉินอวี้โม่นั่งลงโดยไม่รอช้า
“ท่านประธานเยว่ชิง ข้ามาที่นี่ก็เพื่อสอบถามอะไรบางอย่าง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอ่ยจุดประสงค์อย่างชัดเจน
หลังจากได้ฟังเรื่องราว เยว่ชิงก็ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสของทางสมาคมเป็นคนเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปรึ?”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเป็นฝีมือของผู้อาวุโสในสมาคม ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยทำอะไรให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น เพียงแต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้ดูแปลกพิกล ข้าจึงอยากมาปรึกษาว่าท่านประธานมีความคิดเห็นอย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยว่ชิงก็พยักศีรษะอีกครั้ง
“อันที่จริง มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาวุโสของทางสมาคมจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ทว่าข้าก็อยู่ในสมาคมนี้มานานหลายร้อยปีและรู้จักผู้อาวุโสของสมาคมพอสมควร ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขาอย่างแน่นอน”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ “เป็นไปได้รึไม่ว่ามีคนแอบสะกดรอยตามเจ้าและมาได้ยินบทสนทนาของเราเข้า จากนั้นก็เอาเรื่องที่เจ้าคือฉินอวี้โม่ไปบอกกับเฟิงอู๋และจูตี๋”
“นั่นก็เป็นไปได้ ข้าเพียงแค่นึกไม่ออกว่าจะเป็นใคร ถึงอย่างไรแล้วข้าก็ซ่อนตัวตนอย่างแนบเนียน หากข้าไม่บอกความจริงด้วยตัวเอง คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางบอกได้ว่าข้าเป็นสตรีด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเรื่องที่ข้าคือฉินอวี้โม่”
“ฮ่าๆๆ ข้าเห็นด้วย เราทั้งหมดต่างก็มองไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นสตรี เจ้าแสดงอากัปกิริยาแบบบุรุษ สวมหน้ากากบดบังใบหน้าและติดลูกกระเดือกปลอม แน่นอนว่ามันยากที่คนธรรมดาทั่วไปจะบอกได้ว่าเจ้าไม่ใช่บุรุษอย่างที่เห็น”
เยว่ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม วาจาของเขาบ่งบอกถึงความชื่นชมที่มีต่อฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
หากไม่ใช่เพราะความตรงไปตรงมาของนาง เขาคงไม่มีทางคาดเดาได้ว่านางเป็นอิสตรี ฉินอวี้โม่มีปัญญาเป็นเลิศและใช้วิธีการปลอมตัวเป็นบุรุษได้อย่างแนบเนียน
เพราะเหตุนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่เฟิงอู๋และจูตี๋จะรู้ถึงตัวตนแท้จริงของนางได้
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าเจ้าเป็นใครก็ไม่สำคัญ เจ้าเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสมาคมช่างหลอมแล้ว ต่อให้เป็นขุมกำลังอันดับต้นๆของดินแดนนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรเจ้าโดยที่ไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังมีไพ่ตายที่ยากเกินหยั่งถึง อสูรมายาที่มีเพลิงจักรพรรดิไม่ใช่อสูรธรรมดาอย่างแน่นอน”
เยว่ชิงยิ้มอย่างมั่นใจเพื่อไม่ให้ฉินอวี้โม่เป็นกังวล
นางไม่เพียงแต่เป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของทางสมาคมเท่านั้น ทว่าก็ยังมีไพ่ลับบางอย่างที่คนอื่นไม่อาจรู้ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะก็ต้องร้อนๆหนาวๆ หากต้องเผชิญหน้ากับนาง
ยิ่งไปกว่านั้น คนอย่างฉินอวี้โม่ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงแม้แต่น้อย นางควรจะมีอิสระ เรียบง่ายและมั่นอกมั่นใจ
“ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอีกมากรอข้าอยู่ที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงหลังเดือนหนึ่ง ตอนนี้ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว ไม่ว่าใครเป็นตัวการเปิดเผยเรื่องนี้ หากคิดจะทำให้ข้าหงุดหงิดและมีเจตนาร้ายต่อข้า คนผู้นั้นจะต้องชดใช้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆ งานเลี้ยงตระกูลเฟิงที่จะจัดขึ้นหลังเดือนหนึ่งจะต้องมีเรื่องซับซ้อนวุ่นวายอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าจูอวิ๋นชางจะมาเข้าร่วมงานด้วยตัวเองและเฟิงอู๋ก็น่าจะวางกับดักและรอนางอยู่ที่นั่น
ทว่าอดีตนักฆ่าสาวแห่งยุคอย่างนางก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย เมื่อทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ เมื่อน้ำมาก็ใช้ดินต้าน แน่นอนว่านางย่อมมีวิธีรับมือกับพวกเขาอยู่
**สำนวน 兵来将挡,水来土掩 = ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
บัดนี้ฉินอวี้โม่นึกสงสัยเล็กน้อยว่าฉินเทียนและหานโม่ฉือจะปรากฏตัวที่งานนั้นหรือไม่ หากทั้งสองไปที่นั่นและได้พบกันอีกครั้ง มันก็คงจะเป็นเรื่องดีอย่างที่สุด
“เสี่ยวอวี้โม่ ในงานเลี้ยงที่ตระกูลเฟิงนั้น ทั้งสมาคมช่างหลอมและสมาคมโอสถจะไม่ส่งคนไปที่นั่น เจ้าจะต้องระวังตัวไว้ เจ้าเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสมาคมเรา ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากทำให้สมาคมต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย แต่ในเมื่อเจ้าเป็นสมาชิกของเราแล้ว พวกเราทั้งหมดก็เหมือนเป็นครอบครัวและสหายต่อกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า อย่าพยายามรับมือทุกอย่างไว้เพียงผู้เดียว แม้ว่าสมาคมช่างหลอมของเราจะไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย เราก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกคนของเราง่ายๆ”
ประธานสมาคมสบตาฉินอวี้โม่อย่างจริงจังและกล่าวแนะนำ
เขารู้ว่าด้วยนิสัยส่วนตัวของนาง ฉินอวี้โม่ไม่ต้องการให้สมาคมช่างหลอมต้องมีเรื่องบาดหมางผิดใจกับขุมกำลังใดเพราะเรื่องส่วนตัวของนาง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เขาเชิญนางเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมในตอนแรก เขาก็เตรียมตัวสำหรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นไว้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สมาคมช่างหลอมและฉินอวี้โม่ก็เป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะมีภัยอันตรายเพียงใด พวกเขาก็จะช่วยนางฝ่าข้ามอุปสรรคไปด้วยกัน
เยว่ชิงไม่อยากให้นางต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองลำพัง เขาหวังว่านางจะมองตัวเองเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสมาคมและยอมรับความช่วยเหลือจากพวกเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านประธานเยว่ชิงเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ นางเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี
จู่ๆนางก็รู้สึกว่าการมีโอกาสเข้าร่วมสมาคมช่างหลอมแห่งนี้ถือเป็นโชคดีที่สุด นางเชื่อว่าภายใต้ผู้นำอย่างเยว่ชิง สมาคมนี้จะพัฒนาก้าวหน้าต่อไปอย่างมั่นคง
หลังจากสนทนากับเยว่ชิงพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็กลับไปที่พักของตน
“เป็นอย่างไรบ้าง ได้เรื่องอะไรรึไม่?”
เมื่อจู่ๆฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนเก้าอี้ ซูเสี่ยวจวิ้นและบุรุษทั้งสองก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจใดๆ พวกเขาเพียงมองนางและเอ่ยถามด้วยความกังวล
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและเล่าบทสนทนากับเยว่ชิงให้พวกเขาฟัง
ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันและพอจะเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นเล็กน้อย
“เราจะต้องระวังตัวให้มากขึ้นในอนาคต”
“จะว่าไปแล้ว พวกเราแยกตัวกันก่อนเถอะและรอรวมตัวกันใหม่ที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิง”
จู่ๆฉินอวี้โม่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ทำไมล่ะ? พี่อวี้โม่กลัวว่าจะทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วยรึ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาว ซูเสี่ยวจวิ้นก็ตอบกลับทันควันและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่ยอมอย่างชัดเจน
วาจาของซูเสี่ยวจวิ้นทิ่มแทงใจฉินอวี้โม่เล็กน้อยและนางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “เด็กโง่เอ๋ย จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เราเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ทำไมข้าจะต้องกลัวว่าจะทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนเล่า?”
“แล้วทำไมล่ะ?”
แน่นอนว่าซูเสี่ยวจวิ้นไม่อยากแยกจากฉินอวี้โม่ นางถูกชะตากับคนตรงหน้าและอยากติดตามพี่สาวไปทุกที่
“ดูผู้คนข้างนอกนั่นสิ ทุกคนอยากพบหน้าข้าและข้าได้ยินมาว่ายังมีคนอีกมากที่กำลังเดินทางมา หากข้าอยู่กับเจ้า มันก็คงจะกลายเป็นเป้าหมายที่เด่นชัดเกินไป คนพวกนั้นจะรู้ทันทีว่าข้าคือฉินอวี้โม่ แม้ว่าความงามมีไว้เพื่อเชยชม ข้าก็ไม่อยากถูกห้อมล้อมโดยคนมากมายเช่นนั้น”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบาย
นางไม่กลัวว่าจะทำให้สหายทั้งสามต้องเดือดร้อนไปด้วย เพียงแต่นางคิดว่าหากอยู่กับซูเสี่ยวจวิ้นและบุรุษทั้งสองต่อไป นางคงทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัว นางอยากท่องไปรอบๆอย่างอิสระและไม่อยากติดอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ซิวบอกไว้ว่าการวิวัฒนาการของเสี่ยวอวี้ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ฉินอวี้โม่อยากหาที่ที่มีสภาวะพลังหนาแน่นเพื่อให้เสี่ยวอวี้พัฒนาก้าวหน้าได้เร็วที่สุด
ถึงอย่างไรนางก็ไม่อาจคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในงานเลี้ยงที่จะมาถึงได้ ยิ่งหานอวี้พัฒนาก้าวหน้าเร็วเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งปลอดภัยและวางใจได้มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำอธิบายของฉินอวี้โม่ ซูเสี่ยวจวิ้นและอีกสองคนก็เข้าใจมากขึ้นถึงแม้จะไม่มีความสุขนักก็ตาม
“ไว้พบกันใหม่ที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิง เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักในช่วงเวลานี้ ครั้งต่อไปที่เราได้พบกัน ข้าจะรอดูพัฒนาการของเจ้า”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางเอื้อมมือไปบีบจมูกเด็กสาวใบหน้าบูดบึ้งตรงหน้า
ซูเสี่ยวจวิ้นพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนักและกล่าว “พรุ่งนี้หลังจากที่ท่านช่วยท่านประธานเย่าเหยียนจัดการธุระเสร็จสิ้น เราจะออกเดินทางกัน”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับทราบโดยไม่คัดค้าน