ณ เวลาเที่ยงวัน ตระกูลเฟิงกำลังเตรียมอาหารและเครื่องดื่มสำหรับงานเลี้ยงอย่างขะมักเขม้น
ฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็ไม่ได้เกรงใจเช่นกัน ตระกูลฉินของทั้งสองและตระกูลเฟิงถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองพ่อลูกก็ถูกชะตากับเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนมาก
พวกเขานั่งลงตามลำดับและเพียงแค่การสนทนาพาทีกันเป็นระยะสั้นๆก็ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันพอสมควรแล้ว
“ดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง แม่นางอวี้โม่เป็นสตรีที่ไม่เหมือนใครที่แม้ทั่วใต้หล้าก็หาพบได้ยากจริงๆ”
เฟิงหรูเซียวมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาชื่นชม
หากไม่ใช่เพราะฉินอวี้โม่นั่งอยู่ตรงหน้า เขาก็อาจไม่ปักใจเชื่อข่าวลือหนาหูที่ได้ยินมา ทว่าเมื่อมองพินิจพิจารณาสตรีตรงหน้า มันก็ยากที่เขาจะปฏิเสธข้อเท็จจริงได้ ฉินอวี้โม่โดดเด่นเจิดจรัสเหนือทุกคนอย่างแท้จริง
ตลอดเวลาหลายร้อยปีในดินแดนอ้างว้าง เฟิงหรูเซียวไม่เคยพบสตรีผู้ใดที่เหมือนหรือแม้แต่จะใกล้เคียงกับนางแม้แต่คนเดียว
“ท่านผู้นำเฟิงก็ชมข้าเกินไปเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ทำตามหัวใจเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบใจเย็น
นางเพียงทำตามสิ่งที่ใจปรารถนา ถึงแม้เกิดเรื่องราวมากมายและจุดชนวนความบาดหมางกับคนไม่น้อย หลายครั้งหลายคราที่นางกระทำเช่นนั้นก็เป็นเพราะนางไม่มีทางเลือกและนางก็ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงตนเองหรือว่ารังแกมิตรสหายได้
“ฮ่าๆๆ การทำตามหัวใจไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย”
เฟิงหรูเซียวหัวเราะเบาๆด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
บางครั้งบางครา คนๆหนึ่งก็แบกภาระรับหน้าที่ความรับผิดชอบไว้มากมายจนยากที่จะทำตามความปรารถนาในหัวใจของตนเองได้
ในดินแดนที่ผู้แข็งแกร่งได้รับความเคารพเหนือผู้ใด คนๆหนึ่งจะต้องมีระดับพลังที่เหนือกว่าผู้อื่นหรือมีความเชื่อที่แรงกล้า มิฉะนั้นก็ยากที่จะทำตามหัวใจตนเองได้
“แม่นางอวี้โม่ ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลนาง”
เฟิงจิงเทียนยิ้มให้กับฉินอวี้โม่ก่อนหันไปมองฉินเทียน “ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน ข้าก็ขอบคุณท่านมากเช่นกันที่ช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อสิบปีก่อน”
“เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วเลย ท่านขอบคุณข้าหลายครั้งแล้ว หากท่านยังจะเอ่ยขอบคุณต่อไป ข้าก็คงรู้สึกอึดอัดที่จะนั่งอยู่ตรงนี้อีก”
ฉินเทียนเป็นคนอาจหาญและเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกใดๆ
ก่อนหน้านี้เฟิงจิงเทียนก็ได้แสดงการขอบคุณต่อเขาและเขาก็รับมันไว้แล้ว ถือเป็นโชคชะตาลิขิตที่เขาช่วยชีวิตเฟิงจิงเทียนในวันนั้น ทว่าด้วยลักษณะนิสัยของเขา ฉินเทียนไม่ต้องการอะไรตอบแทนจากเฟิงจิงเทียน
“จิงเทียน ในเมื่อผู้นำฉินกล่าวเช่นนี้ เจ้าก็อยากไปเซ้าซี้เลย ต้นกำเนิดความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฉินและตระกูลเฟิงนั้น ไม่จำเป็นต้องเท้าความให้ยืดยาวหรอก”
เฟิงหรูเซียวยิ้มพลางกล่าวกับบุตรชาย เขาเองก็รู้สึกชื่นชมฉินเทียนมาก เพียงแต่ไม่เอ่ยออกไปเท่านั้น
“ได้ยินมานานแล้วว่าผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬนั้นแกร่งกล้าสามารถและเรียบง่ายไร้กฎเกณฑ์ เมื่อได้พบกันครานี้ ข้าเชื่อแล้วว่าสมดังคำร่ำลือจริงๆ หากมีโอกาสในภายภาคหน้าข้าคงต้องไปเยือนขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬและสานสัมพันธ์ระหว่างพวกเราทั้งสองตระกูล”
เฟิงหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนเองในวงสนทนาเช่นกัน อายุของเขาไม่ห่างจากฉินเทียนเท่าไหร่นัก แม้ว่าไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวของขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬมามากมายและเฟิงหมิงชื่นชมฉินเทียนอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว
เมื่อได้พบกันในวันนี้ ความชื่นชมที่เขามีต่อฉินเทียนก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก
ต้องยอมรับเลยว่าฉินเทียนเป็นคนเรียบง่ายและชัดเจนตรงไปตรงมา จิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของเขาไม่ด้อยไปกว่าใครในบรรดายอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนอ้างว้างเลย
แม้แต่เขาเฟิงหมิงที่ภาคภูมิใจในความสามารถของตนเองมาเสมอก็ยังต้องรู้สึกอับอายเล็กน้อย
คู่พ่อลูกฉินเทียนและฉินอวี้โม่นี้ ตราบใดที่ทั้งสองยืนหยัดท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ พวกเขาจะต้องเป็นคนที่เจิดจรัสที่สุดในใต้หล้าจนไม่มีใครมองข้ามได้อย่างแน่นอน
“เชิญได้เลย เฟิงหมิง ข้ายินดีต้อนรับ ข้าเองก็เหมือนกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ที่ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ”
ฉินเทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดกับเขาอย่างไร จุดประสงค์เดียวของเขาในตอนนี้คือการตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพื่อที่ครอบครัวจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาทำได้เพียงแต่แสวงหาหนทางเพื่อบรรลุจุดประสงค์นี้และเติมเต็มความปรารถนาของตนเอง
“อีกอย่าง…ไม่ต้องสุภาพกันนักหรอก เรียกแค่ชื่อของข้าก็พอ”
เมื่อเห็นเฟิงหมิงและเฟิงจิงเทียนที่ยังคงเอ่ยเรียกเขาอย่างสุภาพ ฉินเทียนก็ยิ้มบางๆ เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นเอ่ยวาจาที่สุภาพเกินไปและดูเป็นพิธีรีตองเช่นนี้
“ในเมื่อท่านเอ่ยเช่นนั้น การเคารพก็ย่อมเทียบไม่ได้กับการทำตามคำสั่ง”
เฟิงหมิงยิ้มตอบและไม่ใช้วาจาที่เป็นทางการอีก
ฉินอวี้โม่มองเฟิงหมิงอย่างสงสัยใคร่รู้ นางสัมผัสได้ว่าสถานะของเฟิงหมิงผู้นี้ในตระกูลเฟิงไม่ได้ต่ำต้อยและไม่ใช่เป็นแค่พ่อบ้านธรรมดาๆอย่างแน่นอน
“พี่อวี้โม่ ท่านอาเฟิงหมิงถือได้ว่าเป็นบุตรบุญธรรมของท่านปู่ ถึงแม้ภายนอกเขาจะเป็นเพียงพ่อบ้าน ทว่าท่านปู่ก็รักเขามาก ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของท่านอายังเหนือกว่าท่านพ่อของข้าเสียอีก หากไม่ใช่เพราะเขายืนกรานปฏิเสธ ท่านปู่ก็คงจะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงให้เขาไปแล้ว”
เสี่ยวเหยียนเอ่ยอธิบายฉินอวี้โม่เบาๆ เห็นได้ชัดว่านางทั้งรักและเคารพเฟิงหมิงอย่างมาก
ทั้งตระกูลเฟิง นอกเหนือจากเฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียน ก็มีเฟิงหมิงผู้นี้ที่ดีกับนางที่สุดและเป็นเหมือนญาติแท้ๆของนางคนหนึ่ง เพราะเหตุนั้นเสี่ยวเหยียนจึงรู้สึกรักเฟิงหมิงมาก
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเมื่อได้ยินคำอธิบายจากน้องสาวและเข้าใจเรื่องราวมากขึ้นเล็กน้อย
นางแอบตรวจสอบสภาวะพลังของเฟิงหมิงอย่างลับๆและพบว่าตนเองไม่สามารถมองทะลุได้ถึงสภาวะพลังของเขา
หากแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่สามารถตรวจสอบสภาวะพลังของเขา เช่นนั้นก็คาดการณ์ได้ว่าอย่างน้อยที่สุดความแข็งแกร่งของเขาก็น่าอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด
ฉินอวี้โม่ไม่อาจมองเห็นและทำความเข้าใจสภาวะพลังของผู้นำตระกูลอย่างเฟิงหรูเซียวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในดินแดนอ้างว้างก็มีการยับยั้งสภาวะพลังอยู่ ความแข็งแกร่งของเฟิงหรูเซียวน่าจะอยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดเช่นกันและไม่สามารถทะลวงพลังผ่านขอบเขตจ้าวสุริยะไปได้
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็นั่งรับประทานอาหารร่วมกันและพูดคุยกันอย่างครึกครื้น
“ท่านผู้นำ นายน้อยเฟิงอู๋มาขอพบท่านขอรับ”
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม
โดยปกติแล้วเฟิงอู๋สามารถเดินเข้ามาได้โดยตรง ทว่าวันนี้เฟิงหรูเซียวได้กำชับไว้ว่าหากมีแขกคนสำคัญมาเยือน ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ต้องส่งคนเข้ามารายงานเขาก่อน
เพราะเหตุนั้นบุรุษหนุ่มคนนี้จึงเดินเข้ามาเพื่อรายงาน
บัดนี้เฟิงอู๋รออยู่หน้าประตูด้วยความงุนงงเล็กน้อย เขาไม่ได้พบฉินอวี้โม่และฉินเทียนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาและฉงนสงสัยเกี่ยวกับความผิดปกติของเฟิงหรูเซียวในวันนี้ เขาอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าตอนนี้เฟิงหรูเซียวกำลังรับแขกคนใดอยู่
“นายน้อยเฟิงอู๋ เชิญเข้าไปได้ขอรับ”
หลังจากรายงานต่อผู้นำตระกูล บุรุษหนุ่มก็วิ่งออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมส่งยิ้มให้กับเฟิงอู๋และนำทางเขาเข้าไปข้างใน
ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในบริเวณห้อง เฟิงอู๋ก็มองเห็นฉินอวี้โม่ซึ่งนั่งถัดจากเสี่ยวเหยียนพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ในอีกด้านหนึ่ง ฉินเทียนก็มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเช่นกัน
เฟิงอู๋ชะงักค้างไปเล็กน้อยและใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวทันที ไม่คิดเลยว่าคู่อริตัวร้ายที่เขาชิงชังเข้ากระดูกจะปรากฏอยู่ที่นี่ได้
“ฉินอวี้โม่ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ เฟิงอู๋ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ เขาและฉินอวี้โม่ยังคงมีเรื่องบาดหมางค้างคากันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฉินอวี้โม่หยามเกียรติราวกับตบหน้าเขาฉาดใหญ่มาหลายครั้งจนเฟิงอู๋ผู้ยโสโอหังแทบทนไม่ไหว
“ฮ่าๆๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆซึ่งดูยียวนอย่างที่สุด นางไม่มีความคิดและความจำเป็นที่จะต้องอธิบายกับเฟิงอู๋ให้เปลืองเวลา
“เหอะ ที่นี่คือตระกูลเฟิง มันก็ต้องเกี่ยวข้องกับข้าอยู่แล้ว เจ้าหยามเกียรติข้าซ้ำแล้วซ้ำแล้วและยั่วยุตระกูลเฟิงอย่างไม่เห็นหัวตระกูลเฟิงแม้แต่น้อย ไม่นึกเลยว่าวันนี้เจ้าจะกล้าเสนอหน้ามาถึงที่นี่ ทำไมกัน? เจ้าพยายามจะหลอกลวงอะไรตระกูลเฟิงของข้างั้นรึ?”
เฟิงอู๋แค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ เขาไม่สนใจบรรยากาศกลมกลืนปรองดองระหว่างฉินอวี้โม่และคนอื่นๆแม้แต่น้อย
“สามหาว! เจ้ากล้าพูดกับผู้มีพระคุณของพวกเราแบบนี้ได้อย่างไร?!”
เฟิงหรูเซียวทนไม่ไหวและตะโกนออกมาทันทีพร้อมมองเฟิงอู๋ด้วยแววตาตำหนิ
“ผู้มีพระคุณอย่างนั้นรึ?”
เฟิงอู๋ถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะและตกใจปนงุนงง ฉินอวี้โม่กลายเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่?
“เหอะ ผู้นำฉินเทียนเคยช่วยชีวิตลุงของเจ้าไว้เมื่อสิบปีก่อน และไม่กี่เดือนก่อน แม่นางฉวี้โม่ก็ช่วยดูแลและปกป้องเสี่ยวเหยียนเป็นอย่างดี หากทั้งสองไม่ใช่ผู้มีพระคุณของตระกูลเฟิงของเราแล้วพวกเขาเป็นอะไร?”
เฟิงหรูเซียวแค่นเสียงอย่างเย็นชา เขาไม่พอใจเฟิงอู๋อย่างที่สุด
เฟิงอู๋เป็นหลานชายของน้องชายเฟิงหรูเซียวและบิดาของเขาก็มีศักดิ์เป็นหลานของเฟิงหรูเซียวเช่นกัน
เฟิงหรูเซียวมีความสัมพันธ์ที่ดีและสนิทสนมกับปู่ของเฟิงอู๋เป็นอย่างมาก เพียงแต่ปู่ของเฟิงอู๋ไม่แข็งแรงเท่าไหร่นักและก็เสียชีวิตไปตั้งแต่ที่เฟิงอู๋ยังเด็ก
บิดาของเฟิงอู๋มีอายุมากกว่าเฟิงจิงเทียนเพียงไม่กี่ปีและเขาก็ปักใจเชื่อมาเสมอว่าเฟิงหรูเซียวเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้ครองตำแหน่งผู้นำตระกูล เขาจึงชิงชังเฟิงหรูเซียวอย่างที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป เฟิงอู๋ก็ค่อยๆซึมซับความคิดนั้นและปักใจเชื่อเหมือนกับบิดาของตนเองเช่นกัน เขาคิดมาตลอดว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลเฟิงควรเป็นของเขา ทว่าผู้นำตระกูลเฟิงคนปัจจุบันอย่างเฟิงหรูเซียวก็ไม่ชอบหน้าเขาเท่าไหร่นัก เขาเชื่อว่านั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไป
เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กับเฟิงหรูเซียว ทว่าแม้พยายามทำหลายวิธีเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลมาครอง เขาก็ไม่เคยพบทางใดที่เกิดผล
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เฟิงอู๋คิดเช่นนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาก็ยังรักษาท่าทีและควบคุมตัวเองได้ อีกทั้งแสดงออกด้วยท่าทางเคารพนอบน้อมต่อเฟิงหรูเซียว แม้ว่าเฟิงหรูเซียวและคนอื่นๆทราบดีว่าแท้จริงแล้วในใจของเฟิงอู๋คิดอย่างไร ทว่าก็ไม่มีใครเอ่ยออกไปตรงๆ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถือว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด เรื่องบางเรื่องพวกเขาก็ไม่ต้องการเอ่ยออกไปอย่างชัดเจน
“ฮ่าๆๆ ท่านผู้นำ อย่าให้คนพวกนี้หลอกท่านได้ ฉินอวี้โม่คนนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก อีกทั้งผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน ตอนนี้ทั้งสองรวมหัวกันตบตาและต้องการบางอย่างจากท่าน หากท่านปู่หลงเชื่อพวกเขาล่ะก็ มันจะเป็นอันตรายต่อตระกูลอย่างมาก”
เฟิงอู๋กล่าวออกมา สีหน้าแววตาของเขาเปี่ยมด้วยความยั่วยุเมื่อมองไปที่ฉินอวี้โม่
แม้เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และรู้พลังความแข็งแกร่งอันน่าเกรงขามของนาง ทว่าเฟิงอู๋ก็ยังคงใจกล้าและไม่หวาดหวั่น เขาและพวกมีแผนการบางอย่างอยู่แล้ว และในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครานี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องทำให้สำเร็จและจะล้มเหลวไม่ได้
“เฟิงอู๋ เจ้าคิดว่าข้าตามืดบอดและมองไม่เห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้างั้นรึ?!”
เฟิงหรูเซียวกล่าว น้ำเสียงของเขาเผยความดุดันอย่างไม่ปิดบัง
“ฮ่าๆๆ ข้าก็แค่นึกถึงประโยชน์ของตระกูลเฟิงเป็นหลัก ท่านปู่..ท่านเป็นผู้นำตระกูลเฟิงมานานหลายปี ใช่ว่าท่านจะไม่เคยตัดสินใจอะไรผิดพลาดสักหน่อย”
เฟิงอู๋ยังไม่ยอมลดละและกล่าวด้วยความมั่นใจ
“เอาล่ะ บอกข้ามาว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เฟิงหรูเซียวไม่อยากพูดอะไรให้ยืดยาวต่อไป เฟิงอู๋ผู้นี้หลงเชื่อในทางที่ผิดจนมิอาจกู้กลับได้แล้ว เกรงว่าความเอื้ออารีและความถ่อมตนได้หายสาบสูญไปจากหัวใจของเขามานานแล้ว
“ท่านผู้นำขอรับ ข้าเพียงมาถามไถ่ อีกไม่ถึงห้าวันก็จะถึงงานเลี้ยงแล้ว เราต่างก็รู้ดีว่างานนี้จัดขึ้นเพื่อประกาศให้ทุกคนได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวเหยียน ข้าจึงอยากถามว่ามีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้รึไม่? และแผนการสำหรับงานนี้เป็นอย่างไร?”
เฟิงอู๋ไม่อยากพูดอะไรให้ยืดยาวและละสายตาไปจากฉินอวี้โม่ ความบาดหมางระหว่างพวกเขาจะได้รับการสะสางที่งานเลี้ยงนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือตำแหน่งผู้นำตระกูลที่เขาใฝ่ฝัน ส่วนเรื่องๆอื่นนั้นหารือกันในภายหลังก็ยังไม่สายเกินไป
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก แค่จัดการดูแลตัวเองและไม่สร้างปัญหาที่งานเลี้ยงของเราก็พอ”
เฟิงหรูเซียวเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างไม่ไว้หน้าเฟิงอู๋