บัดนี้ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่กำลังพูดคุยกับบิดาและพี่ชายอย่างมีความสุข พวกเขาก็คาดเดาได้ว่าทั้งสามน่าจะทำความรู้จักกันแล้ว เป็นธรรมดาที่นางจะมีความสุขล้นเปี่ยมถึงเพียงนี้
ฉู่เจี๋ยและฉู่ชิงซานรีบมุ่งหน้าตรงมาที่นี่เช่นกันและพวกเขาก็ต้องฉงนสงสัยกับภาพบรรยายอันอบอุ่นตรงหน้า
“เสี่ยวเจี๋ย อย่าสับสนไปเลย เจ้าควรจะทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่อยู่แล้ว และผู้นำของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬคือบิดาแท้ๆของนาง”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงสงสัยของพวกเขา ฉีอวิ๋นเหล่ยก็ยิ้มออกมาและอธิบายต่อพวกเขา
ฉู่เจี๋ยและฉู่ชิงซานตระหนักได้ทันที ตอนนี้เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อครู่ฉินอวี้โม่จึงได้รีบพรวดออกไปเช่นนั้น
“ท่านผู้นำจู ท่านผู้นำไห่ ดูเหมือนว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
ซูเสี่ยวจวิ้นหันไปเห็นกลุ่มของจูอวิ๋นชางและยิ้มทักทาย
“พวกเจ้าก็มาด้วยรึ?”
จูอวิ๋นชางขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆ
“ฮ่าๆๆ เกรงว่าวันนี้ท่านจะทำอะไรไม่ได้ซะแล้ว ท่านกลับไปคิดหาวิธีใหม่เถอะ ในเมื่อบิดาและบุตรสาวได้พบกันแล้ว ข้าว่าทั้งสองคงไม่มีเวลามาเสวนากับท่านหรอก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและกล่าวขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมอย่างไม่ปกปิด
“เหอะ นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องกังวล!”
จูอวิ๋นชางแค่นเสียงเย็นชาทว่าก็หันไปมองฉินเทียนและกล่าวออกมา “ฉินเทียน ไว้พูดคุยกันที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงก็แล้วกัน!”
หลังจากกล่าวจบ เขาและพวกก็รีบจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
ไห่ป้าหวังมองฉินอวี้โม่และฉินเทียนด้วยแววตามุ่งร้ายดุดันและเดินจากไปพร้อมคณะ
ฉินอวี้โม่และอีกสามคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสก็ชำเลืองมองไห่ป้าหวังและคนอื่นๆเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดจะขัดขวางแต่อย่างใด ตอนนี้พวกเขากำลังมีอารมณ์ที่ดีมากและย่อมไม่อยากใส่ใจกับคนใจคดเหล่านั้น
“จะว่าไปแล้ว พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? บิดาของข้าและพี่ชายของเจ้าน่ะ”
เมื่อนึกถึงญาติที่ไม่ได้พบหน้ากันเนิ่นนาน ฉินเทียนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความรู้สึกผิด
“ไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีและพวกเขาสบายดี”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกล่าว “พี่อี้เฟยเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาก่อนแล้ว และหลายคนก็เดินทางไปที่นั่นภายใต้การนำของอธิการมู่อวิ๋นแห่งโรงเรียนราชสำนัก หากเราไปที่ดินแดนเทพมายา เราก็น่าจะได้พบกับพวกเขา”
ฉินเทียนพยักศีรษะตอบรับ เมื่อได้รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดสบายดี เขาเองก็โล่งใจ
“ท่านพ่อ ท่านได้ข่าวเรื่องท่านแม่บ้างไหมเจ้าคะ?”
การได้พบและพูดคุยกับบิดาที่พลัดพรากกันเสียนานทำให้ฉินอวี้โม่นึกถึงอวี๋เสี่ยวอวิ๋น นางจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พอมีข่าวอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้ซับซ้อนยิ่งนัก เราไปหาที่พูดคุยกันอย่างละเอียดก่อนเถอะ”
ฉินเทียนยิ้มบางๆ เรื่องนี้ซับซ้อนอย่างยิ่งและยากที่จะอธิบายอย่างชัดเจนได้ในเวลาเพียงสั้นๆ
ฉินอวี้โม่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยถาม “ท่านพ่อ เกิดเรื่องบางอย่างกับแม่หลี่ก่วนที่ดูแลข้าและตอนนี้นางหายตัวไป ข้าพยายามสืบหาเบาะแสของนางแต่ก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลยเจ้าค่ะ”
หลังจากได้รู้เรื่องของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวปลอมที่แฝงตัวเข้ามาดูแลนาง ฉินอวี้โม่ก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่านางก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลี่ก่วนถูกจับตัวไปในตอนแรกและถูกใครบางคนช่วยไว้ก่อนหายตัวไปอีกครั้ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้นางพยายามสืบหาข่าวว่าสตรีที่แฝงตัวมาเป็นมารดาเพื่อดูแลนางอยู่ที่ใดแต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไรเลย ราวกับว่าหลี่ก่วนได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
“อย่ากังวลไปเลย นางไม่เป็นอะไรหรอก หากข้าเดาไม่ผิด นางน่าจะอยู่กับท่านอาจารย์แล้ว”
ฉินเทียนไม่แสดงท่าทีกังวลใดๆ ดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องบางอย่างที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้
“ผู้เฒ่าเซียวเหยางั้นรึ?”
เมื่อฉินเทียนเอ่ยถึง ‘ท่านอาจารย์’ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาผู้นั้นคือบุคคลลึกลับที่แม้แต่มู่อวิ๋นก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขา
“ตอนข้าจากมา ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่าเขาจะดูแลเจ้าแทนข้า ข้าคิดว่าเขาเป็นคนช่วยหลี่ก่วนไว้ตอนที่เผชิญกับปัญหา เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าจะติดต่อเขาและจะถามความมาให้”
ฉินเทียนยิ้มบางๆอย่างมีความหมาย เขาเองก็ซาบซึ้งในการกระทำของหลี่ก่วนมาก หากนางไม่แฝงตัวเป็นมารดาคอยดูแลฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อดูแลฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยอย่างเต็มที่ นางไม่เคยตกลงปลงใจแต่งงานกับผู้ใด การเสียสละอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นทำให้เขาซาบซึ้งในน้ำใจและความทุ่มเทของนางเป็นที่สุด
“เจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจได้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ เรื่องของหลี่ก่วนเป็นสิ่งที่นางไม่อาจคลายกังวลได้เลย ในเมื่อบิดากล่าวเช่นนี้ นางก็พอจะโล่งใจได้บ้าง
ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ผู้คนโดยรอบเริ่มกระจัดกระจายแยกย้ายกันออกไปจนเหลือเพียงไม่กี่คนที่รู้จักกับฉินอวี้โม่ที่ยังอยู่ที่เดิมและมองดูพ่อลูกด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมใจ
ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของพวกเขา นางจึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆรีบปรี่มาที่นี่เพราะพวกเขาเป็นห่วงนาง ทว่าเป็นเพราะนางตื่นเต้นมากเกินไปจึงได้ละเลยพวกเขามาจนถึงตอนนี้
“พี่อวิ๋นเหล่ย พี่ซื่อชู่ เสี่ยวจวิ้น เสี่ยวเจี๋ย ผู้อาวุโสฉู่ ทุกคนมากันพร้อมหน้าเลย”
ร่างของฉินอวี้โม่กะพริบไปปรากฏตรงหน้าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“พ่อหนุ่มอวิ๋นเหล่ย สาวน้อยเสี่ยวจวิ้น พ่อหนุ่มซื่อชู่ ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ฉินเทียนเดินเข้ามาเช่นกันและมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“ท่านลุงฉิน ไม่ได้พบกันนานเลยขอรับ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มอย่างนอบน้อมและกล่าวทักทายฉินเทียน
ขุมกำลังทั้งสามต่างก็เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้นพวกเขาจึงรู้จักและสนิทสนมกันพอสมควร
“อวิ๋นเหล่ย ซื่อชู่ หลังจากไม่ได้พบกันนาน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก หากมีโอกาสในภายภาคหน้า เห็นทีพวกเราต้องลองประมือกันหน่อยเสียแล้ว”
ฉินจ้านเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างและแตะไหล่บุรุษทั้งสองเบาๆ
“พอเถอะ ข้าเอาชนะไม่ได้หรอก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยก็กล่าวติดตลกกับฉินจ้าน
“พี่ฉินจ้าน แล้วพลังของข้าไม่เพิ่มขึ้นบ้างเลยรึ?”
ซูเสี่ยวจวิ้นก็ไม่ต้องการน้อยหน้าคนอื่น เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนที่มีการพัฒนาก้าวหน้ามากที่สุด
“ไม่จริงเลย น้องเสี่ยวจวิ้นเป็นผู้ที่พัฒนาขึ้นมากที่สุดต่างหาก”
ฉินจ้านลูบศีรษะซูเสี่ยวจวิ้นอย่างเอาใจ
“ท่านผู้อาวุโสสอง เสี่ยวเจี๋ย ต้องขอโทษด้วยที่ข้าปิดบังตัวตนที่แท้จริงของข้า”
แม้ว่าทั้งฉู่ชิงซานและฉู่เจี๋ยทราบอยู่แล้วว่านางคือฉินอวี้โม่ นางก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยกล่าวออกไปอย่างชัดเจนทั้งที่เดินทางร่วมกันมาเป็นเวลานาน
“พี่อ้าย… ไม่สิ ต้องพี่อวี้โม่ ช่างมันเถอะ เรารู้ถึงตัวตนของท่านดี ข้าเพียงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วท่านคือบุตรีของผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ”
ฉู่เจี๋ยและคนของตระกูลฉู่ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ พวกเขาเพียงแค่แปลกใจและคิดไม่ถึงเท่านั้น
“ทั้งสองคนคือ?”
ฉินเทียนมองฉู่เจี๋ยและฉู่ชิงซานด้วยความฉงนสนเท่ห์ ตระกูลฉู่รักสันโดษและแทบจะไม่สุงสิงกับคนภายนอกมาตั้งแต่ต้น เพราะเหตุนั้นแม้แต่เขาที่เป็นผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็ยังไม่รู้จักพวกเขา
“ท่านพ่อ สองคนนี้คือคนตระกูลฉู่และเป็นสหายของข้าเองเจ้าค่ะ พวกเขาได้ช่วยข้ามาตลอดทาง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยแนะนำคนทั้งสองให้ฉินเทียนรู้จัก
“ที่แท้ก็คนตระกูลฉู่นี่เอง ไม่ทราบว่าช่วงนี้ผู้นำตระกูลฉู่เป็นยังไงบ้าง?”
ฉินเทียนยิ้มบางๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับเขารู้จักผู้นำตระกูลฉู่มาก่อน
“ท่านลุง ท่านรู้จักท่านปู่ของข้าด้วยรึขอรับ?”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินเทียน ฉู่เจี๋ยก็อดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“พวกเราเคยพบกันหลายครั้งและผู้นำตระกูลฉู่ก็เคยช่วยข้าไว้เช่นกัน เพียงแต่ข้ายังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณเขา”
ฉินเทียนยิ้มพลางเอ่ยตอบเป็นการยืนยันว่าเขารู้จักท่านปู่ของฉู่เจี๋ยจริงๆ
ตอนแรกที่เขาเดินทางมาดินแดนอ้างว้างแห่งนี้ เขาก็ตกอยู่ในอันตรายและได้รับการช่วยไว้โดยผู้นำตระกูลฉู่ หลังจากนั้นฉินเทียนก็ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งและตั้งใจที่จะเดินทางไปตระกูลฉู่เพื่อขอบคุณน้ำใจในครั้งนั้น เพียงแต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ทำอย่างที่ต้องการ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง หากเช่นนั้นขอเชิญท่านลุงและพี่อวี้โม่ไปที่ตระกูลฉู่ของเราด้วยกันหลังจบงานเลี้ยงตระกูลเฟิงขอรับ จวนตระกูลฉู่ของเราอยู่ใกล้กับเมืองเฟิงอวิ๋น มันจะไม่ทำให้พวกท่านเสียโอกาสใดๆ”
ฉู๋เจี๋ยยิ้มอย่างนอบน้อมก่อนกล่าวเชิญฉินอวี้โม่และฉินเทียน
“เข้าใจแล้ว เอาไว้คุยกันอีกครั้งหลังจบงานเลี้ยงก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่และฉินเทียนมองหน้ากันและพยักศีรษะ
“ไปกันเถอะ กลับไปที่เมืองกันก่อน วันนี้ทุกคนอารมณ์ดีมาก เห็นทีค่ำคืนนี้เราต้องดื่มกันสักหน่อยเพื่อเป็นการฉลอง”
ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวพลางยิ้มอย่างมีความสุข
ทุกคนยิ้มและพยักศีรษะเช่นกัน
“จ้านเอ๋อร์ เจ้าพาทุกคนมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองเถอะ ข้าจะตามเสี่ยวโม่เอ๋อร์เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวและเข้าไปในเมือง”
ฉินเทียนไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจัดแจงเตรียมการ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดที่รออยู่บริเวณประตูเมืองล้วนมาที่นี่เพื่อยลโฉมฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าฉินเทียนไม่ยอมให้โอกาสพวกเขาได้สมหวังจึงบอกให้ฉินอวี้โม่ขับเคลื่อนคฤหาสน์มิติของนางเข้าไปในเมืองโดยตรง
“ข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”
ฉู่ชิงซานยิ้มกว้าง เขาอยากจะจัดแจงที่พักให้กับฉินเทียนและคนอื่นๆในจวนตระกูลฉู่
“ได้เลยขอรับ”
ฉินจ้านพยักศีรษะ เขาเข้าใจความคิดของฉินเทียนเป็นอย่างดี
“ข้าก็อยากเข้าไปชมคฤหาสน์ของพี่อวี้โม่เช่นกัน ข้ายังไม่เคยได้เข้าไปเลย”
ฉู่เจี๋ยยิ้มและกล่าวด้วยความตื่นเต้นอยากรู้เกี่ยวกับคฤหาสน์หลังน้อยของฉินอวี้โม่
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามเข้ามา”
ซูเสี่ยวจวิ้นเกาะแขนฉู่เจี๋ยและวิ่งปรี่เข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วอย่างไม่รักษาท่าที
หลังจากได้อยู่ในคฤหาสน์ของนางมาระยะหนึ่ง สหายทั้งสามก็ไม่อยากอยู่ข้างนอกอีก
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ จากนั้นคฤหาสน์เฟิงหัวก็ปรากฏขึ้นและทุกๆคนเข้าไปข้างใน
“ว้าว! ที่นี่สวยชะมัด!”
ฉู่เจี๋ยแทบไม่เคยได้เห็นอาคารสิ่งปลูกสร้างที่งดงามเช่นนี้มาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาจะตื่นตาตื่นใจจนออกนอกหน้า
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ลูกเอ๋ย ตอนมาถึงดินแดนแห่งนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่เดินทางไปที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬเพื่อตามหาข้า หากข้าไม่มาหาเจ้าเอง เจ้าไม่คิดที่จะไปพบพ่อเลยรึ?”
ฉินเทียนกำลังนั่งอยู่กับฉินอวี้โม่ในห้องโถงขณะมองนางอย่างช่วยไม่ได้
บุตรสาวของเขาประหลาดเหนือมนุษย์มากเกินไป แม้แต่เขาที่คิดว่าตนเองมีพรสวรรค์น่าทึ่งมาตลอด บัดนี้ก็ยังต้องรู้สึกด้อยกว่านาง
“ท่านพ่อ ไม่ใช่แบบนั้นเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าท่านจะต้องไปที่งานชุมนุมวายุเมฆา ดังนั้นข้าจึงจะรอพบท่านที่นั่น ข้าไม่คิดว่าก่อนถึงตอนนั้นจะเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ต้องการพบฉินเทียนอย่างที่สุด ทว่าตอนมาถึงดินแดนอ้างว้างในตอนแรก นางยังอ่อนแอเกินไปและหมู่บ้านจันทราก็อยู่ไกลจากขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬมาก ทว่านางได้รู้ว่าจะมีงานชุมนุมวายุเมฆาเกิดขึ้นและนางเชื่อว่าการได้พบกันที่งานชุมนุมดังกล่าวจะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
“ใช่ ข้าไม่คิดเลยว่าลูกสาวของข้าไม่เพียงแต่จะเดินทางมาที่ดินแดนนี้เพื่อหามาข้าเท่านั้น แต่เจ้าก็ยังแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรรค์ หากแม่ของเจ้ารู้ว่าเจ้ายอดเยี่ยมแค่ไหน นางจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ”
ฉินเทียนมองบุตรสาวด้วยแววตาที่ภาคภูมิใจ
แม้ว่าเขาคิดไว้แล้วบุตรของตนจะเดินทางมาตามหาเขาในดินแดนอ้างว้าง เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะรวดเร็วถึงขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์และพลังของฉินอวี้โม่ก็เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก ช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญผู้มากด้วยพรสวรรค์และครอบครองเพลิงจักรพรรดิ ด้วยสภาวะพลังขอบเขตจ้าวพิภพ นางก็สามารถเอาชนะยอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะได้ อีกทั้งนางยังมีอสูรมายาเป็นจำนวนมาก… ปัจจัยทั้งหมดนี้มากพอที่จะทำให้ฉินเทียนรู้สึกทึ่งอย่างที่สุด
จู่ๆฉินอวี้โม่ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยขณะฟังวาจาของฉินเทียน เมื่อนึกย้อนไปถึงคุณหนูสี่คนเดิมที่ล่วงลับลาโลกนี้ไปและความจริงที่ว่า ‘เธอ’ เป็นเพียงแค่จิตวิญญาณที่ครอบครองร่างนี้ ‘เธอ’ ก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ฟังดูแปลกจนไม่น่าเป็นจริง
“นายหญิง ท่านอย่าลืมไปว่าบางสิ่งบางอย่างก็ถูกฟ้าเบื้องบนลิขิตไว้แล้ว ตอนนี้ท่านคือฉินอวี้โม่และนั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
ซิวสัมผัสได้ถึงความผันผวนทางอารมณ์ของฉินอวี้โม่ มันจึงส่งเสียงขึ้นในโสตประสาทของนางเพื่อเตือนไม่ให้นางคิดมากเกินไป
ฉินอวี้โม่ก็เรียกสติกลับคืนมาเมื่อได้ยินเสียงของซิว
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงคิดถึงเรื่องบางสิ่งบางอย่างอยู่
.