ณ จวนตระกูลเฟิง เฟิงหรูเซียวนั่งอยู่ในห้องหนังสือโดยมีเฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงยืนอยู่ตรงหน้า
“เทียนเอ๋อร์ หมิงเอ๋อร์ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วรึไม่?”
เฟิงหรูเซียวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ”
บุรุษทั้งสองมองหน้ากันและยิ้มออกมา
พวกเขารู้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครานี้อย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงเตรียมการบางอย่างไว้เป็นการล่วงหน้า
หากเฟิงอู๋กล้ากระทำการใดอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ พวกเขาก็จะไม่ปรานีเด็ดขาด
“เอาล่ะ นั่นเป็นเรื่องที่ดี งานเลี้ยงครานี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลเฟิงโดยตรง ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะปล่อยให้เกิดเหตุไม่คาดฝันไม่ได้”
เฟิงหรูเซียวกล่าวพร้อมพยักศีรษะ
“ใช่สิ แล้วหลานข้าไปไหนซะล่ะ?”
เนื่องจากไม่เห็นหน้าเสี่ยวเหยียนตั้งแต่เช้า แม้ว่าพอจะคาดเดาได้ลางๆ เฟิงหรูเซียวก็เอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ฮ่าๆๆ แน่นอนว่านางต้องไปที่จวนตระกูลฉู่”
เฟิงจิงเทียนยิ้มแย้ม เมื่อนึกถึงบุตรสาว สีหน้าของเขาก็เปี่ยมด้วยความรักและความเอ็นดู
“ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กน้อยนั่นและแม่นางอวี้โม่ถือว่าสนิทสนมกันดีทีเดียว”
เฟิงหรูเซียวส่ายศีรษะเบาๆและกล่าว “ถึงแม้ว่าแม่นางอวี้โม่และฉินเทียนจะไม่ใช่บุคคลที่ไร้เทียมทาน พวกเขาก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่มี หากเจ้าเด็กน้อยนั่นคลุกคลีอยู่กับพวกเขา นางจะต้องได้เรียนรู้จากพวกเขาไม่มากก็น้อย”
“ข้าเห็นด้วยกับท่านพ่อ ข้าคิดว่าหากมีพี่สาวอย่างแม่นางอวี้โม่ เราคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเสี่ยวเหยียน”
เฟิงจิงเทียนพยักศีรษะแสดงความเห็นด้วยกับวาจาของบิดา เขาไม่คัดค้านแม้แต่น้อยที่เสี่ยวเหยียนใช้เวลาอยู่ร่วมกับฉินอวี้โม่เป็นประจำ อีกทั้งเขายังสนับสนุนมากอีกด้วย
เสน่ห์และพรสวรรค์ที่ไม่เหมือนใครของฉินอวี้โม่ทำให้เขาชื่นชมและถูกชะตากับนางมาก ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการรับมือกับผู้คนของฉินอวี้โม่ก็ทำให้เฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงชื่นชมในตัวนาง หากว่าเสี่ยวเหยียนได้ฝึกวิชาและพัฒนาฝีมือกับฉินอวี้โม่ พวกเขาเชื่อว่านางจะเก่งกาจจนเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของดินแดนได้อย่างแน่นอน
“ได้ยินว่าพวกเขามาจากดินแดนตอนล่าง การที่บรรลุระดับพลังได้อย่างในตอนนี้ พรสวรรค์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ทว่ามันก็คงไม่เกิดประโยชน์หากปราศจากความเพียรพยายามของพวกเขาเอง”
เฟิงหมิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงสองพ่อลูกตระกูลฉิน เขาก็อดกล่าวแกมชื่นชมไม่ได้
ต้องยอมรับเลยว่าทั้งสองมีเสน่ห์ที่พิเศษไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง เมื่อใดที่มีใครได้ปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา พวกเขามักสร้างความรู้สึกที่ดีและความถูกชะตาจนคนมากมายอยากผูกมิตรเป็นสหายกับพวกเขา
“ใช่แล้วล่ะ พวกเจ้าก็ต้องหมั่นพัฒนาตนเองเช่นกัน ความแข็งแกร่งของพวกเจ้าในตอนนี้ยังไม่ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆแม้ในดินแดนอ้างว้างของเราก็ตาม หากวันหนึ่งพวกเจ้าต้องไปที่ดินแดนเทพมายาอันกว้างใหญ่และระดับพลังยังอยู่ที่เดิมล่ะก็ พวกเจ้าคงต้องกลายเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า”
เฟิงหรูเซียวยิ้มและย้ำเตือนเฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิง
“ท่านพ่อ เราเข้าใจแล้วขอรับ”
เฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงหน้ากันและตอบอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาจะทุ่มเทและหมั่นฝึกฝน พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ตระกูลเฟิงต้องเสื่อมถอยลงในมือของตนเอง
“ไปกันเถอะ คาดการณ์ได้ว่าคงจะมีผู้คนมากมายมากันพร้อมหน้าแล้ว เราควรออกไปต้อนรับและพบปะกับแขกของพวกเรา”
เฟิงหรูเซียวกล่าวพลางยิ้มด้วยความพึงพอใจและภาคภูมิใจในตัวบุตรชายและบุตรบุญธรรม
ในเมื่อทั้งสองไม่มีความสนใจในตำแหน่งผู้นำตระกูล เฟิงหรูเซียวก็ไม่ต้องไตร่ตรองอะไรให้มากมาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกันจริงๆ พรสวรรค์ของเสี่ยวเหยียนก็เหนือกว่าเฟิงจิงเทียนและเฟิงหมิงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการที่มีสหายอย่างฉินอวี้โม่ หากเสี่ยวเหยียนได้เป็นผู้นำตระกูล อนาคตของตระกูลเฟิงจะต้องรุ่งเรืองขึ้นมากอย่างแน่นอน
…….
ณ อีกฟากหนึ่ง ฉินอวี้โม่และพวกพ้องกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่จวนตระกูลเฟิง
ครานี้พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยคฤหาสน์เฟิงหัว หากแต่เดินเท้าตรงไปถึงจุดหมายด้วยตัวเอง
“ดูสิ นั่นฉินอวี้โม่และผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬนี่นา!”
ไม่นานหลังจากพวกเขาเดินออกมา ใครบางคนก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆและอดเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
“น่าเสียดายจริง แม่นางฉินอวี้โม่สวมหน้ากากจนไม่สามารถเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้”
ใครคนหนึ่งมองเข้าไปใกล้ๆและหลังจากยืนยันแล้วว่าคนเหล่านั้นคือฉินอวี้โม่และกลุ่มสหาย เขาก็ต้องพบกับความผิดหวังเล็กน้อย
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เรื่องราวของฉินอวี้โม่เลื่องลือไปทั่วเมืองเฟิงหวงและดินแดนอ้างว้าง หลายคนต้องการยลโฉมความงดงามของนางและตัดสินใจเดินทางมาที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงซึ่งผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่ก็มาเพื่อจุดประสงค์นี้
ทว่าการแต่งกายของฉินอวี้โม่ในวันนี้ทำให้พวกเขาต้องพบกับความผิดหวัง
“ไม่สำคัญหรอก ไปที่จวนตระกูลเฟิงกันก่อนเถอะ บางทีแม่นางฉินอวี้โม่อาจจะถอดหน้ากากในงานเลี้ยงก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราจะได้ยลโฉมใบหน้าที่แท้จริงของนาง”
อีกคนเอ่ยขึ้นและเดินตรงไปในทิศทางของจวนตระกูลเฟิง
“อาจจะเป็นไปได้”
คนอื่นๆก็เห็นด้วยและรีบมุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลเฟิงอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี้โม่ ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของท่านจะกว้างไกลจริงเชียว!”
เสี่ยวเหยียนและซูเสี่ยวจวิ้นเกาะแขนฉินอวี้โม่คนละข้าง หากคนที่พบเห็นไม่รู้จักพวกนาง พวกเขาคงจะคิดว่าดรุณีสองนางนี้เป็นบุคคลที่ปลาบปลื้มและคลั่งไคล้ในตัวฉินอวี้โม่
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเหยียนและซูเสี่ยวจวิ้นไม่สนใจคำพูดของคนอื่น แม้ว่าวันนี้ฉินอวี้โม่สวมอาภรณ์แบบบุรุษ พวกนางก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันไม่เปลี่ยน
“ก็ต้องแบบนั้นน่ะสิ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ชื่อเสียงของพี่อวี้โม่แพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดน ต่อให้เป็นสตรีโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนก็คงต้องอับอายที่พ่ายแพ้ต่อความงามของพี่อวี้โม่”
ซูเสี่ยวจวิ้นกล่าวพลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“พวกเจ้าทั้งสอง เบาเสียงและสงวนท่าทีหน่อยเถอะ”
ฉีอวิ๋นเหล่ยอดเอ่ยปรามไม่ได้เมื่อได้ยินวาจาไม่กระดากอายของเด็กสาวทั้งสอง
แม้ว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้มีตำแหน่งนั้น สตรีงามอันดับหนึ่งของดินแดนก็มีความงามที่ด้อยกว่านางจริงๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องสงวนท่าทีและไม่ทำอะไรโดดเด่นเกินไป ถึงอย่างไร ปืนก็ย่อมยิงนกที่ยื่นหัวออกมา บางคราการยืนเป็นจุดเด่นก็ดึงดูดความริษยาได้ง่ายซึ่งอาจนำภัยมาสู่ตัว
**枪打出头鸟 ปืนยิงนกที่ยื่นหัวออกมา หมายถึง จะทำอะไร อย่าให้เด่นเกินไป เพราะจะส่งภัยแก่ตัว
“พวกเรารู้แล้วน่า…”
ซูเสี่ยวจวิ้นและเสี่ยวเหยียนแลบลิ้นออกมาอย่างล้อเลียนและไม่พูดอะไรอีก
จวนที่พักของตระกูลฉู่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลเฟิง ภายในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป ทุกคนก็เดินมาถึงหน้าประตูแล้ว
ขณะพวกเขากำลังจะก้าวเข้าไปข้างใน พวกเขาก็มองเห็นเฟิงอู๋และจูอวิ๋นชางย่างสามขุมเข้ามาหา
“ฉินอวี้โม่ ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่ ซูเสี่ยวจวิ้น ไม่ได้พบกันเสียนาน!”
เฟิงอู๋กัดฟันแน่นขณะมองฉินอวี้โม่และคณะเดินทางพร้อมเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเจือความมุ่งร้าย
“ฉินเทียน ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ใบหน้าของจูอวิ๋นชางประดับด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ขณะมองฉินเทียนและเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฉินอวี้โม่ เจ้านั่นเอง!”
จูฉีมองฉินอวี้โม่ตาเขม็ง เขาไม่เคยลืมความอับอายที่ฉินอวี้โม่ได้สลักลึกในใจเขาที่หุบเขาหงส์ร่วง
เมื่อได้พบนางอีกครั้งในวันนี้ หัวใจของเขาจึงมีเพียงความชิงชังและความอาฆาตมาดร้ายอย่างเต็มเปี่ยม
“เหอะ จูฉี เจ้าคือคนที่ร่วมมือกับพวกคนใจคดในหุบเขาหงส์ร่วงและทำร้ายชาวบ้านจันทราใช่รึไม่?”
ฉินอวี้โม่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หากแต่เป็นเสี่ยวเหยียนที่ก้าวออกข้างหน้าเล็กน้อยและจ้องหน้าจูฉีตาเขม็ง
“เจ้าคือ…”
นี่เป็นครั้งแรกที่จูฉีได้พบเสี่ยวเหยียน เขาจึงประหลาดใจและงุนงงไม่น้อย
“นางคือน้องสาวที่พลัดพรากของข้า—เฟิงมู่เหยียน ว่ากันว่านางเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจันทราเป็นเวลานานทีเดียว”
เฟิงอู๋กล่าวอธิบายกับจูฉี
เมื่อจูฉีได้รู้ถึงตัวตนของเสี่ยวเหยียน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่รู้มาก่อนว่าเสี่ยวเหยียนมาจากหมู่บ้านจันทรา บัดนี้ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว เพียงแต่ยังมีเรื่องที่น่ากังวล
หากว่าเสี่ยวเหยียนต้องการเอาคืนให้กับชาวบ้านจันทรา เขาไม่มั่นใจว่าบิดาจะปกป้องเขาหรือไม่
“เสี่ยวเหยียน ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเก่าหรอก จูฉีผู้นี้ได้รับบทเรียนตามที่สมควรแล้ว เพียงแต่ข้าคิดว่าเขาคงจะมีความจำที่ไม่ดีนัก หากต้องย้ำเตือนความทรงจำของเขาในงานเลี้ยงครั้งนี้ข้าก็ไม่ติดขัด”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆอย่างที่ไม่เห็นจูฉีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริง ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นจูฉี จูตี๋หรือเฟิงอู๋ พวกเขาก็ไม่สามารถสร้างความกดดันใดๆให้กับนางได้ มีเพียงจูอวิ๋นชาง ไห่ป้าหวังหรือคนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะทำให้นางรู้สึกถึงความกดดันและคิดว่าการรับมือกับพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย
“เจ้า…! “
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ จูฉีก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เขามองฉินอวี้โม่อย่างอาฆาตมาดร้ายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ฉินอวี้โม่ ข้าจะปล่อยให้เจ้ายโสโอหังไปก่อน ในงานเลี้ยงหลังจากนี้เจ้าจะอยู่ไม่สุขแน่”
เฟิงอู๋มองฉินอวี้โม่ด้วยแววตามุ่งร้ายก่อนเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ฮ่าๆๆ เฟิงอู๋ แม้แต่ผู้นำขุมกำลังเอกพิภพก็ยังไม่กล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า หากเจ้าคิดจะทำอะไรเสี่ยวโม่เอ๋อร์ล่ะก็ เชื่อเถอะว่าข้าจะเป็นคนจัดการกับเจ้าด้วยตัวเอง”
ฉินเทียนยิ้มเยือกเย็นและแรงกดดันมหาศาลก็แผ่ตรงไปที่เฟิงอู๋ทันที
บุรุษยโสผู้นี้กล้าข่มขู่บุตรสาวของเขาทั้งที่เขาอยู่ตรงหน้า เฟิงอู๋คนนี้รนหาที่ตายเสียแล้ว!
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แรงกล้าจากฉินเทียน เฟิงอู๋ก็รู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะและใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
“ฉินเทียน พอที การรังแกเด็กรุ่นหลังไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจอะไร”
จูอวิ๋นชางเอ่ยขึ้นและช่วยเฟิงอู๋ขัดขวางแรงกดดันนั้นไว้
“จูอวิ๋นชาง ข้าไม่พบเจ้าเสียนาน ดูเหมือนว่าพลังของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว ทว่าหากข้าต้องการจะปลิดชีวิตเจ้าหนุ่มนี่จริง เจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้!”
ฉินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเผด็จการ
ทันใดนั้น แรงกดดันของเขาก็รุนแรงขึ้นและกดขี่จูอวิ๋นชางจนอีกฝ่ายมีสีหน้าที่เหยเก
จูอวิ๋นชางรู้สึกหวาดหวั่นต่อฉินเทียนมาก แรกเริ่มเดิมที ระดับพลังของเขาสูงกว่าฉินเทียนมาก ทว่าภายในเวลาสั้นๆ ฉินเทียนกลับพัฒนาขึ้นจนมีพลังเหนือกว่าเขา จูอวิ๋นชางไม่สงสัยเลยว่าหากเขาต้องประจันหน้ากับฉินเทียนในตอนนี้ เขาไม่ใช่คู่มือของฉินเทียนอย่างแน่นอน
“เหอะ รอดูกันที่งานเลี้ยงเถอะ เถียงกันไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
จูอวิ๋นชางแค่นเสียงอย่างเย็นชาขณะต้านทานแรงกดดันของฉินเทียนไว้
“เจ้าหนู ต่อไปจะพูดอะไรก็จงระวังปากไว้!”
ฉินเทียนมองเฟิงอู๋ตาเขม็งและถอนแรงกดดัน ทว่าเฟิงอู๋ก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่
เฟิงอู๋ไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก ฉินอวี้โม่และพวกพ้องก็ไม่ได้สนใจเขาอีกต่อไปขณะเดินตรงไปที่จวนตระกูลเฟิง
เฟิงอู๋และคนอื่นๆจ้องมองกลุ่มคนที่เดินจากไปด้วยแววตามุ่งร้าย ไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไร
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก เมื่องานเลี้ยงจบลง มันก็จะเป็นจุดจบของคนพวกนั้นเช่นกัน!”
ใบหน้าของจูอวิ๋นชางยังคงบิดเบี้ยวเช่นกัน ทว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่เตรียมการไว้ เขาก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา
เขาจะปล่อยให้ฉินเทียนและฉินอวี้โม่ที่น่าชิงชังนี้ยโสโอหังไปก่อนชั่วคราว เพราะงานเลี้ยงตระกูลเฟิงครานี้จะเป็นจุดจบของทั้งสองพ่อลูก
เฟิงอู๋พยักศีรษะและกล่าว “เข้าไปข้างในกันเถอะ ทุกคนน่าจะมาถึงกันเกือบครบแล้ว ถึงเวลาสำหรับการแสดงดีๆของพวกเรา”
จูอวิ๋นชางและคนอื่นๆพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงและเริ่มเดินเข้าไปพร้อมเฟิงอู๋
ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางเข้าไปในสวนของตระกูลเฟิงก่อนพบตำแหน่งที่นั่งใกล้แถวหน้าสุดและนั่งลงรอการเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ
ก่อนเฟิงหรูเซียวและคนอื่นๆมาถึง ทั่วบริเวณสวนก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มาเข้าร่วมงานแล้ว ทว่าเมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสหายเดินเข้ามา ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งสวนในทันที
.