“เหยียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ในห้องหรือไม่?”
นั่นเป็นเสียงบิดาของเสี่ยวเหยียน–เฟิงจิงเทียน
“ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวเหยียนปรับอารมณ์และสีหน้าท่าทางเล็กน้อยก่อนเปิดประตูออกไป
เฟิงจิงเทียนยืนอยู่หน้าประตูพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ตั้งแต่พบเสี่ยวเหยียน เฟิงจิงเทียนก็มีความสุขกว่าก่อนมาก เฟิงจิงเทียนในอดีตทั้งเย็นชาและไม่ยิ้มแย้มมากนัก หลังจากพบตัวบุตรสาวผู้พลัดพรากและได้รู้ว่าสตรีคนรักได้จากโลกนี้ไปแล้ว อารมณ์ของเขาก็จมดิ่งกับความเศร้าอยู่พักหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้น ด้วยการปลอบประโลมและความสดใสของเสี่ยวเหยียน เขาก็กลับมาเป็นปกติและกลายเป็นคนที่ทั้งมองโลกในแง่ดีและยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่าเดิม
“เหยียนเอ๋อร์ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะขยันขันแข็งมาก”
เฟิงจิงเทียนมองบุตรสาวด้วยแววตาอ่อนโยน
“ท่านพ่อ ข้าไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ แต่ท่านต่างหาก ข้าว่าท่านไม่เคยได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มเลย ท่านต้องพักผ่อนเยอะๆนะเจ้าคะ”
เสี่ยวเหยียนพาเฟิงจิงเทียนเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่าๆๆ ความใส่ใจดูแลของเจ้าเหมือนกับแม่ไม่มีผิด”
เฟิงจิงเทียนยิ้มพลางแตะมือเสี่ยวเหยียนเบาๆอย่างเปี่ยมสุข
เด็กสาวเพียงยิ้มตอบโดยไม่เอ่ยพูดอะไร
ฉินอวี้โม่ซึ่งอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวสัมผัสได้ถึงสายสัมพันธ์บิดาบุตรสาวอันแน่นแฟ้นของเฟิงจิงเทียนและเสี่ยวเหยียน นางอดส่ายศีรษะและถอนหายใจเบาๆไม่ได้
“ฮ่าๆ อย่าอิจฉาไปเลย ถ้าหากท่านลุงฉินอยู่ที่นี่ เขาก็รักเจ้าไม่น้อยไปกว่าความรักที่เฟิงจิงเทียนมอบให้เสี่ยวเหยียนหรอก”
เมื่อฉีอวิ๋นเหล่ยเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไร เขาจึงยิ้มบางๆและกล่าวออกไป เขาเคยพบกับฉินเทียนมาก่อนแล้วและทราบดีว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬมีลักษณะนิสัยอย่างไร
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าคราก่อนลุงฉินกำราบขุมกำลังพญายมเสียอยู่หมัดและเขาข่มขู่จูอวิ๋นชางไว้อย่างน่าหวาดหวั่น สิ่งที่เกิดขึ้นที่หุบเขาหงส์ร่วงก่อนหน้านี้ทำให้เขาโมโหมาก คงไม่แปลกเลยถ้าเมื่อได้พบเจ้า เขาจะดูแลและตามใจเจ้าทุกอย่าง”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มมุมปากขณะมองสตรีตรงหน้า
ฉินเทียนเดือดดาลทันทีที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่หุบเขาหงส์ร่วง เขามุ่งหน้าตรงไปที่ขุมกำลังพญายมทันทีและเปิดฉากข่มขู่จูอวิ๋นชางให้รู้สำนึก แม้ว่าหลายคนยังไม่รู้เรื่องราวในตอนนั้น ทว่าตอนนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว นอกจากฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ไม่มีใครที่ทำให้ฉินเทียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้มากขนาดนั้นอีก
อันที่จริงฉีอวิ๋นเหล่ยก็ทราบข่าวแล้วว่าฉินเทียนกำลังเดินทางมาที่เมืองเฟิงหวงแห่งนี้ เพียงแต่เขาไม่ได้บอกฉินอวี้โม่เพราะอยากเก็บไว้ให้เป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับนาง
เขาเองก็ตั้งตารอวินาทีที่ฉินเทียนและฉินอวี้โม่จะได้พบกัน
“เรากลับกันเถอะ จากเวลาแล้วข้าคิดว่าคนของตระกูลฉู่ก็น่าจะกลับถึงที่พักกันแล้ว หากเจ้าไม่รีบกลับไป ข้าว่าฉู่เจี๋ยจะต้องเป็นกังวลแน่”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มบางๆขณะเปลี่ยนเรื่องและเสนอว่าถึงเวลาที่ฉินอวี้โม่ควรกลับไปที่จวนที่พักของตระกูลฉู่
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและขับเคลื่อนคฤหาสน์หลังน้อยของตนเองออกจากห้องของเสี่ยวเหยียนทันทีก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังจวนตระกูลฉู่
ในเวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา พวกเขาก็ปรากฏกายในห้องหนึ่งที่ตระกูลฉู่ได้เตรียมไว้สำหรับฉินอวี้โม่ตั้งแต่ต้น
“พี่อ้าย ท่านกลับมาแล้ว”
ทันทีที่นางปรากฏตัวออกมา ฉู่เจี๋ยก็ผลักเปิดประตูพอดิบพอดีและวิ่งเข้ามาพร้อมใบหน้าเคลือบแฝงไปด้วยความกังวล
“เสี่ยวเจี๋ย มีเรื่องอะไรงั้นรึ?”
เมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของเด็กหนุ่ม ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
“ตอนกลับมาจากจวนตระกูลเฟิง ข้าไม่เห็นท่านและคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้าจึงรีบออกไปตามหาแต่ก็ไม่ได้ความ ทว่า..ข้าได้ยินข่าวอีกเรื่องระหว่างทาง ข้าก็เลยเป็นกังวล”
ฉู่เจี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและสังเกตเห็นอีกสามคนยืนอยู่ข้างฉินอวี้โม่
“คนเหล่านี้คือสหายที่ท่านพูดถึงสินะ”
ฉู่เจี๋ยพยักศีรษะให้กับฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆพร้อมรอยยิ้ม “ข้าชื่อฉู่เจี๋ย พวกท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวเจี๋ยก็พอ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและอีกสองคนยิ้มให้กับฉู่เจี๋ยอย่างเป็นมิตรเช่นกันและกล่าวแนะนำตัวเอง
“เสี่ยวเจี๋ย เจ้าบอกว่าได้ยินข่าวอื่นมา ข่าวนั้นคืออะไรรึ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าวเมื่อครู่ ฉินอวี้โม่ก็อดถามออกไปไม่ได้ ข่าวที่ทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มไม่สู้ดีขนาดนี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
“โอ้ พี่อ้าย ในระหว่างทางกลับมา ข้าเห็นคนจำนวนมากวิ่งกรูออกไปนอกเมือง ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติและก็เกิดสงสัยอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงเรียกใครคนหนึ่งไว้และถามเขาจนได้ความว่าตรงเชิงเขาไม่ไกลจากตัวเมือง เหมือนว่าคนจากขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬที่เดินทางมาเข้าร่วมงานเลี้ยงจะถูกคนกลุ่มหนึ่งปิดล้อมอยู่ที่นั่นและตอนนี้กำลังจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้น”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเด็กหนุ่ม ฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็กลายเป็นเพียงภาพพร่ามัว
เมื่อได้ยินว่าคนจากขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬกำลังถูกปิดล้อม อดีตนักฆ่าสาวก็เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวของนางทันทีและลอยตรงไปที่นอกเมืองอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…”
ฉู่เจี๋ยถึงกับพูดไม่ออกและได้เพียงมองคนที่เหลือตาปริบๆ
“น่าจะไปที่นอกเมืองไม่ผิดแน่ พวกเราตามไปกันเถอะ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็ตกใจเล็กน้อยกับการหายตัวไปอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่เช่นกัน ทว่าตอนนี้เมื่อตอบสนองได้ทัน พวกเขาก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา
ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ นั่นคือขุมกำลังในอำนาจการปกครองของฉินเทียน และฉินเทียนผู้เป็นผู้นำขุมกำลังคนนั้นก็คือบิดาของฉินอวี้โม่
คงแปลกไม่น้อยหากว่านางยังใจเย็นอยู่ได้เมื่อรู้ว่าพวกเขามาที่นี่
“เสี่ยวเจี๋ย เจ้าจะไปกับพวกเรารึไม่?”
หลังจากก้าวเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว ฉีอวิ๋นเหล่ยก็นึกถึงเด็กหนุ่มและหันกลับไปเอ่ยถาม
“พี่ฉี พวกท่านไปกันก่อนเถอะ ข้าจะไปตามท่านลุงสองและลุงสี่แล้วตามไปพร้อมกับพวกเขา”
ฉู่เจี๋ยนิ่งคิดไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนตัดสินใจที่จะไปแจ้งให้ฉู่ชิงซานและฉู่ชิงอวิ๋นทราบเรื่องและเดินทางตามไปทีหลัง
พวกเขาทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ในเมื่อเชิญนางมาเป็นสหายและพักอยู่ในตระกูลแล้ว พวกเขาย่อมต้องปกป้องนางไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่ฉินอวี้โม่พุ่งพรวดออกไปทันทีที่ได้ยินเรื่องของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจไม่น้อย
ถึงอย่างไรแล้วหลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันระยะหนึ่ง เขาก็รู้ลักษณะนิสัยของฉินอวี้โม่พอสมควร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้เห็นนางมีอากัปกิริยาเช่นนี้
เมื่อได้ยินคำตอบของฉู่เจี๋ย ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็พยักศีรษะและไม่ถามอะไรให้มากความ จากนั้นทั้งสามก็มุ่งหน้าตรงไปในทิศทางที่ฉู่เจี๋ยบอกไว้
…
นอกเมืองเฟิงหวง ตรงเชิงเขาซึ่งเป็นทางผ่านสำหรับทุกคนที่จะเดินทางไปยังเมืองเฟิงหวงขณะนี้มีคนมากมายรายล้อมรอบพื้นที่บริเวณนี้และกำลังเผชิญหน้ากัน
“ท่านผู้นำจู ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังคิดจะทำอะไรกับการที่สั่งให้คนตั้งมากมายเข้ามาปิดล้อมกลุ่มคนเล็กๆอย่างพวกเรา?”
บุรุษหนุ่มที่เป็นผู้นำของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินจ้าน–นายน้อยแห่งขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ
ฉินจ้านนำคนกลุ่มเล็กๆเดินทางมาที่เมืองเฟิงหวงเป็นการล่วงหน้าในขณะที่ฉินเทียนนำอีกกลุ่มตามมาสมทบทีหลัง
ทว่าเมื่อมาถึงบริเวณนี้ จูอวิ๋นชางและคนอื่นๆก็นำคนมาปิดล้อมพวกเขาไว้ ถึงแม้ฉินจ้านรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่น่าอภิรมย์นัก สีหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่งและใจเย็นโดยไม่มีท่าทางความตื่นตระหนกใดๆ
“ฮ่าๆๆ ฉินจ้าน ใช่ว่าข้าอยากจะขวางทางเจ้า แต่พันธมิตรของข้าต้องการบางสิ่งบางอย่างกับเจ้า ข้าจึงต้องตามมากับพวกเขาด้วย”
จูอวิ๋นชางยิ้มบางๆและเดินผละออกไปก่อนที่ใครคนหนึ่งข้างหลังเขาจะก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ
“โธ่ ข้าก็นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็เป็นเจ้าคนขี้แพ้นั่นเอง!”
เมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวออกมาคือผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยาน–ไห่ป้าหวัง ฉินจ้านก็อดยิ้มอย่างยียวนและเอ่ยถากถางไม่ได้
แม้ว่าขุมกำลังพญายมเป็นไม้เบื่อไม้เมากับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬมาตลอด พวกเขาก็แทบไม่เคยเผชิญหน้ากันอย่างซึ่งๆหน้า บัดนี้การที่พวกเขาถูกปิดล้อมไว้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ คาดการณ์ได้ว่ามันคงเป็นความคิดของผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยาน–ไห่ป้าหวัง
“เหอะ ฉินจ้าน อย่าพูดพล่ามไร้สาระเลย ผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬนำคนมาโจมตีขุมกำลังเมฆาทะยานของข้าซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียด้านอำนาจและทำให้ขุมกำลังของพวกเราต้องตกไปจากขุมกำลังสิบอันดับแรกของดินแดน วันนี้ข้าจะต้องเอาคืนพวกเจ้าให้ได้และทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าขุมกำลังเมฆาทะยานของข้าไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียว!”
ไห่ป้าหวังแค่นเสียงเย็นชา แววตาที่เขามองฉินจ้านเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างที่สุด
ในตอนที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเหยียบย่ำขุมกำลังเมฆาทะยานจนกลายเป็นขุมกำลังโด่งดังในดินแดน ไห่ป้าหวังจำเหตุการณ์นั้นได้อย่างชัดเจน หากไม่ใช่เพราะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬโจมตีพวกเขาอย่างรุนแรง ขุมกำลังของเขาก็คงจะไม่ตกอับเช่นนี้ เรื่องทุกข์ใจทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ!
กล่าวได้ว่าในดินแดนนี้มีผู้คนมากมายที่ไห่ป้าหวังไม่ชอบหน้า ทว่าบุคคลที่เขาจงเกลียดจงชังที่สุดก็คือฉินเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไห่ป้าหวัง เจ้ามันหน้าไม่อายจริงๆ หากในตอนแรกเจ้าไม่ได้ทำให้พ่อบุญธรรมของข้าขุ่นเคืองใจและยั่วยุกลุ่มทหารรับจ้างเสื้อคลุมทมิฬครั้งแล้วครั้งเล่า เราก็คงไม่โจมตีขุมกำลังเมฆาทะยานของเจ้า! ตอนนี้เจ้าจะมาโวยวายเพื่ออะไร เจ้าคิดว่าทุกคนไร้สมองรึยังไง?!”
ฉินจ้านไม่ไว้หน้าไห่ป้าหวังแม้แต่น้อยและเย้ยหยันอีกฝ่ายโดยตรง เขารู้สึกรังเกียจผู้นำขุมกำลังตรงหน้าอย่างที่สุด
เดิมทีขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเป็นเพียงกลุ่มทหารรับจ้างที่มีฉินเทียนเป็นผู้นำ แม้ว่าพวกเขาในตอนนั้นทรงพลังมากแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬในปัจจุบัน
เป็นเพราะเรื่องบาดหมางบางอย่าง กลุ่มทหารรับจ้างเสื้อคลุมทมิฬและขุมกำลังเมฆาทะยานจึงมีปัญหาไม่ลงรอยกัน ไห่ป้าหวังคิดว่าพวกเขาไร้ชื่อเสียงและถูกรังแกได้ง่าย เขาจึงหาเรื่องดูหมิ่นและยั่วยุพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้ฉินเทียนเดือดดาลก่อนนำคนเข้าโจมตีและทำลายขุมกำลังเมฆาทะยานในที่สุด
หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ฉินเทียนก็คงไม่สนใจขุมกำลังเมฆาทะยานแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรแล้วเขาก็มาที่ดินแดนอ้างว้างแห่งนี้เพื่อสั่งสมประสบการณ์และฝึกปรือฝีมือ แท้ที่จริงแล้วสถานที่ที่เขาต้องการจะไปก็คือดินแดนเทพมายา
เมื่อได้ยินคำถากถางอย่างไม่ไว้หน้าของฉินจ้าน สีหน้าของไห่ป้าหวังก็เริ่มเหยเก
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนหน้าหนาพอสมควรและเขาแค่นเสียงตอบ “แล้วอย่างไรกัน? ดินแดนอ้างว้างคือที่ที่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ ในตอนแรก ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าอ่อนด้อยนักและพวกข้าก็ปราบปรามพวกเจ้าได้หลายต่อหลายครั้ง นั่นเป็นวิถีปกติทั่วไปของดินแดนนี้และขุมกำลังเมฆาทะยานของเราก็ไม่เคยคิดที่จะโค่นทำลายพวกเจ้าจนสิ้นซาก ทว่าพวกเจ้ากลับทำตัวน่ารังเกียจยิ่งนัก พวกเจ้าไม่เพียงแต่ยึดอาณาเขตของเราเท่านั้นแต่ก็ยังยุแยงปลุกปั่นคนของพวกเรา การกระทำเช่นนี้น่าละอายยิ่งกว่าเสียอีก”
นี่คือสิ่งที่ไห่ป้าหวังโกรธแค้นมากที่สุด เขาไม่คิดเลยว่าบรรดาศิษย์ของเมฆาทะยานจะขี้ขลาดและไร้กระดูกสันหลังถึงเพียงนี้ ในตอนแรก ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬโจมตีพวกเขาอย่างรุนแรงและครอบงำขุมกำลังเมฆาทะยานด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นศิษย์หลายคนของขุมกำลังเมฆาทะยานก็เห็นว่าไม่อาจต้านทานได้ พวกเขาจึงยอมจำนนไปตั้งแต่เนิ่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนเลือกยังที่จะผันตัวกลายเป็นศิษย์ของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ สิ่งนี้ทำให้ผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยานที่โอหังและคิดว่าตนเองทรงพลังมาตลอดถึงกับทนไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ตลกชะมัด ไห่ป้าหวัง ในเมื่อเจ้าพูดออกเองว่าผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพ พวกเราก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าและสิ่งที่เราทำก็ถือว่าถูกแล้ว อย่าคิดว่าพวกข้าจะไม่รู้ แรกเริ่มเดิมทีเจ้าก็ต้องการให้ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬของข้าล่มสลายไป เพียงแต่ตอนนั้นเจ้ายังไม่มีพลังและความแข็งแกร่งที่มากพอก็เท่านั้น”
หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินจ้านก็กล่าวต่อ “อีกอย่าง…เจ้าก็คงจะทราบดีว่าทำไมคนของเมฆาทะยานถึงสมัครใจเข้าร่วมกับขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬของเรา ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสียเวลาอธิบายในเรื่องที่ทราบกันดีอยู่แล้ว”
เดิมทีขุมกำลังเมฆาทะยานก็มีชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่อยู่แล้ว ศิษย์หลายคนจึงไม่ได้จงรักภักดีต่อขุมกำลังเมฆาทะยาน เมื่อขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเอาชนะขุมกำลังเมฆาทะยานได้ หลายคนก็แปรพักตร์ไปหาเสื้อคลุมทมิฬด้วยความเต็มใจ ทว่าตอนนี้ไห่ป้าหวังกลับพยายามกล่าวให้ตนเองดูดีขึ้นมาซึ่งเป็นการกระทำที่น่าขำสิ้นดี
“ฉินจ้าน เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”
ในที่สุดไห่ป้าหวังก็เปลี่ยนจากความอับอายเป็นความเดือดดาลและพุ่งตรงเข้าไปหาฉินจ้านทันที
“ไห่ป้าหวัง ข้าว่าคนที่รนหาที่ตายคือเจ้าต่างหาก!”
น้ำเสียงทรงพลังน่าเกรงขามดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งที่ปรากฏตัวตรงหน้าฉินจ้าน
.