“ฮ่าๆๆ ท่านผู้นำไม่ต้องกังวลไปหรอกขอรับ งานเลี้ยงครานี้จัดขึ้นเพื่อให้น้องเสี่ยวเหยียนระลึกถึงบรรพบุรุษและกลับเข้าสู่ตระกูลอย่างเป็นทางการ ข้าก็ถือเป็นพี่ชายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะห่างเหินกันมาก แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องมีของขวัญที่น่าตกใจมอบให้กับนางอย่างแน่นอน”
เฟิงอู๋ยิ้มอย่างมีความหมายและกล่าวต่อ “ในเมื่อไม่มีอะไรให้ข้าช่วย ข้าก็ขอตัวกลับก่อน ตลอดช่วงเวลานี้ข้าจะไม่ได้มาที่นี่อีก ไว้พบกันในวันงานเลี้ยงขอรับ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็มองไปที่ฉินอวี้โม่และฉินเทียนอย่างเป็นปรปักษ์อีกครั้งก่อนหันหลังเดินจากไป
“เหอะ เจ้าเฟิงอู๋นี่ชักจะโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ!”
เฟิงหมิงแค่นเสียงและกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
พักหลังมานี้เฟิงอู๋ยโสโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดว่าอำนาจและความแข็งแกร่งของตนเองถือว่าไม่เป็นรองใครและทัดเทียมกับคนอื่นในตระกูลเฟิง อย่างไรก็ตาม เฟิงหรูเซียวและคนอื่นๆก็แอบจับตาดูการเคลื่อนไหวของเฟิงอู๋อยู่ตลอดเวลา
“ท่านพ่อ ท่านต้องการจัดการกับเขาก่อนถึงงานเลี้ยงรึไม่?”
เฟิงจิงเทียนสบตาเฟิงหรูเซียวโดยที่ทั้งฉินอวี้โม่และฉินเทียนก็ยังนั่งอยู่ที่นี่
“ไม่ล่ะ ข้าอยากเห็นว่าเฟิงอู๋ต้องการจะทำอะไร”
เฟิงหรูเซียวส่ายศีรษะพร้อมมีสีหน้าที่เรียบเฉยใจเย็น เขามองฉินอวี้โม่และฉินเทียนขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง ฉินเทียนและเสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็มีเรื่องบาดหมางอยู่กับเฟิงอู๋และกลุ่มของเขา ข้าคิดว่าพวกเขาก็น่าจะต้องการต่อสู้กับเฟิงอู๋ในงานเลี้ยงครั้งนี้เช่นกัน”
“ฮ่าๆๆ ผู้นำเฟิงพูดถูกแล้ว เราอยากรู้นักว่าพวกเขาจะเตรียมการอะไรไว้ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเราทั้งสองเป็นต้นเหตุ และเราก็อยากจะสะสางปัญหาด้วยตัวเอง”
ฉินเทียนยิ้มพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสี่ยงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
จูอวิ๋นชาง ไห่ป้าหวังและเฟิงอู๋ที่ร่วมมือกัน ฉินเทียนไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร เขารู้เพียงว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ในเมื่อฉินเทียนมีเรื่องขุ่นเคืองใจกับพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว เขาก็ย่อมไม่มีปัญหาที่จะสะสางทุกอย่างในงานเลี้ยงของตระกูลเฟิง
ส่วนฉินอวี้โม่และเฟิงอู๋ก็มีเรื่องบาดหมางกันมาหลายครั้งหลายครา และก่อนหน้านี้ทั้งสองก็เคยประกาศกร้าวไว้ว่าจะประจันหน้ากันอีกครั้งที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิง
“ท่านพ่อ อย่ากังวลไปเลย ไม่ว่าพวกเขาจะวางแผนชั่วร้ายอะไรไว้ ภายใต้พลังอำนาจที่แท้จริง พวกเขาก็ย่อมไม่มีโอกาสชนะ”
เสี่ยวเหยียนยิ้มพลางกล่าวปลอบประโลมเฟิงจิงเทียน
นางเชื่อในความแข็งแกร่งของฉินเทียนและฉินอวี้โม่อย่างสุดหัวใจ ทว่าแผนการความขัดแย้งทั้งหมดในตระกูลเฟิงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เป็นเพราะนางกลับมาที่ตระกูล เสี่ยวเหยียนอดรู้สึกผิดอยู่ในใจไม่ได้ที่เป็นต้นเหตุของความวุ่นวายในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม นางเข้าในดีว่าเรื่องนี้ถูกลิขิตไว้ให้เกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว การมาถึงของนางเพียงทำให้เฟิงอู๋มีข้ออ้างในการก่อเรื่องเท่านั้น
หลังจากได้พูดคุยสนทนากับคนตระกูลเฟิงเป็นพักใหญ่ ฉินเทียนและฉินอวี้โม่ก็ขอตัวกลับไปยังจวนของตระกูลฉู่
เมื่อมาถึงที่พัก ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆก็รอพบทั้งสองอยู่หน้าประตูแล้ว
ฉินอวี้โม่ก็เล่าให้ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนตระกูลเฟิงเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลอะไร
“เหอะ ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าเฟิงอู๋คิดจะทำอะไร?!
ซูเสี่ยวจวิ้นแค่นเสียงในลำคอ แม้ว่านางยังอายุน้อย น้ำเสียงนางก็เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความดุดัน
เพราะการที่ฉินอวี้โม่มีเรื่องบาดหมางกับเฟิงอู๋ตั้งแต่แรกนั้น มันก็มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มของฉีอวิ๋นเหล่ยเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะฉินอวี้โม่เข้าไปช่วยฉีอวิ๋นเหล่ยไว้ในตอนนั้น นางก็คงไม่มีเรื่องขัดแย้งใดๆกับเฟิงอู๋
แม้ว่าฉินอวี้โม่พูดอยู่เสมอว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆเป็นมิตรสหายที่ดีของนาง ทว่าทุกๆครั้งที่ตกอยู่ในอันตรายก็เป็นสตรีผู้นี้ที่ได้ช่วยพวกเขาไว้ ทว่าพวกเขากลับไม่เคยทำอะไรเพื่อตอบแทนนางเลย
ถึงแม้ว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆจะไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าในงานเลี้ยงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะยืนหยัดตรงหน้าฉินอวี้โม่และไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรนางได้
ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นบุตรสาวของฉินเทียนผู้เก่งกาจ พวกเขาก็โล่งใจขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงที่ตระกูลเฟิงครานี้ ไม่ว่าเฟิงอู๋จะวางแผนอะไรไว้ พวกเขาก็จะยืนหยัดต่อสู้ไปกับฉินอวี้โม่ด้วย
“ฮ่าๆๆ พวกเราจะยืนอยู่ข้างท่านพี่เช่นกัน”
ฉู่เจี๋ยยิ้มและแสดงจุดยืนของตนเองซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ฉู่เจี๋ยไม่ชอบหน้าเฟิงอู๋เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้ฉินอวี้โม่ก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาและเขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากฉินอวี้โม่ในการสร้างเส้นชีพจรของตนเองขึ้นใหม่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะอยู่ฝ่ายเดียวกับฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าคนตระกูลฉู่ก็ไม่คัดค้านทางเลือกของฉู่เจี๋ย
พวกเขาไม่ถูกกับเฟิงอู๋ตั้งแต่แรกและเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขารู้สึกชื่นชมนางจากใจจริง เพราะเหตุนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึง พวกเขาจะปกป้องฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่และไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง
แม้ว่าตระกูลฉู่ส่งคนมาเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เพียงไม่มาก สถานะของพวกเขาในฐานะหนึ่งในตระกูลลับก็เพียงพอที่จะทำให้หลายขุมกำลังหวาดหวั่นได้
“ขอบคุณทุกคนมาก”
เมื่อได้รู้ความคิดของบรรดามิตรสหายของนาง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆและเอ่ยขอบคุณทุกคน
“พี่อวี้โม่ เราเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันและกัน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะเกาะแขนนางไว้
“ใช่แล้ว เราเป็นมิตรสหายกัน ไม่ต้องขอบคุณกันหรอก”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆเห็นด้วยเช่นกัน
“หนุ่มสาวทั้งหลาย ไม่ต้องกังวลไป การที่มีข้าอยู่ทั้งคน จะไม่มีใครหน้าไหนที่ทำอะไรเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้”
ฉินเทียนประทับใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นความสามัคคีรักใคร่ของคนหนุ่มสาวตรงหน้า เขายิ้มออกมาและมองฉินอวี้โม่ด้วยความรักพร้อมกล่าวออกมาอย่างน่าเกรงขาม
“ท่านลุงฉินเจ้าคะ ท่านกับพวกเราก็คนละส่วนกัน พวกเรารู้ดีว่าท่านปกป้องพี่อวี้โม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็จะยืนหยัดเคียงข้างพี่อวี้โม่เช่นกัน”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแววตามั่นคง
“ดีเลย ดีเลย พวกเจ้าเป็นเด็กที่ดีจริงๆ”
ฉินเทียนยิ้มพลางไตร่ตรองครู่หนึ่งและเอ่ย “อวิ๋นเหล่ย เสี่ยวจวิ้น พ่อของพวกเจ้าจะมาที่นี่รึไม่?”
ฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นส่ายศีรษะและกล่าวตอบ “ข้าไม่ได้ข่าวจากพวกเขาเลยขอรับ ตอนนี้พวกเขากำลังเก็บตัวฝึกยุทธ์และไม่มีเวลามาที่งานเลี้ยงนี้ เกรงว่าจะต้องรอจนถึงงานชุมนุมวายุเมฆาจึงจะได้พบพวกเขา”
ซูเสี่ยวจวิ้นและฉีวิ๋นเหล่ยกล่าวตอบ บิดาของทั้งสองจะไม่เดินทางมาเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครั้งนี้
ดินแดนอ้างว้างหาได้สงบราบรื่นอย่างที่เห็น ในฐานะบุคคลสำคัญผู้ทรงอิทธิพลของดินแดน บิดาของฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นจึงต้องหมั่นฝึกวิชาให้แกร่งกล้าเพื่อป้องกันเหตุด่วนเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
เมื่อได้ยินคำตอบ ฉินเทียนก็พยักศีรษะเบาๆ เขาก็รู้จักนิสัยใจคอของทั้งสองเป็นอย่างดี
หากไม่ใช่เพราะทราบว่าฉินอวี้โม่จะมาที่นี่ ฉินเทียนก็คงไม่เดินทางมาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ตระกูลเฟิงแห่งนี้ เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ก็เพื่อพบบุตรสาวของตนเองเท่านั้น
ฉินเทียนเองก็ท่องอยู่ในดินแดนอ้างว้างมานานกว่าสิบปีแล้วและเข้าใจสถานการณ์ของดินแดนนี้พอสมควร เขาสัมผัสได้ว่าในอนาคตอันใกล้จะมีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในดินแดนอ้างว้าง
แม้ว่าเขาไม่ใช่คนชาวพื้นเมืองที่กำเนิดขึ้นมาในดินแดนแห่งนี้ ทว่าการคลุกคลีอยู่กับมันมานานหลายปี เขาก็รู้สึกผูกพันกับดินแดนอ้างว้างไปโดยปริยาย ฉินเทียนหวังว่าหากวันหนึ่งมีเหตุการณ์อันเลวร้ายเกิดขึ้นในดินแดนอ้างว้าง เขาจะได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญนั้นไม่มากก็น้อย
เพราะเช่นนั้นฉินเทียนจึงทุ่มเทหมั่นเพียรฝึกวรยุทธ์มาโดยตลอด
ในอดีตที่ผ่านมา บิดาของฉีอวิ๋นเหล่ยและซูเสี่ยวจวิ้นต่างก็แข็งแกร่งกว่าฉินเทียนมาก ทว่าบัดนี้ฉินเทียนมั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างแน่นอน
“ยังมีเวลาอีกสี่วันก่อนถึงงานเลี้ยง พวกเจ้าต้องพักผ่อนให้เต็มที่และทำจิตใจให้มั่นคง หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิง พวกเจ้าจะได้รับมือกับมันได้อย่างเหมาะสม”
ฉินเทียนยิ้มและกล่าวกับหนุ่มสาวทุกคน
ฉีอวิ๋นเหล่ย ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกัน บัดนี้สีหน้าของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและความมั่นใจ
เวลาสี่วันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา
ในตอนเช้าตรู่ของวันนี้ เสี่ยวเหยียนก็ปรากฏตัวที่จวนที่พักของตระกูลฉู่
“เสี่ยวเหยียน เจ้าเป็นตัวเอกของงานเลี้ยงในวันนี้ เหตุใดจึงมาหาพวกเราได้ล่ะ?”
เสี่ยวเหยียนสวมอาภรณ์ชุดสีม่วงหรูหราเสริมบุคลิกร่าเริงของนางให้ดูน่ารักและงดงามยิ่งขึ้น ส่วนซูเสี่ยวจวิ้นก็สวมชุดสีเขียวตัดกับผิวขาวผ่องชวนมองจนดูน่ารักไม่ต่างกัน เด็กสาวทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วยกันดูราวกับคู่พี่น้องที่สะดุดสายตาของผู้คนเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวจวิ้น ข้าไม่มีอะไรให้ทำเลย ข้าจึงมารับเจ้าที่นี่เพื่อที่จะได้ไปด้วยกัน”
เสี่ยวเหยียนยิ้มสดใส ไม่มีอะไรให้นางทำที่ตระกูลเฟิง แม้ว่าวันนี้นางถือเป็น ‘นางเอก’ ของงาน เฟิงหรูเซียวและคนอื่นๆก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว
ตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เสี่ยวเหยียน ซูเสี่ยวจวิ้นและคนอื่นๆใช้เวลาร่วมกันจนสนิทสนมกันแล้ว การที่ต่างฝ่ายต่างออกมาจากบ้านพักตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาพบและใช้เวลาร่วมกันไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
“โอ้ ดีเลย”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มเล็กน้อยและจับมือเสี่ยวเหยียนวิ่งตรงไปที่ห้องพักของฉินอวี้โม่ “ไปดูกันเถอะว่าวันนี้พี่อวี้โม่จะสวมชุดอะไร พี่อวี้โม่ของเรางดงามยิ่งนัก ไม่ว่าจะสวมอาภรณ์อะไร นางจะต้องตกเป็นเป้าสายตาดึงดูดใจทุกคนอย่างแน่นอน”
เสี่ยวเหยียนพยักศีรษะเห็นด้วยกับคำพูดของซูเสี่ยวจวิ้น
ทว่าเมื่อทั้งสองมาถึงห้องพักของฉินอวี้โม่ สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นว่านางสวมอาภรณ์บุรุษและสวมหน้ากากบดบังใบหน้าอีกครั้ง
“พี่อวี้โม่ วันนี้ท่านจะแต่งตัวแบบนี้ไปรึ?”
ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่อย่างสงสัยใครรู้ นางนึกว่าจะได้ยลโฉมความงดงามของอีกฝ่ายเสียอีก
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่อยากถูกสายตารายล้อมเหมือนกับสัตว์ประหลาดน่ะสิ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ นางเลือกแต่งกายเช่นนี้ซึ่งจะลดความสนใจของผู้คนได้มาก หากนางสวมอาภรณ์แบบสตรีไป แม้แต่ตัวนางเองก็ต้องยอมรับว่ามันจะโดดเด่นและดึงดูดสายตาผู้คนมากเกินไป
“ใช่แล้วล่ะ อันที่จริงนี่ก็ดูดีมากๆ หากพี่อวี้โม่เป็นบุรุษล่ะก็ ข้าคงอ้อนวอนขอแต่งงานกับพี่อวี้โม่ไปแล้วล่ะ”
ซูเสี่ยวจวิ้นเกาะแขนฉินอวี้โม่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสัตย์จริง
“ข้าก็ด้วย ฮิๆๆ”
เสี่ยวเหยี่ยนเกาะแขนอีกข้างของฉินอวี้โม่ แววตาของนางเป็นประกายสดใสและไม่ปกปิดความชื่นชมที่มีต่อฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย
“เจ้าทั้งสองมาประจบสอพลอข้าตั้งแต่เช้าตรู่เชียวนะ”
ฉินอวี้โม่โยกศีรษะ ‘น้องสาว’ ทั้งสองอย่างมันเขี้ยวขณะรอยยิ้มเล็กๆยกขึ้นที่มุมปาก
“ฮ่าๆๆ พวกเจ้าพร้อมกันหรือยัง?”
ฉินเทียนและคนอื่นๆที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยต่างก็เข้ามารวมตัวกันในห้องของฉินอวี้โม่
“ว้าวว พี่เสี่ยวเจี๋ย ไม่คิดเลยว่าท่านจะหล่อเหลาขนาดนี้”
ซูเสี่ยวจวิ้นและเสี่ยวเหยียนมองเห็นว่าฉู่เจี๋ยสวมอาภรณ์สีน้ำเงินที่ดูงดงามและอดเดินเข้าไปหาเพื่อแตะแก้มของเขาไม่ได้
เมื่อถูกเด็กสาวทั้งสองแตะพวงแก้ม ใบหน้าของฉู่เจี๋ยก็พลันแดงระเรื่อขึ้นทันที
“ฮ่าๆๆ พี่เสี่ยวเจี๋ยเขินจนหน้าแดงไปหมดแล้ว”
ซูเสี่ยวจวิ้นยิ้มอย่างชอบใจ นางรู้สึกถูกชะตากับนายน้อยตระกูลฉู่ผู้นี้มาก ก่อนหน้านี้นางก็ได้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหญ้าฟื้นชีวาด้วยความหวังว่าฉู่เจี๋ยจะหายจากสภาวะอ่อนแอและกลายเป็นเหมือนคนทั่วไป
“เอาล่ะ ในเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ หลายคนน่าจะไปถึงที่นั่นกันแล้วและเราไม่ควรไปสายเกินไป”
ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มและเมื่อดูเวลาก็พบว่าเป็นเวลาใกล้เที่ยง
เป็นเพราะความสัมพันธ์ของฉินอวี้โม่และตระกูลเฟิง งานเลี้ยงในวันนี้จึงจะครึกครื้นและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆจะไม่แปลกใจเลยหากว่ามีผู้คนมากมายเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้
ทุกคนพยักศีรษะด้วยกันและมุ่งหน้าตรงไปที่จวนตระกูลเฟิง
.