ตู้ม!
ด้วยเสียงดังสนั่น ไห่ป้าหวังและฉินเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉินจ้านก็หันมาประจันหน้ากันและแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“ผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ!”
เมื่อเห็นฉินเทียนปรากฏตัว สีหน้าของไห่ป้าหวังก็เปลี่ยนไปและบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
ไห่ป้าหวังไม่รู้จักชื่อของฉินเทียนและรู้จักเพียงว่าบุรุษผู้นี้คือผู้นำของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ
สถานการณ์การประจันหน้ากันในอดีตนั้น ไห่ป้าหวังและคนอื่นๆยังจำได้เป็นอย่างดี เพราะเช่นนั้นเมื่อฉินเทียนปรากฏตัว สีหน้าของเขาจึงแสดงถึงความหวาดหวั่น
“ไห่ป้าหวัง ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะน่ารังเกียจมากกว่าเดิมเสียอีก”
ฉินเทียนเอ่ยขึ้นเบาๆเป็นการเย้ยหยันผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยาน
หากเขามาไม่ทัน ฉินจ้านและคนอื่นๆก็คงจะตกอยู่ในอันตราย
แม้ว่าฉินจ้านก็แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง ทว่าความแข็งแกร่งของไห่ป้าหวังก็เหนือกว่าฉินจ้านอย่างชัดเจน อีกทั้งก็ยังมีจูอวิ๋นชางที่สังเกตการณ์อยู่ด้านข้างอีกด้วย
พิจารณาจากสีหน้าท่าทางของพวกเขา ครานี้พวกเขาคิดจะฉีกหน้าขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬให้ได้โดยสมบูรณ์ หากฉินเทียนมาไม่ทันเวลา บุตรบุญธรรมของเขาและคนจากเสื้อคลุมทมิฬจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
“เหอะ ไม่ประหลาดใจว่าเหตุใดฉินจ้านจึงพูดพล่ามไร้สาระนัก ที่แท้เขาก็พยายามถ่วงเวลานี่เอง!”
ในที่สุดไห่ป้าหวังก็เรียกสติและตาสว่างขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าที่ฉินจ้านพูดพล่ามไม่หยุดหย่อนเป็นเพราะเขาพยายามถ่วงเวลาเพื่อรอให้ฉินเทียนมาถึง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาคิดได้ในตอนนี้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว การที่ฉินเทียนปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว เกรงว่าวันนี้พวกเขาจะต้องกลับไปมือเปล่า
“ฮ่าๆๆ ฉินเทียน ไม่ได้พบกันนาน”
จูอวิ๋นชางเองก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกันเมื่อเห็นฉินเทียนปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จากข่าวสารที่พวกเขาได้รับมาก่อนหน้านี้ ฉินเทียนและคณะเดินทางยังตามหลังอยู่อีกไกลมาก ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเดินทางมาได้เร็วเพียงนี้
“จูอวิ๋นชาง เจ้าลืมคำที่ข้าเตือนเจ้าไว้ตอนไปขุมกำลังพญายมครั้งสุดท้ายแล้วรึ?!”
ฉินเทียนจ้องจูอวิ๋นชางตาเขม็งและกล่าวขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยคำข่มขู่
“ฮ่าๆๆ แน่นอนว่าข้าจำได้ เมื่อได้พบเจ้าในวันนี้ ข้าก็อยากคลายความสงสัยเรื่องหนึ่งให้จบๆไป”
จูอวิ๋นชางจ้องฉินเทียนกลับพลางกล่าว “เจ้าอยู่ในดินแดนอ้างว้างแห่งนี้มาก็หลายปี ทุกคนต่างก็รู้ว่าเจ้าไม่มีบุตรคนอื่นนอกจากฉินจ้านซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ทว่าครั้งสุดท้ายที่เจ้าบุกไปที่ขุมกำลังของข้า เจ้าได้กล่าวสิ่งที่ทำให้ข้าฉงนสงสัยอย่างมาก หลังจากไตร่ตรองดูข้าก็พอจะเดาได้”
เมื่อเห็นว่าหลายคนกำลังมองดูด้วยความตื่นเต้น จูอวิ๋นชางก็กล่าวต่อ “หากข้าคิดไม่ผิด ฉินอวี้โม่ที่เลื่องชื่อไปทั่วดินแดนเมื่อไม่นานนี้คือบุตรสาวแท้ๆของเจ้า!”
เมื่อได้ยินคำพูดของจูอวิ๋นชาง ฉินเทียนก็ไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย จูอวิ๋นชางเป็นคนเจ้าเล่ห์พอสมควร ก่อนหน้านี้เขาบุกไปขุมกำลังพญายมถึงที่และกล่าวข่มขู่ หลังจากไตร่ตรองเรียบเรียงเรื่องราว มันก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะคาดเดาได้
ฉินเทียนไม่คิดที่จะปิดบังความจริงและเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
ฉินอวี้โม่คือบุตรสาวของเขาและเขาภาคภูมิใจในตัวนางอย่างที่สุด
“ฮ่าๆๆ นับว่าเจ้าฉลาดกว่าเจ้าไห่ป้าหวังมากทีเดียว!”
ฉินเทียนยิ้มบางๆและกล่าว “ถูกต้องแล้ว ฉินอวี้โม่ก็คือบุตรสาวคนเดียวของข้า นางสำคัญสำหรับข้าที่สุด วันนี้ข้าจะประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่าใครก็ตามที่คิดจะรังแกบุตรสาวของข้าก็เท่ากับหาเรื่องข้า—ฉินเทียนผู้นี้ ต่อให้ต้องสู้สุดชีวิต ข้าก็ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกบุตรสาวของข้าได้!”
วาจาของฉินเทียนน่าเกรงขามอย่างที่สุดและผู้คนโดยรอบต่างก็หวาดหวั่นและซาบซึ้งใจ
“สวรรค์! แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่เป็นบุตรสาวของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬผู้ยิ่งใหญ่รึนี่!”
ใครคนหนึ่งอดอุทานออกมาไม่ได้ เขาตื่นตาตื่นใจกับความจริงที่ได้รู้อย่างมาก
หากไม่ได้ยินความจริงเช่นนี้ ต่อให้คิดจนหัวระเบิดเขาก็ไม่มีทางเดาได้ว่าฉินอวี้โม่คือบุตรสาวของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬผู้น่าเกรงขามนี้
“ผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็ว่าประหลาดแล้ว ทว่าบุตรสาวของเขากลับเป็นตัวประหลาดยิ่งกว่า ไม่แปลกใจเลยที่มีนางจะมีพรสวรรค์โดดเด่นและน่าหวาดหวั่นมากถึงเพียงนั้น เรียกได้ว่าสมกับเป็นบุตรของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬอย่างแท้จริง!”
อีกคนกล่าวพร้อมถอนหายใจอย่างยอมรับ
พรสวรรค์และวิธีการจัดการปัญหาของฉินอวี้โม่คล้ายคลึงกับฉินเทียนมาก เพราะเหตุนั้นการที่นางเป็นบุตรสาวของฉินเทียนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อได้ยาก
“มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีมากที่ได้มีบิดาเช่นนี้”
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ วาจาที่น่าเกรงขามทว่าไม่ได้ฟังดูหยิ่งยโสของฉินเทียนโน้มน้าวใจเขาได้เป็นอย่างมากและทำให้เขารู้สึกเคารพชื่นชมฉินเทียนมากขึ้น
“ไอ้เด็กบ้าเอ๋ย แล้วข้าไม่ดีรึไง?!”
เด็กหนุ่มพูดไม่ทันขาดคำ บุรุษวัยกลางคนซึ่งเป็นบิดาของเขาก็เอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว แน่นอนว่าท่านดีที่สุดในหัวใจของข้า”
บุตรชายรีบกล่าวออกไปทันทีพลางถอนหายใจเบาๆ ไม่ว่าบิดาของคนอื่นจะดีสักแค่ไหน สุดท้ายบิดาของเขาก็ดีที่สุดสำหรับเขาเสมอ
ทว่าฉินอวี้โม่ก็ขับเคลื่อนคฤหาสน์เฟิงหัวมาถึงที่นี่ทันเวลาได้ยินคำพูดที่เผด็จการของฉินเทียนเช่นกัน นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ
แม้ว่านางจำฉินเทียนคนนี้ไม่ได้และไม่เคยได้สัมผัสกับความรักของบิดา คำพูดและการกระทำของฉินเทียนก็ทำให้ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา
บิดาของนางทั้งน่าเกรงขามและน่ารักจริงๆ!
“ฉินอวี้โม่คือบุตรสาวของเขางั้นรึ?”
เห็นได้ชัดว่าไห่ป้าหวังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาเอ่ยถามจูอวิ๋นชางที่อยู่ข้างๆเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ ฉินอวี้โม่คนนั้นคือบุตรสาวของฉินเทียน”
จูอวิ๋นชางพยักศีรษะยืนยันความไม่แน่ใจของผู้นำขุมกำลังเมฆาทะยาน
เมื่อได้ยินคำยืนยันอย่างหนักแน่นของจูอวิ๋นชาง ไห่ป้าหวังก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่…ชื่อนี้ไม่มีทางที่เขาจะลืมได้เลย สตรีรูปโฉมงามสะท้านแผ่นดินผู้มีพรสวรรค์ผิดมนุษย์ หากมีบิดาเป็นฉินเทียนที่เหนือธรรมชาติไม่ต่างกัน พ่อลูกคู่นี้ที่อยู่ด้วยกันจะไม่ไร้เทียมทานหรือ?!
เมื่อคิดเช่นนี้ จู่ๆเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา หากเขาไม่ยั่วยุฉินเทียนและเลือกที่จะผูกมิตรกันไว้ สถานการณ์ทั้งหมดก็คงจะไม่ย่ำแย่จนถึงทุกวันนี้
“ท่านพ่อ…”
ในที่สุดฉินอวี้โม่ในคฤหาสน์หลังน้อยก็มาหยุดลงใกล้ฉินเทียน ร่างของนางค่อยๆปรากฏเด่นชัดขึ้นพร้อมเสียงพึมพำ
ฉินเทียนสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังบางอย่างแผ่ตรงมาที่ตนเองโดยคิดว่าเป็นการซุ่มโจมตีและกำลังจะตอบโต้ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเบาๆนี้ การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดกลางคัน
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์รึ?”
สถานการณ์ดูไม่น่าเชื่อจริงๆ ฉินเทียนหันกลับมาและมองเห็นบุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีดำและมีหน้ากากบดบังใบหน้า
บุรุษหนุ่มแผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ฉินเทียนรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก และในขณะเดียวกันนั้น ฉินเทียนผู้ซึ่งใจเย็นและสงบนิ่งถึงกับอดตื่นเต้นไม่ได้
“ท่านพ่อ…”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเทียนและความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่มา ฉินอวี้โม่ก็ค่อยๆถอดหน้ากากเผยให้เห็นใบหน้าที่ทำให้ชายหนุ่มทุกคนต้องตะลึงจนแทบหยุดหายใจ
บัดนี้ความตื่นเต้นทำให้ฉินอวี้โม่ดวงตาแดงก่ำและไหล่ทั้งสองสั่นเทิ้มแสดงให้เห็นว่าหัวใจของนางกำลังอ่อนไหวอย่างที่สุด
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้หน้ากากบดบัง ฉินเทียนก็ตะลึงไปชั่วขณะ แม้มองเพียงแวบเดียว เขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่านี่คือเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาไม่ผิดแน่
ฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมารดาของนางดูเหมือนกันมาก ทว่าเมื่อเทียบกับบุตรสาว อวี๋เสี่ยวอวิ๋นมีกลิ่นอายที่นุ่มนวลมากกว่าและไม่มีความกล้าหาญองอาจแบบฉินอวี้โม่
“โม่เอ๋อร์ลูกพ่อ!”
ในที่สุดฉินเทียนก็อดทนไม่ได้และก้าวยาวตรงเข้าไปหาบุตรสาวพลางอ้าแขนทั้งสองกว้างเพื่อสวมกอดนางไว้แน่นก่อนหมุนตัวเป็นวงกลมอย่างมีความสุข
เมื่อสัมผัสได้ถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้เป็นบิดา ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุข นี่เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด
“อะแฮ่ม! อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้นในหูของฉินเทียนและฉินอวี้โม่
“ท่านพ่อบุญธรรม มีผู้คนมากมายที่กำลังมองอยู่ โปรดรักษาท่าทีไว้ก่อน!”
ฉินจ้านเดินตรงเข้ามาหาทั้งสองอย่างช้าๆพร้อมหัวเราะเบาๆ
“ข้าก็แค่แสดงความรักกับลูกของข้า ใครจะทำไมเล่า?”
แม้กล่าวเช่นนั้น ฉินเทียนก็ปล่อยฉินอวี้โม่แต่โดยดีขณะที่ใบหน้าแข็งแกร่งประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างชัดเจน
“จ้านเอ๋อร์ นี่คือเสี่ยวโม่เอ๋อร์ น้องสาวของเจ้า ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จงปกป้องคุ้มครองนางให้ดีที่สุด เข้าใจรึไม่?”
ฉินเทียนกล่าวอย่างหนักแน่นและตรงไปตรงมาจนฉินจ้านเหงื่อผุด
เขาทราบอยู่แล้วว่าบิดาบุญธรรมจะต้องกล่าวทำนองนี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็มีความสุขและเต็มใจอย่างที่สุด นับจากนี้ไป เขาจะมีน้องสาวเพิ่มมาซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีมาก
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าคือฉินจ้าน บุตรบุญธรรมของท่านพ่อ”
ฉินจ้านยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน
“ท่านพี่”
ฉินอวี้โม่ก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน นางรู้สึกถูกชะตากับ ‘พี่ชาย’ คนใหม่อยู่ไม่น้อย
“สวรรค์ ช่างงดงามยิ่งนัก!”
หลายคนในที่นี้ไม่เคยเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่มาก่อนและต่างเดินทางมาที่เมืองเฟิงหวงเพื่อยลโฉมแม่นางผู้นี้ พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นใบหน้างดงามของนางล่วงหน้าจากที่คิดไว้พวกเขาจึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา
“ข้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ข้าจะต้องเดินทางไปที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเพื่อขอนางแต่งงานให้จงได้ ต่อให้ข้าต้องถูกท่านผู้นำขุมกำลังทมิฬฆ่าตาย ข้าก็ไม่เสียดายชีวิต!”
ใครบางคนกล่าวและตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไปที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเพื่อขอแต่งงานกับสตรีโฉมงามผู้นี้
“ข้าก็จะไปด้วย..”
“ข้าด้วย”
“เราจะไปด้วยกันทั้งหมดนี่”
คำพูดของบุรุษผู้นั้นกระตุ้นความคิดของหลายๆคน พวกเขาเอ่ยตกลงกันเสียงดังเจื้อยแจ้วว่าจะไปที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเพื่อขอและอ้อนวอนให้ฉินอวี้โม่แต่งงานกับตนเอง
“ท่านพ่อบุญธรรม ข้าคิดไว้ไม่มีผิด หากข่าวเรื่องที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์คือคุณหนูใหญ่ของขุมกำลังเรา ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬของเราจะต้องหัวกระไดไม่แห้งแน่!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของคนเหล่านั้น ฉินจ้านก็แทบพูดไม่ออก เขารู้ว่าน้องสาวของตนมีเสน่ห์ต้องตาบุรุษมากมาย ดูเหมือนว่าการที่นางกลับสู่อ้อมอกขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬจะมาพร้อมกับความวุ่นวายไม่น้อย
“ใครหน้าไหนกล้าก็เข้ามาเลย ข้าจะทดสอบเสียให้เข็ด คนธรรมดาๆจะคู่ควรกับบุตรสาวสุดรักสุดหวงของข้าได้อย่างไร?”
ฉินเทียนไม่สนใจคนเหล่านั้น บุตรสาวของเขาโดดเด่นและยอดเยี่ยมเป็นที่สุด แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการคู่ครองที่ดีให้กับนาง
“จะว่าไปแล้ว ข้าได้ยินว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วไม่ใช่รึ?”
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมา ฉินจ้านจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ใช่แล้ว เจ้าหนุ่มหานโม่ฉือไปไหนเสียล่ะ?”
ฉินเทียนเคยได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกันและเขาเอ่ยถามออกไป
“ท่านพ่อ โม่ฉือกับข้าถูกพลัดพรากแยกจากกันตอนมาถึงที่นี่ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
สำหรับเรื่องหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน
คงเป็นไปไม่ได้ที่หานโม่ฉือจะไม่รับรู้เรื่องฮือฮาไปทั่วดินแดนเช่นนี้ หากได้ยินข่าวคราว เขาก็น่าจะออกตามหานางอย่างร้อนใจ แล้วเหตุใดจึงไม่มีเบาะแสของเขาเช่นนี้?
ฉินอวี้โม่รู้สึกกังวลขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เป็นไปได้รึไม่ว่าเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับหานโม่ฉือ?
แน่นอนนางไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าบัดนี้หานโม่ฉือกำลังฝึกปรือฝีมืออยู่ในเมืองเฟิงอวิ๋นและไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายนอกเลย เมื่อถึงเวลาที่หานโม่ฉือรู้เรื่องก็คงถึงวันงานชุมนุมวายุเมฆาแล้ว…
“เขาหายไปงั้นรึ?”
ฉินเทียนและฉินจ้านมองหน้ากันและกล่าว “อย่ากังวลไปเลย เขาจะต้องไม่เป็นอะไร หากเขาฝ่าฟันอุปสรรคเพียงแค่นี้และมาพบเจ้าไม่ได้ เขาก็ไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆด้วยความเข้าใจ พรสวรรค์และพลังของหานโม่ฉือไม่ได้ด้อยไปกว่านางแม้แต่น้อย นางเชื่อว่าคนรักของตนจะไม่เป็นอะไร
ทั้งสามสนทนาพาทีกันอย่างออกรสขณะเพิกเฉยไห่ป้าหวังและคนอื่นๆที่จ้องมองพวกเขาจนคนเหล่านั้นถึงกับพูดไม่ออก