ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆต่างก็คาดเดาได้ถูกต้อง สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงงานชุมนุมช่างหลอมทำให้ฉินอวี้โม่กลายเป็นคนดังของดินแดนอ้างว้างในทันที เมื่อทราบว่านางยังอยู่ในเมืองไป๋อวี้ คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศที่รู้สึกชื่นชมในตัวนางก็มุ่งหน้ามาเพียงเพื่อให้ได้พบนางและคลายความสงสัยใคร่รู้ของตนเอง
สำหรับคนอื่นๆที่อยู่ไกลออกไป เมื่อพวกเขาได้รับข่าวว่าฉินอวี้โม่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ตระกูลเฟิงหลังเดือนหนึ่ง พวกก็เขาเดินทางไปที่นั่นเป็นการล่วงหน้าเพื่อหาที่พักและรอการมาถึงของสตรีผู้เลื่องชื่อ
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เดินทางมุ่งหน้าตรงมาที่เมืองไป๋อวี้กลับต้องมาเสียเที่ยว เพราะฉินอวี้โม่เก็บตัวในห้องเพื่อฝึกฝนตลอดสองวันที่ผ่านมาและไม่โผล่หน้าออกมาให้ใครเห็น
“พี่อวี้โม่ ดูสิ”
ซูเสี่ยวจวิ้นหยิบแก่นมายาและแกนชีวิตจำนวนมากยื่นให้กับฉินอวี้โม่อย่างตกตะลึง
“ท่านช่างมีเสน่ห์จนเหลือล้น มีคนอยากพบท่านตั้งมากมายและมอบสิ่งของให้ข้าเต็มไปหมด เพื่อให้ข้าแนะนำพวกเขากับท่าน”
คนมากมายเหล่านั้นรับรู้ว่าซูเสี่ยวจวิ้นและคณะเป็นมิตรสหายใกล้ชิดกับฉินอวี้โม่ เมื่อไม่ได้พบนาง พวกเขาหลายคนจึงเริ่มเข้าหาซูเสี่ยวจวิ้น
ในเมื่อนางยังเด็กมาก พวกเขาจึงคิดไปเองว่าหากมอบสิ่งของให้และคะยั้นคะยอนาง พวกเขาก็อาจได้พบกับฉินอวี้โม่ดังที่หวังไว้
เพียงแต่พวกเขาคิดผิด แม้ว่าเด็กสาวร่าเริงจะยังเยาว์วัย นางก็หาใช่คนหัวอ่อนที่จะถูกโน้มน้าวได้ง่าย นางเข้าใจความต้องการและความพยายามของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรแล้วฝ่ายหนึ่งก็พร้อมเสีย ส่วนอีกฝ่ายก็พร้อมรับ หากปฏิเสธน้ำใจของฝ่ายตรงข้าม ซูเสี่ยวจวิ้นก็คงจะโง่เขลาเบาปัญญานัก
อีกอย่าง นางไม่เคยคิดจะปล่อยให้ใครได้ยลโฉมฉินอวี้โม่ เพราะในสายตาของเด็กสาว พี่สาวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาๆที่ใครต่อใครจะพบหน้าได้ง่ายๆ
คืนก่อนถึงกำหนดช่วยประธานสมาคมเย่าเหยียน ฉินอวี้โม่ก็ต้อนแขกที่มาหา
“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าแท้ที่จริงแล้วท่านจอมยุทธ์อวี๋โม่คือฉินอวี้โม่ผู้เลื่องชื่อนั่นเอง ทักษะการปลอมตัวของท่านจอมยุทธ์แนบเนียนจนหลอกข้าได้เสียสนิท น่าอายจริงๆเลย”
ฉุ่ยเยว่มองดูรูปลักษณ์ของสตรีตรงหน้าและอดเอ่ยด้วยความตกตะลึงไม่ได้
นางไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นทว่าก็ได้รู้ข่าวเรื่องฉินอวี้โม่จากคนอื่นอีกทอดหนึ่ง และวันนี้คือครั้งแรกที่นางได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ซึ่งงดงามสมดังคำร่ำลือ
นางได้พบปะและพูดคุยกับฉินอวี้โม่และคณะหลายครั้งทว่าไม่เคยรู้เลยว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้ลึกลับภายใต้หน้ากากจะเป็นสตรีและยังงดงามถึงเพียงนี้ หากไม่มีเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นและไม่มีการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของจอมยุทธ์ ‘อวี๋โม่’ คงอีกนานกว่าที่จะมีใครตงิดใจและทราบถึงความจริง
ฉุ่ยเยว่เชื่อว่านางมีปัญญาเป็นเลิศไม่ด้อยกว่าใครและนางมีเครือข่ายกว้างขวาง ทักษะการปลอมตัวของฉินอวี้โม่ตบตาได้แม้กระทั่งผู้รอบรู้ข่าวสารบ้านเมืองอย่างนาง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าฝีมือของฉินอวี้โม่ยอดเยี่ยมและสัมฤทธิ์ผลเพียงใด
“ฮ่าๆๆ แม่นางฉุ่ยเยว่ก็กล่าวเกินไป มันก็แค่กลยุทธ์การตบตาเล็กๆน้อยๆเท่านั้น อีกอย่างเราก็เพิ่งได้สนทนากันอย่างใกล้ชิดเพียงไม่กี่ครั้งและไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่นัก หากเราพูดคุยและใช้เวลาร่วมกันมากกว่านี้ ข้าก็คงซ่อนตัวตนแท้ที่จริงจากแม่นางฉุ่ยเยว่ไม่ได้หรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับอีกฝ่าย นางรู้สึกถูกชะตากับแม่นางฉุ่ยเยว่ผู้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและเป็นอิสระ ทว่าตัวตนของฉุ่ยเยว่ก็ยังคงลึกลับมากและฉินอวี้โม่เชื่อว่าอีกฝ่ายมิใช่หญิงคณิกาธรรมดาทั่วไป เพราะเหตุนั้นถึงแม้จะถูกใจฉุ่ยเยว่มาก ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดที่จะผูกไมตรีให้แน่นแฟ้นจริงจัง
“ที่ข้ามาพบท่านจอมยุทธ์วันนี้ก็เพื่อบอกลา”
ฉุ่ยเยว่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากสร้างความสนิทชิดเชื้อเกินความจำเป็น ทว่านางเองก็อยากรู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่และอยากรู้ว่าเหตุใด ‘ท่านผู้นั้น’ จึงสั่งให้นางช่วยเหลืออีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการจุดชนวนความสงสัยของฉินอวี้โม่และป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายสืบเสาะข้อมูลของตน ฉุ่ยเยว่จึงเลือกที่จะบอกลาและกลับไปก่อน
“โอ้ แม่นางฉุ่ยเยว่จะไปแล้วรึ?”
ฉินอวี้โม่ตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางคิดว่าการที่ฉุ่ยเยว่มาหานางอย่างกะทันหันในวันนี้ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อทดสอบบางอย่าง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาเพื่อบอกลา
“ฮิๆๆ ในเมื่องานชุมนุมช่างหลอมสิ้นสุดลงแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่ข้าจะอยู่ที่เมืองไป๋อวี้แห่งนี้ต่อไป”
ฉุ่ยเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างเปิดเผย
“แม่นางฉุ่ยเยว่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงที่จะมาถึงด้วยรึไม่?”
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ทันที หอนางโลมจะต้องไม่ใช่ขุมกำลังธรรมดาๆและนางเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางพลาดงานเลี้ยงครั้งนี้แน่
“ฮิๆๆ ข้าต้องไปอยู่แล้ว การที่ตระกูลเฟิงส่งคำเชิญเช่นนี้ถือเป็นโอกาสหายากทีเดียว หอนางโลมของเราไม่พลาดแน่”
ฉุ่ยเยว่ไม่ปิดบังข้อมูลใดๆขณะยิ้มเล็กน้อยและบอกความตั้งใจของหอนางโลม
นางได้รับคำสั่งแล้วว่าให้เดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง ยิ่งไปกว่านั้นคือฉินอวี้โม่จะไปที่นั่นเช่นกัน ต่อให้ไม่ได้รับคำสั่ง ฉุ่ยเยว่ก็จะไม่พลาดงานครั้งนี้ ตอนนี้นางสงสัยและอยากรู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อยๆและนางมั่นใจว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นที่งานตระกูลเฟิงอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ ถ้างั้นข้าก็จะไม่รั้งแม่นาง ไว้พบกันใหม่ที่จวนตระกูลเฟิง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเป็นมิตรและรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีสงบนิ่งของอีกฝ่าย นางคิดว่าฉุ่ยเยว่จะไม่ตอบตามความจริง ทว่าสิ่งที่เห็นคือหญิงคณิกาอันดับหนึ่งตรงหน้าไม่ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย
“เจ้าค่ะ ไว้เจอกันที่งานตระกูลเฟิง ข้าจะรอดูว่าท่านจอมยุทธ์อวี้โม่จะทำอะไรเพื่อประกาศศักดาสะเทือนไปทั่วดินแดนอีกรึไม่”
ฉุ่ยเยว่กล่าวทิ้งท้ายก่อนลุกขึ้นและอำลา
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับคำพูดของฉุ่ยเยว่โดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ นางเพียงต้องการเป็นสตรีงดงามที่อยู่อย่างเงียบๆไม่วุ่นวาย ทว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนนางปลงตก หากเป็นไปได้ นางหวังเพียงจะได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายธรรมดาและมีความสุขซึ่งดีกว่าอะไรทั้งสิ้น
“หอนางโลมนั่นไม่ธรรมดาเลย อวี้โม่จะต้องระวังตัวให้มากขึ้นในอนาคต”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆรู้สึกถึงความลึกลับซับซ้อนของหอนางโลมและแม่นางฉุ่ยเยว่ พวกเขาจึงเอ่ยเตือนฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับอย่างเข้าใจ เพียงแต่ฉุ่ยเยว่ดูไม่มีพิษภัยและนางไม่จำเป็นต้องระวังอะไรให้มากนัก ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น
เช้าตรู่วันต่อมา ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องหลอมที่ใหญ่ที่สุดและซ่อนอยู่ลึกที่สุดในสมาคมช่างหลอม
ภายในห้องหลอมแห่งนี้ นอกเหนือจากเย่าเหยียนก็ยังมีเยว่ชิงและกู่หยวนอยู่ด้วย
“เสี่ยวอวี้โม่ ในที่สุดเจ้าก็มา”
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ทั้งสามก็ยิ้มกว้างและหัวเราะเบาะๆอย่างควบคุมไม่ได้
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสามรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นตลอดช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมานี้ เมื่อได้รู้ว่ามีคนบ้าคลั่งมากมาย พวกเขาก็นึกสนใจไม่น้อย
ดินแดนอ้างว้างมีบุคคลมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ไม่น้อย ทว่ามีเพียงฉินอวี้โม่ผู้นี้เท่านั้นที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้
นางเปรียบเสมือนดวงดาราสุกสกาวและหลายคนยินดีลงทุนจ่ายอย่างมหาศาลเพียงเพื่อมาพบนาง หลายคนไม่หลับไม่น้อยเพื่อตั้งตารอฉินอวี้โม่ออกจากห้องพักและยลโฉมความงดงามของนาง
บุรุษสูงวัยเหล่านี้มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเรื่องสนุกสนานเช่นนี้ พวกเขาจึงพบว่ามันน่าสนใจอย่างมาก
ฉินอวี้โม่พูดไม่ออกเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสาม
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสาม อย่าลังเลอยู่เลยเจ้าค่ะ หากมีอะไรที่ท่านอยากถาม อยากหยอกล้อหรือหัวเราะก็เชิญได้เลย ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใส่ใจหรอก”
ฉินอวี้โม่อดกล่าวอะไรบางอย่างออกไปไม่ได้และทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
“เสี่ยวอวี้โม่ งานชุมนุมช่างหลอมครานี้ทำให้เจ้าโด่งดังอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับเจ้า”
กู่หยวนกล่าวขึ้นเป็นคนแรก จู่ๆฉินอวี้โม่ก็กลายเป็นคนดังในงานชุมนุมประจำปีนี้ หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป การมีชื่อเสียงแบบนี้ถือเป็นเรื่องดีไม่น้อย
ทว่า..คนผู้นี้คือฉินอวี้โม่ ความขัดแย้งระหว่างนางและขุมกำลังพญายม รวมถึงความบาดหมางกับตระกูลเฟิงทำให้เรื่องนี้ทั้งซับซ้อนและอันตราย หากไม่รับมือกับสถานการณ์อย่างรอบคอบ ชีวิตของคุณหนูสี่ผู้เลื่องชื่อก็อาจต้องตกอยู่ในอันตรายได้
ไม่ว่าจะเป็นเยว่ชิง กู่หยวนหรือเย่าเหยียน ทั้งสามไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีเมล็ดพันธุ์มากฝีมือเช่นนี้ในดินแดนอ้างว้าง พวกเขาหวังว่าจะได้เห็นวันหนึ่งที่ฉินอวี้โม่เลื่องลือเกรียงไกรและกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของดินแดนอ้างว้าง
“เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นเถอะเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านประธานเย่าเหยียนอยากให้ข้าทำอะไรหรือ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
นางไม่ใช่คนที่จะจมอยู่กับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว นางไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนตั้งแต่แรกเพราะกังวลว่าอาจนำไปสู่ปัญหาวุ่นวายได้ ทว่าบัดนี้เมื่อตัวตนของนางถูกเปิดเผยออกไปแล้ว นางก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
นางเป็นคนเรียบง่ายและมีอิสระ นางไม่ต้องการคิดถึงสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ไม่ว่าชื่อเสียงในงานชุมนุมช่างหลอมจะเป็นสิ่งที่ดีหรือเลวร้ายสำหรับนาง นางก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จะต้องคิดมากให้วุ่นวาย
ดังสำนวน ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน ไม่ว่าจะอย่างไร ใครหน้าไหนที่คิดจะโจมตีนาง มันผู้นั้นก็จะต้องชดใช้!
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ยอดฝีมือทั้งสามก็ไม่สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป
“เสี่ยวอวี้โม่ วันนี้ข้าอยากขอยืมเพลิงจักรพรรดิของเจ้าเพื่อช่วยหลอมโอสถ”
เย่าเหยียนยิ้มและอธิบาย
“โอสถที่ข้าจะหลอมมีชื่อว่าโอสถทะลวงฟ้า เจ้าเคยได้ยินชื่อของมันรึไม่?”
ฉินอวี้โม่ตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ‘โอสถทะลวงฟ้า’
‘โอสถทะลวงฟ้า’ แน่นอนว่านางเคยได้ยินเกี่ยวกับมัน มันคือโอสถระดับสูงที่หลอมได้ยากทว่าเป็นที่นิยมในหมู่จอมยุทธ์
ว่ากันว่าโอสถทะลวงฟ้าสามารถทำให้ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์บรรลุขอบเขตจ้าวพิภพได้โดยตรง ส่วนผู้ที่อยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพก็จะสามารถพัฒนาขึ้นอย่างมากซึ่งถือเป็นโอสถที่ยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิทูตสวรรค์และขุมกำลังทั้งน้อยใหญ่ต่างก็ต้องการมัน
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่วัตถุดิบที่ใช้หลอมมันจะซับซ้อนมากเท่านั้นทว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เพลิงที่ในระดับเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อหลอมมัน เย่าเหยียนมีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทว่าหลังจากพยายามหลอมมันครั้งหนึ่ง เขาก็ต้องเผชิญกับความล้มเหลว
และตอนนี้เขามีวัตถุดิบเหลือเพียงชุดเดียวเท่านั้น แผนการเดิมของเขาคือขอความช่วยเหลือจากเยว่ชิงและพวกเขาทั้งสองจะร่วมมือกันเพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ ทว่าจู่ๆในวันก่อนที่เขาได้เห็นฉินอวี้โม่ใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ หัวใจของเย่าเหยียนก็เกิดความหวังขึ้นมา
ในการหลอมโอสถระดับสูงเช่นนี้ ยิ่งเพลิงระดับสูงเพียงใด โอกาสความสำเร็จและประสิทธิภาพก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ครานี้หากเขาได้ยืมพลังจากเพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่ เย่าเหยียนก็มีความมั่นใจถึงหกในสิบส่วนว่าเขาจะหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จ
“วัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถทะลวงฟ้าต่างก็เป็นสิ่งที่รวบรวมมาได้อย่างยากลำบาก ข้ารวบรวมมาได้เพียงสองชุดเท่านั้นและข้าก็ล้มเหลวไปครั้งหนึ่งแล้ว ทว่าครานี้หากได้เพลิงจักรพรรดิของเจ้ามาช่วย ข้าเชื่อว่าอัตราความสำเร็จจะเพิ่มขึ้นมาก หากข้าหลอมนี้โอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จ ทักษะการหลอมโอสถของข้าจะพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก”
เย่าเหยียนไม่ปิดบังสิ่งใดและมันแสดงให้เห็นว่าเขาสนใจและตั้งใจกับการหลอมโอสถนี้มากเพียงใด
ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จ สำหรับจอมยุทธ์ทุกคน โอสถทะลวงฟ้าถือเป็นโอสถที่ล้ำค่ามาก
เย่าเหยียนไม่ได้ขาดแคลนเงินทองทรัยพ์สิน ทว่าหากหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จ เขาจะพัฒนาทักษะการหลอมโอสถของตนเองขึ้นอีก สำหรับผู้หลอมโอสถแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าสิ่งนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะแสดงออกถึงความเข้าใจ
หากเย่าเหยียนหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จดังที่ต้องการ เขาก็อาจจะมอบมันให้กับนางเช่นกัน บัดนี้พลังของนางอยู่ในขอบเขตจ้าวพิภพและหากได้โอสถนี้มา นางก็จะพัฒนาพลังของตนเองได้เป็นอย่างมาก