หลังจากจัดเตรียมห้องพักเสร็จสิ้น ผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลฉู่และฉู่เจี๋ยก็เตรียมมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงเพื่อเยี่ยมเยียนผู้นำตระกูลเฟิง
“ท่านอ้ายฉือ ท่านจะไปกับพวกเรารึไม่? เมื่อครู่แม่สาวเสี่ยวเหยียนก็เชิญท่านไว้เช่นกัน”
ฉู่ชิงซานยิ้มพร้อมเอ่ยถามฉินอวี้โม่
“ฮ่าๆๆ ข้ายังไม่ไปในตอนนี้หรอก ข้าจะตามหาสหายของข้าก่อนและจะไปที่จวนตระกูลเฟิงในภายหลัง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแต่ก็ปฏิเสธไปตรงๆ นางยังมีเรื่องที่ต้องจัดการก่อน อีกทั้งนางก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้นำตระกูลเฟิงและถึงขั้นมีเรื่องบาดหมางกับคนในตระกูลของเขา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องสืบให้รู้และเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดเสียก่อน
“ตกลง เช่นนั้นท่านจอมยุทธ์ก็จงระวังตัวด้วย หากพบสหายเมื่อไหร่ อย่าลืมเชิญชวนพวกเขามาพักที่จวนตระกูลฉู่ของพวกเรา”
ผู้อาวุโสสองแห่งตระกูลฉู่ยิ้มให้นางและกล่าวย้ำ
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเป็นการเข้าใจ
ในตอนแรกนางไม่คิดที่จะพักอยู่ที่นี่ ทว่าเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับสภาพร่างกายของฉู่เจี๋ยกอปรกับสถานการณ์ซับซ้อนมากมายในเมืองเฟิงหวง นางจึงตัดสินใจที่จะพักในลานของตระกูลฉู่
อย่างน้อยที่สุดตระกูลฉู่ก็มีสถานะและอำนาจในเมืองนี้พอสมควร การพักอยู่กับพวกเขาจะช่วยให้นางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกผู้อื่นรบกวน
“พี่อ้าย พวกเราขอตัวไปพบท่านตาเฟิงก่อนล่ะ เราจะกลับมาในไม่นาน”
ฉู่เจี๋ยยิ้มและกล่าวกับ ‘พี่ชาย’ ของตน
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนกล่าวตอบ “ไปเถอะ หากเป็นไปได้ก็ลองถามผู้นำตระกูลเฟิงดูว่าเขามีหญ้าฟื้นชีวาอยู่รึไม่”
“ตกลง ข้าจะลองดู”
ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะรับคำและตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากพวกเขาออกไป ฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและออกจากลานกว้างเช่นกัน
นางพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเฟิงหวง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของนาง นอกเหนือจากสมาคมทหารรับจ้าง อีกสถานที่หนึ่งที่เป็นแหล่งข่าวน่าเชื่อถือก็คือภัตตาคารใหญ่ของเมือง
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในภัตตาคาร ฉินอวี้โม่ก็พบว่ามีลูกค้าอยู่ไม่มากนัก นางเลือกโต๊ะในตำแหน่งที่หันออกทางถนนและนั่งลงสั่งอาหารพร้อมเรียกเด็กรับใช้คนหนึ่งเข้ามา
“น้องชาย ขอข้าถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”
ฉินอวี้โม่หยิบผลึกวิญญาณหลายร้อยชิ้นออกมาและยื่นให้เด็กรับใช้ของภัตตาคารพร้อมกล่าวขึ้นเบาๆ
“ท่านจอมยุทธ์ ถ้าท่านอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะบอกทุกอย่างที่รู้อย่างไม่ปิดบัง ส่วนผลึกวิญญาณเหล่านี้ไม่จำเป็นเลย ท่านเก็บไปเถอะขอรับ”
เด็กรับใช้ของภัตตาคารยิ้มอย่างนอบน้อมและไม่ยอมรับผลึกวิญญาณจากฉินอวี้โม่
ทันทีที่ฉินอวี้โม่ก้าวเข้ามาในภัตตาคาร นางก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของเจ้าของร้านผู้ซึ่งได้รับข่าวมาแล้วว่าบุรุษลึกลับสวมหน้ากากผู้นี้ไม่ธรรมดา เจ้าของร้านจึงได้กำชับเด็กรับใช้ผู้นี้ว่าให้ต้อนรับ ‘เขา’ เป็นอย่างดีและห้ามเพิกเฉยเด็ดขาด
เมื่อได้เห็นลักษณะท่าทางของฉินอวี้โม่ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ยืนยันได้ว่าบุรุษตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอนและไม่กล้ารับผลึกวิญญาณมากมายเหล่านั้น ทว่าสำหรับสิ่งที่ ‘เขา’ อยากรู้ เขาก็จะบอกข้อมูลทั้งหมดอย่างไม่ปิดบังเรื่องใด
“รับไปเถอะ ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาของเจ้า”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กรับใช้ก็ยิ้มอย่างหมดทางปฏิเสธและรับผลึกวิญญาณเหล่านั้นไว้
“ข้าอยากรู้สถานการณ์ของเมืองเฟิงหวงและผู้คนที่ได้เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว”
นางไม่รอช้าและเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ทันที
เด็กหนุ่มไม่กล้าปิดบังข้อมูลอะไรและไม่ลังเลที่จะบอกทุกอย่างที่รู้ให้กับฉินอวี้โม่
“เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมช่างหลอมเมื่อไม่นานมานี้ หลายคนจึงอยากยลโฉมแม่นางฉินอวี้โม่ พวกเขาต่างก็เดินทางมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อน นอกจากนี้ก็ยังมีขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดที่ทยอยมาถึงที่นี่ เท่าที่ข้ารู้ คนกลุ่มแรกที่มาถึงก็คือท่านผู้นำจูอวิ๋นชางและบุตรชายทั้งสองคนของเขา เมื่อวานนี้คนจากขุมกำลังไร้คู่เปรียบและราชาสวรรค์ก็มาถึงแล้วเช่นกัน ส่วนขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ ข้ายังไม่เห็นใครจากขุมกำลังนั้น”
ฉินอวี้โม่เพียงพยักศีรษะ ดูเหมือนว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆจะมาถึงที่นี่แล้ว เพียงแต่นางไม่ทราบว่าพวกเขาพักอยู่ที่ใด
“ดูเหมือนว่าขุมกำลังเอกพิภพ สมาคมใหญ่ทั้งสี่และกลุ่มทหารรับจ้างอันดับต้นๆจะไม่คิดเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงในครั้งนี้ ขุมกำลังขนาดเล็กอื่นๆก็มาถึงแล้วและดูเหมือนว่าตระกูลฉู่ก็เพิ่งจะมาถึง คาดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะคึกคักมากทีเดียว”
เด็กหนุ่มตื่นตาและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับงานครั้งนี้มาก และเรื่องที่เขาอยากรู้ก็ไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็น ‘ฉินอวี้โม่’ ที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งดินแดนในเวลาเพียงไม่นาน
ฉินอวี้โม่คนนี้ไม่ธรรมดาเลย ไม่เพียงแต่นางสร้างความฮือฮาครั้งใหญ่เท่านั้นแต่ก็ยังดึงดูดความสนใจของทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น งานทั้งสองก็ทำให้คนอยากรู้เกี่ยวกับนางและต้องการรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนางเป็นอย่างไร
แม้แต่คนธรรมดาอย่างพวกเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าแท้จริงแล้วฉินอวี้โม่เป็นสตรีอย่างไร
“เจ้าทราบรึไม่ว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหน?”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเอ่ยถาม แน่นอนว่าตอนนี้นางต้องสืบหาที่พักของฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะก่อน
“คนของขุมกำลังราชาสวรรค์และไร้คู่เปรียบพักอยู่ในโรงเตี๊ยมตรงข้ามกับเรา และท่านจะได้พบเมื่อพวกเขาออกมาข้างนอก ตระกูลฉู่ก็มีจวนที่พักของตนเองอยู่ในเมืองนี้และคนจากขุมกำลังพญายมก็พักอยู่ในจวนของเฟิงอู๋”
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มก็กล่าวเพิ่มเติม “โอ้ อีกอย่าง ดูเหมือนว่าขุมกำลังเมฆาทะยานที่เคยเป็นหนึ่งในสิบขุมกำลังแรกของดินแดนจะเดินทางมาที่นี่เช่นกันโดยมีตัวแทนคือไห่ป้าหวังซึ่งเป็นผู้นำของขุมกำลัง ว่ากันว่าพวกเขาเคยมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่มาก่อน ดูเหมือนว่างานครั้งนี้จะดุเดือดอย่างมาก”
จากนั้นเขาก็หยุดและมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอยู่รอบตัว เขาก็กระซิบกระซาบเบาๆ “ว่ากันว่าพวกเขามีจุดประสงค์อีกอย่างในงานครานี้ และนั่นก็คือการทำให้เฟิงอู๋กลายเป็นผู้นำตระกูลเฟิงคนต่อไป ช่วงหลังๆมานี้ ท่านผู้นำเฟิงหรูเซียวสุขภาพไม่ค่อยดีนัก พวกเขาเหล่านั้นก็เลย…”
เด็กหนุ่มหยุดพูดเพียงแค่นั้นแต่ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจความหมายของเขาได้ในทันที
“เอาล่ะ ขอบคุณเจ้ามาก น้องชาย”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและบอกให้เด็กหนุ่มไปจัดการงานส่วนอื่นตามสบายในขณะที่ตนเองนั่งนิ่งอยู่กับที่พลางใช้ความคิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง
เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ เกรงว่าชีวิตของเสี่ยวเหยียนอาจไม่ราบรื่นนัก คาดว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในงานเลี้ยงของตระกูลเฟิงครั้งนี้อย่างแน่นอน
หลังจากนั่งใช้ความคิดพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ลุกขึ้นและเดินออกจากภัตตาคารไปโดยตรง
และก็แน่นอนว่าจุดหมายต่อไปของนางก็คือโรงเตี๊ยมตรงข้ามภัตตาคารซึ่งเป็นที่พักของฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆ
ฉินอวี้โม่ไม่รอช้าและมุ่งหน้าเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมโดยตรง จากนั้นนางก็แจ้งให้คนดูแลโรงเตี๊ยมทราบว่านางมาหาใคร
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมก็แจ้งหมายเลขห้องพักของฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆพร้อมบอกให้นางไปที่ห้องพักด้วยตัวเองได้เลย
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะเดินทางพักอยู่บนชั้นที่สองของโรงเตี๊ยมและเป็นห้องที่ติดกันถัดไปเรื่อยๆ
คุณหนูสี่ภายใต้หน้ากากบดบังก็เดินขึ้นไปและเคาะประตูห้องของซูเสี่ยวจวิ้นตามที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมแจ้งไว้
“ท่านคือ…?”
เมื่อเห็นบุคคลที่ปรากฏตัวอยู่หน้าห้อง ซูเสี่ยวจวิ้นก็งุนงงเล็กน้อย ทว่านางก็เรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วพร้อมดึงอีกฝ่ายเข้าไปในห้องทันที
“พี่อวี้โม่ เป็นท่านนี่เอง”
ทันทีที่ปิดประตูลง ซูเสี่ยวจวิ้นก็เกาะแขนพี่สาวอย่างมีความสุขเป็นที่สุด
“เด็กน้อย เจ้าจดจำข้าได้เร็วจริงๆ”
ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะเด็กสาวตรงหน้าก่อนถอดหน้ากากของตนเองออก
“ฮิๆๆ แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจำกลิ่นอายของพี่อวี้โม่ได้ดี เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้กลิ่น ข้าก็เดาตัวตนของพี่อวี้โม่ได้”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มอย่างภาคภูมิใจราวกับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่
“ฮ่าๆๆ อย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลย ไปเรียกพี่อวิ๋นเหล่ยและพี่ซื่อชู่มาที่นี่เถอะ”
ซูเสี่ยวจวิ้นแลบลิ้นอย่างยียวนกวนประสาทแบบเด็กๆก่อนวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านไปพักหนึ่ง ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ก็ตามนางเข้ามาในห้องนี้
เมื่อได้เห็นสหายที่แยกทางกันไปพักใหญ่ พวกเขาทั้งสองก็มีความสุขอย่างมาก
หลังจากได้เล่าพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉินอวี้โม่ก็ทราบว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆคงจะปวดหัวกันอย่างมาก
หลายคนคิดว่าฉินอวี้โม่ยังอยู่กับทั้งสามคนและตามพวกเขามาตลอดทางจนทำให้พวกเขารู้สึกลำบากใจและเหน็ดเหนื่อย
หลังจากอธิบายไปหลายครั้งหลายคราว่าฉินอวี้โม่ที่พวกเขาตามหาได้แยกทางล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่ยอมเชื่อตามนั้น ฉีอวิ๋นเหล่ยและอีกสองคนจึงจำต้องยอมให้คนเหล่านั้นติดตามมา
ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ คนเหล่านั้นก็ยังตามมาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เช่นกัน พวกเขาเหล่านั้นเชื่อว่าถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็ต้องตามมาสมทบกับฉีอวิ๋นเหล่ยและคณะที่นี่
พวกเขาแทบปลงตกทว่าก็ไม่มีหนทางอื่น ทุกครั้งที่พวกเขาออกจากบริเวณโรงเตี๊ยมก็มักมีคนตามติดไปเสมอ เพราะเช่นนั้น ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆจึงจำต้องอยู่ในห้องพักและไม่ออกไปไหน
เมื่อได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นกับคณะเดินทางของสหาย ฉินอวี้โม่ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะและรู้สึกขบขันอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าคนพวกนั้นจะสนใจเรื่องของนางมากถึงเพียงนี้จนยอมทำในสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายเช่นการตามติดผู้อื่นโดยหวังว่าจะได้พบนาง
นางเชื่อว่าพวกเขาเหล่านี้คงต้องปวดหัวไม่น้อยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
“จะว่าไปแล้ว พวกท่านไปพักที่จวนตระกูลฉู่กับข้าเถอะ ที่นั่นไม่มีใครยุ่งวุ่นวาย มันจะสะดวกกว่าหากพวกท่านไปพักกับข้า”
เมื่อนึกถึงคำเชิญของคนตระกูลฉู่ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกราวกับพบทางสว่าง
“ตกลง!”
ซูเสี่ยวจวิ้นพยักหน้าหงึกๆอย่างแรง แน่นอนว่านางต้องตอบตกลง
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่มองหน้ากันด้วยความฉงนและเอ่ยถาม “เจ้าไปรู้จักกับคนตระกูลฉู่ได้อย่างไรกัน?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้พวกเขาได้ฟัง
“โอ้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นมามากทีเดียว”
ฉีอวิ๋นเหล่ยมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาที่อับจนปัญญา เขาถอนหายใจเบาๆในใจครั้งแล้วครั้งเล่า สตรีผู้นี้เป็นตัวประหลาดชัดๆ!
“เอ่อ ก็ใช่”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างไม่ปิดบัง
“งั้นก็ดีเลย งานเลี้ยงตระกูลเฟิงจะต้องมีเรื่องวุ่นวายเป็นแน่ ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากขึ้นเพียงใด ภยันตรายที่ต้องเผชิญก็น้อยลงเพียงนั้น”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มด้วยความดีใจกับสตรีตรงหน้า
“แล้วท่านลุงทั้งหลายไม่มาด้วยหรอกรึ?”
ฉินอวี้โม่มองทั้งสามคนและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่คงจะไม่มา ที่อาณาเขตของเรามีเรื่องต้องจัดการมากมาย แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลย พวกเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาที่นี่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยโบกมือปฏิเสธ บิดาของเขาคงจะไม่เสียเวลามาที่นี่
“ฮ่าๆๆ นั่นน่ะสิ”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบาๆอย่างเห็นด้วย
“ใช่สิ แล้วคนอื่นๆจากขุมกำลังราชาสวรรค์และขุมกำลังไร้คู่เปรียบล่ะ จะจัดสรรกันอย่างไร?”
จู่ๆนางก็นึกถึงฉีป่ายเฉาและคนอื่นๆ นางจึงเอ่ยถามออกไป
“ให้พวกเขาอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ต่อไปเพื่อจะได้เบี่ยงเบนความสนใจของคนพวกนั้นด้วย เราจะจัดสรรกันใหม่ในภายหลัง แต่เราจะตามเจ้าไปที่จวนตระกูลฉู่สักระยะเพื่อพักผ่อนจากความวุ่นวาย”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่คิดแบบเดียวกันนั่นก็คือให้คณะเดินทางคนอื่นๆพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้ต่อไป
นอกจากนี้พวกเขาจะได้ตบตาคนอื่นๆให้คิดว่าพวกเขาทั้งสามยังพักอยู่ที่นี่
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างไม่คัดค้าน บุรุษทั้งสองมีสติปัญญาเป็นเลิศ แน่นอนว่านางย่อมไม่มีปัญหาหรือสงสัยในการตัดสินใจของพวกเขา
หลังจากนั้น ฉีอวิ๋นเหล่ยและเหวินซื่อชู่ก็ออกไปจัดการเตรียมความพร้อมต่างๆในขณะที่ฉินอวี้โม่พูดคุยกับซูเสี่ยวจวิ้นภายในห้อง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ทั้งสองก็กลับมาอีกครั้งและการเตรียมการต่างๆก็น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว
“ฮ่าๆๆ หากพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างและคฤหาสน์เฟิงหัวก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
สหายทั้งสามมองหน้ากันและอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จากนั้นทั้งสี่คนก็เข้าไปในคฤหาสน์หลังน้อยและหายตัวไปจากโรงเตี๊ยมอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ได้มุ่งหน้าตรงไปยังจวนที่พักของตระกูลฉู่ ทว่าควบคุมคฤหาสน์ไปยังอีกสถานที่หนึ่ง
.