ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆอยู่ในห้องหลอมนานเกือบสองชั่วยามขณะจดจ่อสมาธิทั้งหมดอยู่กับการหลอมโอสถตรงหน้า
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ออกแรงเท่าไหร่นัก นางเพียงต้องควบคุมเพลิงจักรพรรดิในมือให้คงที่ในขณะที่ขั้นตอนอื่นทั้งหมดเป็นหน้าที่ของเย่าเหยียน
ต้องกล่าวเลยว่าทักษะการหลอมโอสถของเย่าเหยียนล้ำเลิศอย่างมาก จากการเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขาสามารถรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นผู้หลอมโอสถระดับปรมาจารย์ที่มากฝีมือ
ฉินอวี้โม่เคยได้เห็นฉินอี้เฟยหลอมโอสถมาก่อน แม้ว่าเขามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ทักษะการหลอมโอสถของเขาก็ยังด้อยกว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตอนนี้ฉินอี้เฟยเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาแล้ว ฉินอวี้โม่จึงไม่ทราบว่าเขาก้าวหน้าไปมากเพียงใดในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แต่นางเชื่อว่าเมื่อได้พบฉินอี้เฟยครั้งต่อไป เขาคงจะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงของดินแดนเทพมายาและทักษะการหลอมโอสถของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน
เย่าเหยียนกำลังง่วนอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าขณะวัตถุดิบโอสถทุกรูปแบบปรากฏในมือของเขาและถูกโยนลงในเตาหลอมโอสถเล็กๆที่อยู่ตรงกลาง
พลังจิตเขาเข้าสู่เตาหลอมอย่างสมบูรณ์ขณะเขาจดจ่อกับการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างใน
หลังจากผ่านไปอีกเกือบสองชั่วยาม ฉินอวี้โม่ก็เริ่มรู้สึกอ่อนกำลังลงเล็กน้อย ทว่าในตอนนี้นางเริ่มได้กลิ่นของโอสถลอยมาจากเตาหลอม
“มันจะต้องสำเร็จแน่!”
เยว่ชิงและกู่หยวนซึ่งหลับตาลงเพื่อช่วยควบคุมสถานการณ์ลืมตาโพลงและมองเตาหลอมโอสถตรงหน้าด้วยแววตาอยากรู้
ฉินอวี้โม่เองก็มองไปที่เตาหลอมตรงกลางห้องเช่นกัน นางกำลังควบคุมเพลิงจักรพรรดิและแน่นอนว่านางสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในเตาหลอม
จนถึงตอนนี้ มันไม่เกิดปัญหาใดๆขึ้นแม้แต่น้อย นั่นแสดงว่าการหลอมครั้งนี้กำลังจะประสบความสำเร็จ ตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด หากไม่มีอะไรผิดพลาด ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป การหลอมโอสถทะลวงฟ้าจะเสร็จสมบูรณ์อย่างแน่นอน
เย่าเหยียนไม่กล้าวางใจขณะจดจ่อที่เตาหลอมตรงกลางห้องอย่างไม่กะพริบตาด้วยความกลัวว่าจะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาใช้พลังจิตของตนเองห่อหุ้มรอบเม็ดโอสถที่ก่อตัวขึ้นในเตาหลอมและสภาวะพลังมากมายเข้าสู่โอสถเพื่อลดอุณหภูมิลง
ตราบใดที่อุณหภูมิลดลงอย่างสมบูรณ์ กระบวนการหลอมโอสถทะลวงฟ้าครั้งนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้ว
อีกหนึ่งก้านธูปต่อมา เย่าเหยียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและประกายความสุขฉายชัดบนใบหน้าของเขา
“เสี่ยวอวี้โม่ ถอนเพลิงได้”
เขายิ้มให้ฉินอวี้โม่และบอกให้นางถอนเพลิง
นางพยักศีรษะตอบรับและโบกข้อมือเพื่อถอนเพลิงจักรพรรดิ
ทันทีที่เพลิงดับลง ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นว่าเตาหลอมตรงหน้ากำลังหมุนรอบตัวอย่างรวดเร็ว
“โอสถบรรลุผล!”
เย่าเหยียนเอ่ยเบาๆก่อนเตาหลอมโอสถตรงหน้าเขาหยุดนิ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นฝาของมันก็พลิกเปิดออกและโอสถหลายเม็ดลอยออกมา
“เก็บมา!”
เย่าเหยียนหยิบขวดเก็บโอสถเล็กๆออกมาพร้อมรอยยิ้มและโอสถกลางอากาศเหล่านั้นก็ลอยเข้าไปในขวดกระเบื้องอย่างง่ายดาย
“ฮ่าๆๆ เสี่ยวอวี้โม่ ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”
เย่าเหยียนเช็ดเหงื่อที่ชุ่มโชกบนหน้าผากและเหยียดกายลุกขึ้นก่อนเดินตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม
“ท่านประธานเย่าเหยียน การหลอมโอสถประสบความสำเร็จรึไม่เจ้าคะ?”
ถึงแม้จะรู้ผลอยู่แล้วว่าการหลอมน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ฉินอวี้โม่ก็ยังเอ่ยถามออกไปอย่างอัตโนมัติ
“เพลิงศักดิ์สิทธิ์และเพลิงจักรพรรดิแตกต่างกันมากจริงๆ ข้าไม่คิดเลยว่าเพลิงจักรพรรดิจะเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้มากขนาดนี้และยังช่วยให้ข้าหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จดังที่หวังไว้”
เย่าเหยียนพยักศีรษะพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจและเปี่ยมสุข เขามีความสุขอย่างยิ่งที่สามารถหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สำเร็จด้วยผลลัพธ์ที่น่าพอใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกได้ว่าทักษะการหลอมของตนเองพัฒนาก้าวหน้าขึ้นมาก หากเขามีเวลาฝึกปรือต่อไป เย่าเหยียนมั่นใจเลยว่าเขาจะก้าวข้ามระดับปรมาจารย์และพัฒนาเป็นผู้หลอมโอสถระดับจักรพรรดิได้
“ขอแสดงความยินดี”
กู่หยวนและเยว่ชิงก็ยิ้มร่าและเดินเข้ามาเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเป็นสหายเก่าแก่ของเย่าเหยียน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีความสุขและยินดีที่สหายบรรลุเป้าหมายดังที่หวังไว้
“ขอบคุณสหายทั้งสองมาก”
เย่าเหยียนตบไหล่กู่หยวนและเยว่ชิงเบาๆพร้อมกล่าวขอบคุณ
“เสี่ยวอวี้โม่ โอสถทะลวงฟ้าเม็ดนี้เป็นของเจ้า”
เย่าเหยียนยิ้มขณะหยิบโอสถเม็ดสีน้ำตาลจากขวดกระเบื้องและยื่นให้กับฉินอวี้โม่
“ข้าทราบดีว่าเจ้าไม่ได้ช่วยข้าเพื่อให้ได้โอสถทะลวงฟ้านี้ แต่เจ้าช่วยข้ามากเหลือเกินและข้าก็ไม่มีอะไรที่จะตอบแทน ด้วยระดับพลังของเจ้าในตอนนี้ โอสถนี้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเจ้ามาก ครานี้ข้าหลอมโอสถทะลวงฟ้าได้สามเม็ด หนึ่งเม็ดนี้สำหรับเจ้า เม็ดหนึ่งข้าจะเก็บไว้ให้ศิษย์ของข้า ส่วนอีกเม็ดหนึ่งข้าจะนำไปประมูล เพื่อที่บรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลายในดินแดนอ้างว้างที่ติดอยู่ในสภาวะคอขวดไม่สามารถพัฒนาไปถึงขอบเขตจ้าวพิภพจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ”
เย่าเหยียนอธิบายต่อฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มอย่างมีความหมาย
โอสถทะลวงฟ้านี้ไม่ใช่โอสถธรรมดาๆ แม้ด้วยทักษะของเขาและเพลิงจักรพรรดิที่ทรงพลัง เขาก็หลอมมาได้สำเร็จเพียงสามเม็ดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะหลอมมันได้กี่เม็ด ต่อให้มีเพียงเม็ดเดียว เย่าเหยียนก็ตั้งใจที่จะมอบให้ฉินอวี้โม่ตั้งแต่แรก ถึงอย่างไรแล้วนางก็ช่วยเขาได้มากเหลือเกินและเขาก็รู้สึกถูกชะตากับนางมาก
อีกทั้งพลังของฉินอวี้โม่ในตอนนี้เหมาะเจาะพอดี หากนางแข็งแกร่งขึ้นอีก เมื่อถึงวันงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงที่จะมาถึง นางจะสามารถปกป้องดูแลตนเองได้มากขึ้น
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านประธานเย่าเหยียน”
อดีตนักฆ่าสาวไม่รอช้าและยื่นมือรับมันไว้ทันที
นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับโอสถทะลวงฟ้านี้มาก ในเมื่อเย่าเหยียนมอบมันให้นาง นางก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่เย่าเหยียนกล่าวว่าว่าด้วยพลังของนางในตอนนี้ โอสถทะลวงฟ้าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย
หลังจากไปที่จวนตระกูลเฟิง เกรงว่าจะมีการปะทะครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นั่น หากเสี่ยวเหยียนมีเรื่องทุกข์ร้อนไม่สบายใจ นางก็เพิกเฉยไม่ได้เช่นกัน เพราะเหตุนั้นด้วยโอสถทะลวงฟ้านี้ พลังของนางจะก้าวหน้าขึ้นมากก่อนถึงงานเลี้ยงของตระกูลเฟิง
เมื่อนางพัฒนาตนเองขึ้น บรรดาอสูรมายาของนางจะได้ประโยชน์หลายอย่างเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เผชิญหน้ากับจูอวิ๋นชาง นางก็จะไม่หวาดหวั่นใดๆ
ทว่าบัดนี้ซิวและหานอวี้ยังคงอยู่ในช่วงเก็บตัว หากต้องประมือกับจูอวิ๋นชางจริงๆ ฉินอวี้โม่ก็คงต้องล่าถอยออกมาเพราะนางยังไม่ใช่คู่มือของเขา
“ฮ่าๆๆ ข้ายินดีเป็นอย่างมาก มันคือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับอยู่แล้ว”
เมื่อสตรีตรงหน้ารับโอสถไป เย่าเหยียนก็ยิ้มอย่างมีความสุขพลางกล่าวออกไป
“ข้าหวังว่ามันจะช่วยเจ้าได้เมื่อถึงงานเลี้ยงที่จวนตระกูลเฟิง”
ประธานสมาคมโอสถตั้งตารอวันนั้น เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะก่อให้เกิดความวุ่นวายและเสียงฮือฮาอย่างไรเมื่อถึงงานเลี้ยงนั้น
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้ายังไม่เคยไปที่คลังสมบัติของสมาคมช่างหลอมใช่รึไม่ หลังจากนี้ข้าจะให้คนพาเจ้าไปที่นั่น หากพบสิ่งใดที่สนใจก็หยิบมันไปได้เลย พวกเราชายแก่ทั้งสามจะไม่ได้เดินทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนั่น เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก”
เยว่ชิงยิ้มและกล่าว เขาทราบว่านางจะออกเดินทางไปจากสมาคมช่างหลอมในอีกไม่นาน
แม้ว่าพลังและพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ถือว่าไม่เป็นรองใคร อีกทั้งนางก็มีสติสงบนิ่งอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องกังวลจนมากเกินไปนัก
อย่างไรก็ตาม จวนตระกูลเฟิงเป็นถิ่นฐานของเฟิงอู๋ อีกทั้งผู้นำตระกูลเฟิงก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน นอกจากนี้จูอวิ๋นชางก็อาจรออยู่ที่นั่น เมื่อถึงเวลานั้น ฉินอวี้โม่คงตกที่นั่งลำบากไม่น้อย
“ขอบคุณท่านประธานทั้งสองมากเจ้าค่ะ ข้าจะระวังตัว”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพร้อมกล่าวตอบ
สำหรับเรื่องที่ฉินเทียนคือบิดาของนาง นางยังไม่ได้บอกเยว่ชิง เย่าเหยียนและกู่หยวน เรื่องนี้คือหนึ่งในไพ่ตายของนาง เมื่อถึงงานเลี้ยงที่ตระกูลเฟิง ต่อให้เฟิงอู๋และจูตี๋คิดจะเล่นงานนาง เมื่อได้รู้ถึงไพ่เด็ดนี้ พวกเขาจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เจ้าจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
กู่หยวนยิ้มบางๆพร้อมเอ่ยถาม เขาไม่มีอะไรจะมอบให้นาง
“ภายในวันนี้เจ้าค่ะ จากที่นี่ไปถึงจวนตระกูลเฟิงต้องใช้เวลาห้าถึงหกวัน ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้นั้น ข้าจะฝึกปรือฝีมือและพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น น่าจะทันครบกำหนดพอดี”
คุณหนูสี่อธิบายแผนการที่วางไว้อย่างไม่ลังเลและไม่ปิดบังอะไรจากพวกเขา
ในเมื่อนางช่วยเย่าเหยียนอย่างที่สัญญารับปากไว้แล้ว มันก็ได้เวลาที่นางจะเดินทางไปจากที่นี่
ในอีกประมาณหนึ่งเดือน นางยังต้องฝึกฝนอย่างจริงจังและพัฒนาตนเองให้มากขึ้นรวมถึงช่วยให้หานอวี้วิวัฒนาการอย่างสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้นางต้องเผชิญสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่จวนตระกูลเฟิง นางก็ไม่หวั่นใจ
“เจ้าต้องระวังตัวด้วยล่ะ หากมีอะไรที่เจ้าจัดการไม่ได้ก็กลับมาที่สมาคมช่างหลอมของเรา แม้ว่าสมาคมเราไม่ได้ทรงพลังมากนัก หากมีใครหน้าไหนที่คิดจะต่อกรกับพวกเรา พวกเขาก็ยังต้องคิดพิจารณาให้ดีเสียก่อน”
ตอนนี้กู่หยวนกลับเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมช่างหลอมแล้วและเขามีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์เหมือนกับฉินอวี้โม่ ทว่าบรรดาสมาชิกสมาคมต่างก็รู้ดีว่ากู่หยวนและประธานเยว่ชิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันราวกับพี่น้อง และทั้งสองก็เป็นศิษย์อาวุโสผู้เก่งกาจของสมาคมตั้งแต่ในอดีต ต่อให้เขาจะกลายเป็นรองประธาน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
“เจ้าค่ะ ข้าจะระวังตัวไว้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ สมาคมช่างหลอมสลักลึกอยู่ในหัวใจของนางแล้ว ในอนาคตหากมีสิ่งใดที่สมาคมต้องการความช่วยเหลือ นางก็จะช่วยเต็มที่อย่างไม่รั้งรอ
หลังจากพูดคุยกันต่อเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็กลับไปยังที่พักของตนเอง
ภายในที่พัก ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆก็เก็บสัมภาระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขารู้ว่าหลังจากช่วยเย่าเหยียนเสร็จสิ้นก็ได้เวลาออกจากสมาคมช่างหลอมและถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องแยกกันเป็นการชั่วคราว
“พี่อวี้โม่ ข้าไม่อยากแยกกับท่านเลย”
เด็กสาวไม่ได้ถามถึงรายละเอียดที่ฉินอวี้โม่ช่วยประธานเย่าเหยียน ทว่าทันทีที่เห็นพี่สาว นางก็ปรี่เข้ามาเกาะแขนด้วยแววตาเศร้าสร้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็ถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าว “ข้าเองก็ไม่อยากแยกกับเจ้า มันก็แค่เดือนเดียวเท่านั้น เราจะพบกันอีกครั้งที่จวนตระกูลเฟิง”
ตั้งแต่ชีวิตก่อน อดีตนักฆ่าสาวใช้ชีวิตอยู่โดดเดี่ยวลำพังมาตลอด ทว่านับตั้งแต่ที่ดินแดนหวนหลิงจนถึงตอนนี้ นางได้พบมิตรสหายที่ดีมามากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิงและคนอื่นๆในดินแดนหวนหลิงก่อนหน้านี้ หรือว่าซูเสี่ยวจวิ้น ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆในดินแดนอ้างว้างในตอนนี้ นางก็สัมผัสถึงความแตกต่างของการมีมิตรสหายที่ดีและการอยู่อย่างโดดเดี่ยว
นางไม่ชอบการแยกจากเช่นกัน ทว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ยิ่งไปกว่านั้น วันหนึ่งนางจะต้องไปที่ดินแดนเทพมายาและเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอย่างแท้จริง
“เอาล่ะ เสี่ยวจวิ้นเอ๋อร์ ไปกันเถอะ อย่าทำให้พี่สาวของเจ้าต้องลำบากใจเลย”
ฉีอวิ๋นเหล่ยมองดูอากัปกิริยาของซูเสี่ยวจวิ้นและอดเอ่ยออกมาไม่ได้ เด็กสาวคนนี้ช่างเกาะติดพี่สาวจนไม่ยอมปล่อย ไม่คิดเลยว่านางจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องลำบากใจเช่นนี้
“พี่อวี้โม่ ท่านไปก่อนเถอะ เราจะรอพบท่านที่จวนตระกูลเฟิง”
ซูเสี่ยวจวิ้นปล่อยมือจากแขนฉินอวี้โม่พร้อมบอกให้นางออกไปก่อน
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้า ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีอะไรต้องเตรียมตัวมากนัก
“ข้าจะพาทุกคนออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นเกรงว่าพวกท่านคงจะไม่ได้ออกไปจากสมาคมช่างหลอมเป็นแน่”
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมา ฉินอวี้โม่ก็กล่าวออกไป