“ท่านจอมยุทธ์ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”
เมื่อเห็นว่าค้างคาวโลหิตทั้งหมดถูกกำจัดไป ลุงสองก็ก้าวออกมาข้างหน้าและยกมือคารวะฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกล่าว “ท่านผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลฉู่เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม ข้าคิดว่าท่านก็น่าจะคาดเดาได้ถึงสถานะของข้าแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเพียงเห็นว่าพวกท่านทั้งหมดรักใคร่กลมเกลียวและไม่คิดทอดทิ้งกัน ข้าจึงอดเข้ามาช่วยไม่ได้ ข้าทราบดีว่าตระกูลฉู่ของพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเฟิง ท่านผู้อาวุโสสองไม่ต้องคิดมากหรอก หลังจากนี้พวกเราก็เพียงแค่แยกกันไปตามทางของตัวเอง”
ฉินอวี้โม่เข้าใจดีว่าเมื่อนางเผยเพลิงจักรพรรดิออกมา ด้วยความชาญฉลาดของคนตระกูลฉู่ พวกเขาจะคาดเดาตัวตนของนางได้ในทันที
ทว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทนมองดูอยู่เฉยๆและไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย
ตระกูลฉู่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกับตระกูลเฟิงและความขัดแย้งระหว่างนางกับเฟิงอู๋ก็น่าจะแพร่ไปถึงหูของคนตระกูลฉู่แล้วเป็นแน่ หากคนเหล่านี้ไม่ได้ซาบซึ้งในการกระทำของนาง นางก็ไม่จำเป็นต้องดีต่อคนที่คิดร้ายและเป็นปฏิปักษ์กับนาง
“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์พูดเป็นเล่นไปได้ เราไม่รู้หรอกว่าท่านเป็นใคร ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้รู้มันก็ไม่สำคัญ วันนี้ท่านช่วยชีวิตพวกเราทั้งหมดไว้ เราย่อมซาบซึ้งในบุญคุณของท่าน หากว่าท่านจอมยุทธ์ไม่ขัดข้อง เชิญไปที่จวนตระกูลฉู่เถิด พวกเราจะเป็นเจ้าบ้านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”
ผู้อาวุโสสองยิ้มอย่างซาบซึ้งใจและกล่าว
เขาพอจะเดาได้ว่าฉินอวี้โม่เป็นใคร ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
ตัวตนของฉินอวี้โม่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาและความบาดหมางใจกับเฟิงอู๋ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเขาเช่นกัน
เขารู้เพียงว่าวันนี้จอมยุทธ์ตรงหน้าเข้ามาช่วยฉู่เจี๋ยไว้ จากนั้นก็สังหารค้างคาวโลหิตทั้งหมดและช่วยเหลือพวกเขาทุกคน เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงแค่นี้
เมื่อได้ยินคำพูดจริงใจของลุงสอง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มตอบและกล่าว “ข้าน้อมรับคำขอบคุณจากท่านผู้อาวุโสสอง ข้าเพียงคิดว่าพวกท่านเป็นคนดี ข้าจึงทนมองดูเฉยๆไม่ได้และเข้ามาช่วย สำหรับพิธีรีตองอะไรก็ไม่จำเป็นหรอก หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หลังจากกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็หันหลังกลับและเตรียมเดินจากไป
“ท่านจอมยุทธ์ อยู่ต่อก่อนเถิด”
ลุงสองยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ทว่าเสียงที่กระตือรือร้นของฉู่เจี๋ยก็ดังขึ้นมาเพื่อหยุดฉินอวี้โม่ไว้
“มีอะไรรึ?”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ฉินอวี้โม่ก็หยุดเดินและหันกลับไปมองต้นเสียงด้วยความสงสัย
“ท่านจอมยุทธ์จะไปที่จวนตระกูลเฟิงหรือไม่?”
ฉู่เจี๋ยกล่าวพลางเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ สีหน้าของเขายังคงซีดเซียวอยู่เล็กน้อย
จอมยุทธ์ใต้หน้ากากได้ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งหมดไว้และเขาซาบซึ้งในน้ำใจอย่างมาก เขาชื่นชมในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และบทสนทนาระหว่างนางกับลุงสองเมื่อครู่ก็ทำให้เขาคาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่ได้ไม่ยาก
แม้ว่าฉู่เจี๋ยฝึกวิชาไม่ได้ เขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีปัญญาเป็นเลิศ เขาสันนิษฐานว่าฉินอวี้โม่น่าจะเดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิงเช่นกันและเขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาทันที
“ถูกต้อง ข้ากำลังจะเดินทางไปที่จวนตระกูลเฟิง”
ฉินอวี้โม่ตอบคำถามของฉู่เจี๋ยอย่างไม่ปิดบังอะไร
“ดีเลย หากท่านไม่รังเกียจ ท่านร่วมเดินทางไปกับพวกเราเถอะ”
เมื่อฉู่เจี๋ยได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย เขาก็ยกมุมปากเล็กน้อย
คำพูดของฉู่เจี๋ยทำให้ฉินอวี้โม่แปลกใจไม่น้อย นางไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะออกปากเชิญนางให้ร่วมเดินทางไปกับเขา
“ท่านจอมยุทธ์ ท่านคงเห็นแล้วว่าเราทั้งหมดกำลังเดินทางไปตระกูลเฟิง ทว่าลุงสองและลุงสี่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่มีพลังเต็มที่และพวกเขาก็ต้องคอยปกป้องข้าอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่การเดินทางของพวกเราจะช้าเท่านั้น ทว่าหากต้องเผชิญหน้ากับพวกอสูรร้ายเหมือนค้างคาวโลหิตอีก เกรงว่าพวกเราจะตกอยู่ในอันตราย ในเมื่อท่านจอมยุทธ์ช่วยเราไว้แล้วครั้งหนึ่ง ข้าก็มีคำขอที่อาจจะมากเกินไปสักหน่อย หากท่านไม่ติดขัดล่ะก็ ข้าหวังว่าท่านจะร่วมเดินทางไปกับพวกเราและช่วยคุ้มกันข้า เมื่อเราไปถึงจวนตระกูลเฟิงอย่างปลอดภัย แน่นอนว่าท่านจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
ฉู่เจี๋ยยิ้มและกล่าวอธิบาย
แน่นอนว่าในตอนแรกเขาไม่มีความคิดเหล่านี้อยู่เลย เขาเพียงอยากให้ฉินอวี้โม่อยู่กับเขาเท่านั้น
หลังจากคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของจอมยุทธ์ลึกลับผู้นี้ได้แล้ว เขาก็รู้ถึงความบาดหมางระหว่างนางและเฟิงอู๋ ตระกูลฉู่และตระกูลเฟิงเป็นตระกูลลับและทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้อ่อนแอและก็เป็นถึงผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์แห่งสมาคมช่างหลอม ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตจ้าวพิภพเท่านั้น
พวกเขาทราบถึงความแข็งแกร่งและอำนาจของตระกูลเฟิงเป็นอย่างดี หากฉินอวี้โม่เดินทางไปพร้อมกับพวกเขา ต่อให้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่จวนตระกูลเฟิง เฟิงอู๋ก็คงจะไม่กล้าทำอะไรนางเพราะเห็นแก่หน้าพวกเขาทุกคน
เมื่อครู่ฉินอวี้โม่ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งหมดไว้ ฉู่เจี๋ยจึงหวังว่าจะได้ช่วยนางเป็นการตอบแทน
หลังจากคิดไตร่ตรองเพียงครู่เดียว อดีตนักฆ่าสาวผู้เฉียบแหลมก็เข้าใจความคิดของเด็กหนุ่มผู้อ่อนแอตรงหน้า นางสบตาฉู่เจี๋ยและอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ไม่คิดเลยว่านอกจากจะเป็นคนดีแล้ว บุรุษหนุ่มผู้นี้จะมีความคิดที่ปราดเปรื่อง”
ทว่าเมื่อนางกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ ผู้อาวุโสสี่ก็กล่าวขึ้นเช่นกัน “เสี่ยวเจี๋ยพูดถูก หากท่านไม่รังเกียจก็เชิญร่วมเดินทางไปกับพวกเขาเถิด หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฉู่เจี๋ย พวกเราคงต้องโทษตัวเองไปจนตาย ทว่าหากมีท่านจอมยุทธ์ร่วมเดินทางไปด้วย พวกเราจะมั่นใจขึ้นมาก”
เขาเองก็คาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่ได้เช่นกัน และเมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เจี๋ย เขาก็นึกคิดพิจารณาและเห็นพ้องด้วย
“ใช่แล้ว ท่านจอมยุทธ์ อย่าปฏิเสธพวกเราเลย หากท่านกำลังคิดเรื่องค่าตอบแทน พวกเราสามารถกล่าวคำสาบานได้ในตอนนี้เลย”
ลุงสองกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธคำพูดของผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสี่ไม่ได้เลย
สมาชิกตระกูลฉู่ต้องการให้นางร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย แม้ว่าเมื่อไปถึงจวนตระกูลเฟิง พวกเขาอาจทำให้เฟิงอู๋หวาดหวั่นหรือไม่พอใจได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขากลัวว่าหากเอ่ยออกไปตามความจริงเช่นนี้ ฉินอวี้โม่จะไม่ตอบตกลง เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงคิดหาเหตุผลขึ้นมาโดยกล่าวว่าต้องการให้นางร่วมทางเป็นผู้คุ้มกันของพวกเขา ซึ่งเมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ ก็คงเป็นเรื่องยากที่นางจะปฏิเสธได้
“เอาล่ะ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะร่วมเดินทางไปกับพวกท่าน แต่ก่อนอื่น..ข้าต้องบอกไว้ก่อน ข้าไม่ต้องการค่าตอบแทนใดๆจากพวกท่าน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและตกปากรับคำ
นางไม่ต้องการค่าตอบแทนใดๆจากตระกูลฉู่และนางตอบตกลงเพียงเพราะรู้สึกถูกชะตากับคนเหล่านี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น นางก็รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มอ่อนแอทว่ามีปัญญาเฉียบแหลมตรงหน้า
“ขอบคุณท่านจริงๆ”
ผู้อาวุโสสองและผู้อาวุโสสี่ของตระกูลฉู่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจอย่างชัดเจน
“จะว่าไปแล้ว ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราเป็นใคร?”
จู่ๆลุงสองก็นึกขึ้นได้ว่าฉินอวี้โม่เอ่ยตัวตนของพวกเขาออกมาตั้งแต่ต้นโดยที่พวกเขาไม่ได้บอก เขาจึงอดถามออกไปด้วยความอยากรู้ไม่ได้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สงสัยว่านี่เป็นสถานการณ์ที่วางแผนไว้ล่วงหน้า ทว่าเขาสงสัยใคร่รู้อย่างมากว่าฉินอวี้โม่รู้จักพวกเขาได้อย่างไร
“ฮ่าๆๆ หนึ่งในอสูรมายาของข้าสัมผัสได้ถึงสภาวะร่างกายของคุณชายรองแห่งตระกูลฉู่และหลังจากไตร่ตรองดูข้าจึงพอจะเดาตัวตนของเขาได้ หากข้าทำอะไรที่เป็นการทึกทักไปเองก็โปรดอย่าถือสาข้าเลย”
ไม่ว่าอย่างไร การคาดเดาตัวตนของผู้อื่นถือเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพนัก ในเมื่อลุงสองเอ่ยถามเช่นนี้ นางจึงตอบกลับอย่างสุภาพนอบน้อม
“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์คิดมากไปแล้ว มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
ลุงสองยิ้มบางๆและนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีและแววตาที่เขามองฉินอวี้โม่ก็เจือด้วยความคาดหวัง
“ท่านมีอสูรมายาที่สามารถสัมผัสได้ถึงสภาวะร่างกายของเสี่ยวเจี๋ยรึ?”
เขามองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามออกไปตรงๆ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบ นางไม่คิดที่จะปกปิดข้อมูลอะไร
“เช่นนั้นอสูรมายาของท่านมีวิธีช่วยเสี่ยวเจี๋ยบ้างหรือไม่?”
สภาวะทางร่างกายของฉู่เจี๋ยซับซ้อนมาก ลุงสองทราบดีว่าเป็นเรื่องยากที่คนและอสูรธรรมดาจะมองเห็นสภาวะเหล่านั้นได้
ทว่าฉินอวี้โม่มีอสูรมายาที่สามารถมองเห็นสภาวะร่างกายเหล่านั้นได้ นั่นหมายความว่าอสูรมายาของนางอาจจะมีวิธีช่วยให้ฉู่เจี๋ยรอดพ้นจากสภาวะที่เลวร้ายนี้ได้
เมื่อเห็นแววตาและได้ฟังคำถามของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ไม่รู้เลยว่าควรตอบกลับไปอย่างไร
“มีอยู่ทางหนึ่ง แต่มันก็ยากมากและเงื่อนไขของมันก็โหดร้ายเช่นกัน”
จู่ๆมารยาก็ปรากฏกายถัดจากฉินอวี้โม่และเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าสีหน้าแววตาของสมาชิกตระกูลฉู่ก็เป็นประกายด้วยความคาดหวังที่เต็มเปี่ยม
“ท่านจอมยุทธ์ หากว่ามีทางใดล่ะก็ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนพวกเราก็จะทำ”
ลุงสองมองมารยาอย่างประหม่าและน้ำเสียงของเขาดูกระตือรือร้นอย่างชัดเจน
ฉินอวี้โม่ไม่คาดคิดว่ามารยาจะมีวิธีช่วยฉู่เจี๋ยจริงๆ นางหันไปมองมันด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้เช่นกัน
ในทางตรงกันข้าม ฉู่เจี๋ยซึ่งเป็นหัวข้อประเด็นสนทนานี้กลับสงบนิ่งอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเขาเคยชินและทำใจกับสภาพนี้มานานแล้ว
เขาทราบถึงสภาวะร่างกายของตนเองอย่างชัดเจน ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านปู่ของเขาพยายามทำทุกวิถีทางแต่ก็ไม่พบทางแก้ ร่างกายของเขาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถฝึกยุทธ์เท่านั้น ทว่ามันก็ยังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
ตอนนี้เขามีอายุสิบห้าปีแล้วและรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเองย่ำแย่ลงเรื่อยๆอย่างชัดเจน หากไม่ใช่เพราะท่านปู่ที่พยายามหาทางยื้อชีวิตของเขา เด็กหนุ่มก็อาจตายไปนานแล้ว
แน่นอนว่าเขาเป็นคนที่รู้สภาพร่างกายของตนเองดีที่สุด นับเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นและฟื้นฟูร่างกายให้กลับเป็นปกติ
เพราะเหตุนั้น แม้มารยากล่าวว่ามีทางแก้อยู่ทางหนึ่ง สีหน้าของเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้าขอตรวจดูอีกครั้งและหารือกับนายหญิงก่อน”
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ร่างของมารยาก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนขณะกลับเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัว
“ข้าขอตัวสักพักและจะกลับมาหลังจากหารือกับอสูรมายาเรียบร้อย”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับบรรดาสมาชิกตระกูลฉู่ทั้งหลายก่อนหายเข้าไปในคฤหาสน์ของตนเองเช่นกัน
คนตระกูลฉู่ยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไรขณะร่างของทั้งฉินอวี้โม่และมารยาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านผู้อาวุโสสอง พวกเขาหายไปไหนซะแล้ว?”
จู่ๆฉินอวี้โม่และมารยาก็หายตัวไปส่งผลให้บรรดาผู้ติดตามของตระกูลฉู่ที่ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ต่างก็งุนงง
“พวกเราหยุดพักกันที่นี่ก่อนเถอะ รอจนกว่าทั้งสองจะกลับมา”
ลุงสองรู้ว่าฉินอวี้โม่หายเข้าไปในพื้นที่ลับของตนเองและออกคำสั่งให้ทุกคนหยุดพักที่นี่ขณะรอฉินอวี้โม่และมารยาหารือกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสอง สมาชิกตระกูลฉู่ก็ไม่รอช้าและเริ่มตั้งค่ายพักแรมในบริเวณนี้พร้อมหยิบอาหารและน้ำดื่มออกมา
“เสี่ยวเจี๋ย เจ้าเป็นอะไรรึไม่?”
ลุงสองแห่งตระกูลฉู่เดินเข้าไปหาฉู่เจี๋ยและแตะศีรษะของเขาพร้อมเอ่ยถาม
“ท่านลุงสอง ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าไม่เป็นอะไร”
ฉู่เจี๋ยยิ้มขณะนั่งลง
“ท่านจอมยุทธ์เมื่อครู่ทรงพลังยิ่งนัก เขาเป็นคนที่น่าชื่นชมเทิดทูนจริงๆ”
เมื่อนึกถึงฉินอวี้โม่ ฉู่เจี๋ยก็ยิ้มออกมาและกล่าวอย่างชื่นชม
“ใช่แล้ว เขาเป็นคนดีจริงๆ”
ลุงสองพยักศีรษะเห็นด้วยขณะมองเด็กหนุ่มและกล่าว “เสี่ยวเจี๋ย สักวันเจ้าจะได้เป็นผู้ทรงพลังเหมือนกับจอมยุทธ์ผู้นั้น ข้าเชื่อว่าเขาจะหาทางรักษาเจ้าได้ จากนั้นเจ้าจะได้ฝึกยุทธ์และสยบอสูรมายาเหมือนกับคนทั่วไป วันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งเช่นกัน!”
“ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น”
ฉู่เจี๋ยยิ้มบางๆ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่ายชัดเจนและตรงไปตรงมา