“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าการเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันของสภาวะจิตใจของท่านจะทำให้คฤหาสน์เฟิงหัวนี้พัฒนาขึ้นมาเล็กน้อย”
ทันใดนั้น เสียงอันทรงพลังของซิวก็ดังขึ้น ครานี้แม้แต่เสี่ยวเฮยและอสูรมายาตัวอื่นๆก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“พี่ซิว ท่านออกมาแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงซิว เสี่ยวเฮยและอสูรอื่นๆก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นพวกมันก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ไม่ ข้ายังต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ข้าไม่จำเป็นต้องจำศีลเต็มรูปแบบอีกต่อไปแล้ว”
ซิวกล่าวตอบ มันยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่จนกว่าจะวิวัฒนาการเสร็จสมบูรณ์ ทว่าตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องเก็บตัวทั้งทางกายและทางจิตอีกต่อไป
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินเช่นนั้น นางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
นางยังจำได้ดีว่าคฤหาสน์เฟิงหัวที่นางหลอมออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถพัฒนาได้ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ความแข็งแกร่งที่พัฒนาเพิ่มขึ้นและอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าของจะส่งผลให้สิ่งที่มีคุณสมบัติในการพัฒนาเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
น่าจะเป็นเพราะการพัฒนาพลังของนางก่อนหน้านี้ และเมื่อพูดคุยกับเหล่าอสูรมายาของตนเอง อารมณ์ความรู้สึกของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ดังนั้นจึงส่งผลให้คฤหาสน์เฟิงหัวพัฒนาขึ้นเล็กน้อย
บัดนี้สภาวะพลังในคฤหาสน์เฟิงหัวมีความหนาแน่นและเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งความเร็วของการฝึกฝนข้างในนี้ก็ดีกว่าโลกภายนอกเสียอีก
“คฤหาสน์เฟิงหัวที่นายหญิงหลอมขึ้นมาช่างเป็นคฤหาสน์มิติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ หากมันพัฒนาไปจนถึงสภาวะสูงสุด ข้าอยากรู้นักว่ามันจะเป็นอย่างไร”
แม้ว่าซิวจะมีความรู้กว้างขวางแต่มันก็ยังสงสัยอยู่ไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นคฤหาสน์มากคุณสมบัติอย่างคฤหาสน์เฟิงหัว ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง การล่องหนและการเหาะเหิน ทั้งหมดล้วนเป็นคุณสมบัติหายาก คฤหาสน์มิตินี้ได้รวบรวมคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ไว้หลายอย่างและยังมีคุณสมบัติที่สามารถพัฒนาได้อีก ซิวมีความสนใจเป็นอย่างมากและอยากรู้ว่าคฤหาสน์เฟิงตัวในสภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุดจะเป็นอย่างไร
ฉินอวี้โม่เองก็อยากรู้ไม่ต่างกันและคฤหาสน์เฟิงหัวในตอนนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้นางได้มากแล้ว นางตั้งตารอวันที่มันจะพัฒนาไปถึงสภาวะที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคฤหาสน์เฟิงหัวพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะมีคุณสมบัติอื่นๆเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอนและนางอยากรู้ว่าคุณสมบัติเหล่านั้นจะเป็นอะไร
“นายหญิง ตอนนี้พลังขอบเขตจ้าวพิภพของท่านบรรลุระดับสูงแล้ว ต่อให้ข้าไม่ได้อยู่ด้วย ท่านก็จะไม่มีปัญหาหากต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในขอบเขตจ้าวสุริยะ แต่ท่านจะประมาทไปไม่ได้เด็ดขาด ศัตรูที่เราจะต้องเผชิญในอนาคตแข็งแกร่งอย่างมาก ท่านยังต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตจ้าวสุริยะให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น เราจะไปที่ชนเผ่ามายาและกอบกู้สิ่งที่ควรจะเป็นของท่านมา จากนั้นเราจะไปที่ดินแดนเทพมายาเพื่อตามหามารดาของท่าน”
ซิวยิ้มพลางอธิบายให้กับฉินอวี้โม่
อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีการย้ำเตือนใดๆ ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจในจุดๆนี้เป็นอย่างดี นางจะประมาทเพียงเพราะพลังเพิ่มขึ้นได้อย่างไรกัน? อย่างที่ซิวว่าไว้ ศัตรูที่นางจะต้องเผชิญในอนาคตข้างหน้าต่างก็ไม่ธรรมดาเลย หากว่านางยังปล่อยให้ตนเองหยุดอยู่ที่เดิมและไม่ทุ่มเทหมั่นฝึกฝนต่อไป นางจะต้องเผชิญกับวิกฤติมากมายที่รอนางอยู่อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของนางในปัจจุบัน หากไม่มีไพ่ตายใดๆ ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้นางก็ถือว่ามีพลังอยู่เพียงระดับกลางเท่านั้น ยังมีอีกหลายคนที่แข็งแกร่งกว่านางมาก และหากไปที่ดินแดนเทพมายา ผู้ที่มีพลังในขอบเขตจ้าวพิภพจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับต่ำเท่านั้น
“ข้าจะเก็บตัวบ่มเพาะต่อไป ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อท่านจะออกไปข้างนอก อย่าลืมรักษาระดับพลังขอบเขตจ้าวพิภพให้เสถียรคงที่ล่ะ”
ซิวยิ้มน้อยๆ มันเป็นเพียงคำย้ำเตือนเท่านั้นและมันไม่เคยสงสัยในตัวฉินอวี้โม่
ความแตกต่างระหว่างฉินอวี้โม่และเจ้านายคนก่อนของมันก็คือนางมักจะมีความคิดความอ่านของตนเองอยู่เสมอและรู้ตัวควรต้องทำอย่างไร
“นายหญิง ดูเหมือนจะมีคนอยู่ข้างนอก”
ทันทีที่เสียงของซิวหายไป เสียงของมารยาก็ดังขึ้นในโสตประสาทของนาง
ตอนนี้ฉินอวี้โม่และอสูรมายาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและโลกภายนอกเป็นป่าทึบ ป่าผืนนี้เป็นเส้นทางระหว่างเมืองไป๋อวี้ไปถึงจวนตระกูลเฟิง ตอนที่ฉินอวี้โม่พูดคุยกับซิวเมื่อครู่ มารยาได้ใช้จิตของมันสำรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
ด้วยการตั้งสมาธิสำรวจโดยรอบเล็กน้อย มันก็พบว่ามีกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้าผ่านมาทางนี้
“รอดูสถานการณ์ก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ออกจากคฤหาสน์ในทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของมารยา นางเพียงยืนมองออกไปนอกคฤหาสน์เท่านั้น
ภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นร่างของคนหลายคนกำลังมุ่งหน้าผ่านมาทางนี้
ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือบุรุษหนุ่มร่างผอมบางและดูไม่สูงนัก เขาสวมอาภรณ์สีขาวและใบหน้าซีดเซียว
บุรุษหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาพอสมควรและดูจะมีอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี ผิวพรรณของเขาซีดเซียวและร่างผอมบางอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของเขาน่าจะอ่อนแอกว่าคนปกติมาก
“ชายรอง พักก่อนเถอะ”
บุรุษวัยกลางคนถัดจากเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วงกังวล
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษวัยกลางคน บุรุษหนุ่มก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนพยักศีรษะเบาๆและไม่ปฏิเสธ
“ดื่มน้ำนี่ก่อนเถอะ”
บุรุษวัยกลางคนอีกคนเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มและยื่นกระบอกน้ำให้กับเขา
“ขอบคุณท่านลุงสี่”
บุรุษหนุ่มยิ้มเล็กน้อยก่อนจิบน้ำ
“ป่านี้อยู่ไม่ไกลไปจากจวนตระกูลเฟิง เราคงจะไปถึงตระกูลเฟิงก่อนงานเลี้ยงเริ่มต้นได้โดยที่ไม่มีปัญหา”
บุรุษวัยกลางคนถัดจากบุรุษหนุ่มกล่าวออกมา ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านี้กำลังมุ่งหน้าตรงไปที่จวนตระกูลเฟิงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี หากไม่ใช่เพราะข้าที่ถ่วงเวลาพวกท่านจนล่าช้า พวกท่านก็คงจะไปถึงจวนตระกูลเฟิงแล้ว หากข้ารู้ล่วงหน้าล่ะก็ ข้าก็คงจะไม่ตกปากรับคำท่านปู่และมาที่นี่กับพวกท่านหรอก”
เด็กหนุ่มร่างผอมพยักศีรษะและก็กล่าวด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม น้ำเสียงของเขาเจือความโทษตัวเองอยู่ไม่น้อย
“ชายรอง อย่าพูดอะไรไร้สาระเลย เราเป็นคนในตระกูลเดียวกัน ถึงอย่างไรเราก็ต้องสนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้ว เจ้าไม่ได้ออกจากบ้านบ่อยครั้งนักตั้งแต่เด็ก มันดีแล้วล่ะที่พวกเราพาเจ้าไปที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิง อย่าคิดว่ามันเป็นภาระไปเลย”
บุรุษวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าลุงสี่กล่าวกับเด็กหนุ่ม
“ลุงสี่ของเจ้าพูดถูก ไม่มีอะไรถ่วงเวลาเราทั้งนั้น ขอแค่เจ้ามีความสุข พวกเราก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น”
บุรุษวัยกลางคนถัดจากเด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเช่นกันเพื่อให้เด็กหนุ่มคลายความกังวล
“ท่านลุงสอง ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไม่เอ่ยเช่นนั้นอีก”
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักและไม่พูดอะไรต่อ ความรู้สึกผิดและความหมดหนทางฉายขึ้นในแววตาของเขาโดยฉินอวี้โม่ที่อยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เด็กหนุ่มนี่แปลกจริงๆ“
เสียงของมารยาดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ราวกับมันค้นพบอะไรบางอย่าง
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น?”
ฉินอวี้โม่มองไปที่มารยาและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่อนางมองเห็นได้ถึงความหมดสิ้นหนทางและความดิ้นรนจากแววตาของเด็กหนุ่ม นางก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้
“นายหญิง หากข้าคิดไม่ผิด เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะมีโรคแปลกประหลาดบางอย่างอยู่ ไม่ใช่แค่เขาฝึกยุทธ์ไม่ได้เท่านั้นแต่ร่างกายของเขาก็ย่ำแย่กว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว ข้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก”
มารยาอธิบายฉินอวี้โม่เกี่ยวกับสิ่งที่มันรู้สึกได้
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะพลางใช้ความคิด นางพอจะเดาตัวตนของบุรุษหนุ่มได้อย่างคร่าวๆแล้ว
ว่ากันว่าฉู่เจี๋ย—บุตรชายคนรองของตระกูลฉู่แห่งดินแดนอ้างว้างไม่สามารถฝึกพลังมายาได้เพราะเส้นชีพจรของเขาถูกปิดกั้นตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้น เขามีร่างกายที่อ่อนแอมาก เคยมียอดฝีมือวินิจฉัยไว้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสิบหกปี
เป็นเพราะเหตุการณ์นี้ ผู้นำตระกูลฉู่จึงรักและเป็นห่วงหลานชายคนนี้มาก
หากคำนวณไม่ผิด ปีนี้ฉู่เจี๋ยก็น่าจะอายุสิบห้าปีแล้ว หากการวินิจฉัยไม่ผิดพลาด อายุขัยของเขาก็น่าจะสิ้นสุดลงในอีกไม่นาน
ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มีตระกูลลับอยู่สองตระกูล หนึ่งก็คือตระกูลเฟิงและอีกตระกูลก็คือตระกูลฉู่นั่นเอง
ความแข็งแกร่งของทั้งสองตระกูลนี้อยู่ในระดับเท่าๆกันและความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำทั้งสองตระกูลก็เป็นไปในทางที่ดี อันที่จริง ภรรยาของผู้นำตระกูลฉู่คนปัจจุบันคือน้องสาวของผู้นำตระกูลเฟิง เพราะเหตุนั้น ทั้งสองตระกูลจึงสนิทสนมกันมาก
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนจากตระกูลฉู่จะเดินทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลเฟิง
ในความเป็นจริง ช่วงสุดท้ายของชีวิตฉู่เจี๋ยกำลังใกล้เข้ามาเต็มที ทว่าเขาก็ไม่เคยออกจากลานบ้านของตนเองหรือเดินท่องไปในดินแดนใหญ่ ดังนั้นผู้นำตระกูลฉู่จึงสั่งให้ผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลพาเขาไปเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิง
หลังจากที่คาดเดาตัวตนและจุดประสงค์ของคนเหล่านี้ได้แล้ว ฉินอวี้โม่จึงไม่คิดที่จะอยู่ในบริเวณนี้ต่อไป ทว่านางต้องการควบคุมคฤหาสน์เฟิงหัวออกไปในที่ลับหูลับตาและกลับออกไปยังโลกภายนอก
ในอีกสิบวันข้างหน้า นางวางแผนที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์และสถานะของตนเองและเดินทางมุ่งหน้าไปยังตระกูลเฟิง
แต่ทว่า… ก่อนที่นางจะจากไป กลิ่นอายของคนหลายคนก็มุ่งหน้าตรงมาในทิศทางของคฤหาสน์ของนางอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนว่ามีคนมากกว่าสิบคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งพวกเขาก็แข็งแกร่งพอสมควรและดูเหมือนจะไม่ได้มาดีซะด้วยสิ”
มารยาสัมผัสได้และหันมาบอกฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวต่อ “นายหญิง เราจะไปต่อหรือว่าจะรอดูสถานการณ์กันก่อน?”
อดีตนักฆ่าสาวไตร่ตรองเพียงชั่วครู่และกล่าว “รอดูกันก่อนเถอะ”
นางไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่น ทว่านางก็รู้สึกถูกชะตากับตระกูลฉู่ไม่น้อยและความรักใคร่ในหมู่พวกเขาจับใจนางพอสมควร อีกทั้งเด็กหนุ่มฉู่เจี๋ยนั่นก็มีชะตากรรมที่น่าสงสารเหลือทน
“โอ้ ในที่สุดก็มาเจอแกะตัวอ้วนหลายตัว”
น้ำเสียงเคลือบแฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมดังขึ้นและฉินอวี้โม่หันไปเห็นบุรุษชุดดำนับสิบคนล้อมรอบฉู่เจี๋ยและคนอื่นๆไว้ด้วยแววตามุ่งร้าย
“หืม ดูเหมือนพวกนั้นจะไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอสูรมายาจำแลงกายมา”
มารยามองบุรุษชุดดำเหล่านั้นและขมวดคิ้วมุ่นทันที
ในตอนแรกมันสัมผัสถึงกลิ่นอายและพยายามนึกว่ามาจากตระกูลใด ทว่าเมื่อคนเหล่านั้นใกล้เข้ามาจริงๆ มารยาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายเหล่านี้ไม่ใช่กลิ่นอายและลมหายใจของมนุษย์ หากแต่เป็นอสูรมายาประเภทหนึ่ง
“พวกมันคือค้างคาวโลหิต”
จู่ๆหงส์แดงก็เอ่ยขึ้นมา
ค้างคาวโลหิตเป็นหนึ่งในอสูรปักษา พวกมันไม่ใช่อสูรที่ทรงพลังและความแข็งแกร่งของแต่ละตัวก็อยู่เพียงระดับทั่วไปเท่านั้น ทว่าค้างคาวโลหิตเป็นอสูรที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
โลหิตของค้างคาวโลหิตก็แปลกประหลาดอย่างมาก เมื่อใดที่สัมผัสมัน ร่างกายจะติดขัดแข็งทื่อและประสิทธิภาพในการต่อสู้จะลดลงมาก
และค้างคาวโลหิตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า พวกมันเป็นอสูรมายาที่อสูรมายาหลายชีวิตและจอมยุทธ์ชิงชังเป็นที่สุด
อีกทั้งค้างคาวโลหิตตัวที่ทรงพลังกว่าจะชอบการดูดกินเลือดมนุษย์ พวกมันเป็นอสูรที่ชั่วร้ายและกระหายเลือดอย่างมาก
ฉินอวี้โม่นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าบุรุษชุดดำนับสิบคนเหล่านี้แท้จริงคือค้างคาวโลหิต นางเริ่มเกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงในใจอย่างไม่ชอบมาพากลแล้ว
แม้แต่นางก็ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับค้างคาวโลหิตเหล่านี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของผู้คนตรงหน้าจะไม่อ่อนแอ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายค้างคาวโลหิตมีจำนวนมากกว่า อีกทั้งฝ่ายตระกูลฉู่ก็ยังต้องปกป้องฉู่เจี๋ยที่ไร้ความสามารถด้านการต่อสู้อีก พวกเขาเสียเปรียบตั้งแต่ที่ยังไม่เริ่มต่อสู้ด้วยซ้ำ